ตอนที่ 165-2
คํ่าคืนอันครื้นเครง ข้าให้หนึ่งพันตำลึง!
“ถึงแล้ว” มู่ชิงเกอเห็นป้ายด้านนอกประตูจวนตระกูลมู่อีกครั้ง
คล้ายกับว่าทุกครั้งที่กลับมาเห็นให้ความรู้สึกแตกต่างกัน
ผู้คนทยอยกันลงจากรถม้า ข้ารับใช้ที่ดูแลประตูใหญ่คุ้นหน้าค่าตาอยู่หลายคนพากันยินดี พวกเขาคิดจะเข้าไปในจวนรายงานให้นายท่านทราบ
กลับถูกมู่ชิงเกอรั้งเอาไว้
จากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็พากันเดินเข้าไปในจวนตระกูลมู่ อย่างเงียบเชียบ
ภายในตระกูลมู่บริเวณสวนของมู่ซง ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ภายในสวนรายล้อมไปด้วยสีเขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยพืชพรรณดอกไม้ใบหญ้านานาชนิด ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นยามคํ่ามืดแต่มู่ซงยังไม่กลับห้องไปพักผ่อน ยังคงยืนอยู่ในสวนเพลิดเพลินไปกับการตัดเล็มดอกไม้ในมือ มีโย่วเหอและฮวาเยวี่ยอยู่เป็นเพื่อน เห็นเขาตกอยู่ในภวังค์เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันแบบยิ้มไม่ออก ฮวาเยวี่ยหมุนกายกลับห้องไปหยิบเสื้อคลุม โย่วเหอเดินไปเอ่ยทักว่า “นายท่าน ฟ้ามืดแล้ว ท่านพักก่อนเถิด ใกล้จะได้เวลาอาหารค่ำแล้วนะเจ้าคะ”
มู่ซงไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ยกมือขึ้นสะบัดพลางเอ่ยว่า “รีบร้อนไปทำไม อย่างไรก็มีเพียงตาแก่เช่นข้ากินข้าวคนเดียว กินเร็วบ้างช้าบ้างก็ไม่เป็นไร” พูดจบ ก็รำพึงรำพันกับตนเอง “กินคนเดียวจะไปอร่อยได้ยังไง”
ฮวาเยวี่ยหยิบเสื้อคลุมออกมา เวลานี้เองก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากประตู
นางตั้งใจเพ่งมอง รอจนเห็นคนผู้นั้นชัดๆ ดวงตาอ่อนโยนสวยหวานคู่นั้นก็เปล่งประกายความยินดีสุดขีด นางอ้าปากหมายจะร้องทัก แต่ก็ถูกมู่ชิงเกอยกมือขึ้นห้ามเอาไว้
มู่ชิงเกอก้าวเท้าเบาๆ เข้ามาหยุดตรงหน้าฮวาเยวี่ย หยิบเสื้อคลุมไปจากมือนาง ฮวาเยวี่ยรู้สึกตื้นตันจนนํ้าตาคลอเบ้า มู่ชิงเกอเห็นดังนั้นก็ยกมือขึ้นแตะแก้มนางเบาๆ ปลอบประโลมครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินไปทางมู่ซง เบื้องหน้า โย่วเหอยังคงเอ่ยปลอบอย่างตั้งใจ “นายท่าน พวกบ่าวเป็นผู้ที่คุณชายทิ้งไว้ให้อยู่ดูแลท่านนะเจ้าคะ หากท่านไม่ทานอาหารให้ตรงเวลา รอให้คุณชายกลับมา พวกบ่าวก็จะต้องเรียนไปตามความจริงนะเจ้าคะ”
มู่ซงส่งเสียง ‘เหอะเหอะ’ เอ่ยขึ้นอย่างเคืองๆ ว่า “หากในใจของยัยเด็กนั่นมีตาแก่คนนี้ก็คงกลับมากินข้าวเป็นเพื่อนข้าแล้วสิ!”
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีเสื้อมาคลุมอยู่ด้านหลัง
และมีเสียงอันคุ้นเคยอย่างมากลอยแว่วมา “ดีเลย วันนี้ข้าจะกินข้าวเป็นเพื่อนท่านปู่”
มู่ซงชะงัก
โย่วเหอเห็นหน้าคนที่เดินเข้ามาชัดๆ ก็ส่งเสียงเรียกด้วยความยินดีแกมประหลาดใจ “คุณชาย!”
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ เชิงขออภัย กล่าวแก่นางและฮวาเยวี่ยที่เดินจํ้าอ้าวเข้ามาว่า “ช่วงที่ผ่านมาลำบากพวกเจ้าสองคนแล้ว”
บ่าวรับใช้ทั้งสองนางพากันส่ายหน้า นัยน์ตาวาววับด้วยหยาดนํ้าตา เห็นมู่ชิงเกอกลับมาพวกนางก็รู้สึกยินดี
มู่ซงหมุนร่างแข็งทื่อกลับมา เห็นใบหน้าของมู่ชิงเกอที่เฝ้าคิดถึงอยู่ทุกวันคืน นํ้าเสียงที่เปล่งออกมาแปร่งๆ อยู่ บ้างแต่ก็แฝงความแข็งกระด้าง “เหอะ รู้จักกลับมาได้แล้วรึ?”
มู่ชิงเกอยิ้มประจบ “รู้แล้ว”
“ครั้งนี้กลับมานานเท่าไรก่อนจะไปใหม่?” มู่ซงถามน้ำเสียงสะบัด
มู่ชิงเกอตั้งใจคิดไตร่ตรองก่อนตอบว่า “อย่างน้อยก็อยู่เป็นเพื่อนท่านปู่จนท่านเบื่อข้าแล้วค่อยไป”
“คำลวงน่าประทับใจ!” มู่ซงว่าขำๆ
จากนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามาพร้อมกันว่า “เอาเถอะ เอาเถอะ กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว” เขามองมู่ชิงเกออย่างพิจารณา คล้ายกับว่า จะดูว่านางอยู่ข้างนอกผอมลง เหนื่อยล้าหรือว่าโดนรังแกหรือไม่
มู่ชิงเกอปล่อยให้เขาประเมินไป อมยิ้มมุมปาก
ผ่านไปครู่ใหญ่ มู่ซงจึงเอ่ยขึ้นด้วยความสบายใจขึ้นมาหน่อย “ยังดี ดูๆ แล้วไม่ได้โดนรังแก”
“ท่านปู่ไม่ไว้ใจข้าหรือ แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงคนอื่นที่ขาดทุนต่อข้า ข้าเคยขาดทุนให้ใครเสียที่ไหน?” มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ
“อย่าได้มั่นใจจนทะนงตน” มู่ซงเคาะปลายจมูกนาง ว่ากล่าวด้วยความเอ็นดู
“ข้ารู้แล้ว” มู่ชิงเกอรับคำอย่างเชื่อฟัง
“กลับมาแล้ว ข้าก็ค่อยมีความรู้สึกอยากอาหารหน่อย ไปกินข้าวเป็นเพื่อนปู่เถอะ” มู่ซงทิ้งกรรไกรในมือ เอ่ยอย่างอารมณ์ดี
ว่าแล้ว เขาก็กำชับโย่วเหอและฮวาเยวี่ย “พวกเจ้าสองคนไปบอกที่ห้องครัวว่าวันนี้คุณชายกลับมาบ้านให้พวกเขาทำอาหารสุดฝีมือเพิ่มมาสักหลายอย่าง พวกข้าปู่หลานจะดื่มกันสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ”
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยรับคำด้วยความยินดี
มู่ชิงเกอเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ให้ห้องครัวทำกับข้าวเพิ่มสักหลายอย่างหน่อย เพิ่มแค่จานสองจานเกรงว่าจะไม่พอ”
“เกอเอ่อร์ เจ้าออกจากบ้านไปครั้งนี้กินเก่งขึ้นรึ?” มู่ซงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเองก็แปลกใจ
พวกนางกังวลว่าเพราะพวกนางไม่ได้อยู่ปรนนิบัติข้างกายทำให้คุณชายกินอยู่ไม่สบาย กลับมาครั้งนี้จึงกินเก่งขึ้นใช่หรือไม่
มู่ชิงเกอไม่รู้สิ่งที่พวกนางคิดอยู่ในใจ เพียงแค่เอ่ยกับมู่ซงยิ้มๆ ว่า “ท่านปู่ ครั้งนี้ข้าไม่ได้กลับมาเพียงคนเดียว”
พูดจบ นางก็มองไปทางประตู มู่ซงเองก็เงยหน้าขึ้นมอง ไม่นานก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา
“คุณหนูใหญ่!”
“คุณหนูใหญ่!”
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยยอบกายร้องทัก
มู่เหลียนหรงแตะตัวพวกนางเบาๆ แล้วเดินเข้ามาหาบิดา
มู่ซงพอเห็นลูกสาวกลับมา สายตาผู้เฒ่าฉายแววปีติยินดี สองมือจับมือลูกสาวที่ยื่นมาหาเอาไว้แน่น เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าสองคนเจอกันได้อย่างไร? ในเมื่อกลับมา พร้อมกันก็ไม่ยอมส่งข่าวมาแจ้งล่วงหน้า เหอะ”
มู่เหลียนหรงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ท่านพ่ออย่าได้โกรธไปเลย มิใช่พวกเราอยากให้ท่านดีใจหรอกหรือ?”
“ดีใจ? ข้าว่าพวกเจ้ารวมหัวกันจะหัวเราะข้าล่ะสิไม่ว่า” มู่ซงเอ่ยงอนๆ
มู่เหลียนหรงและมู่ชิงเกอสบตากันแล้วยิ้มออกมา ครอบครัวครื้นเครงเฮฮา
แม้ว่าพวกเขาจะสูญเสียอะไรไปมากมาย แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็งดงามเหมือนเดิม “เป็นอย่างไรบ้าง? ออกเดินทางครั้งแรกเจอเรื่องสนุกอะไรบ้าง ปรับตัวได้หรือไม่?” มู่ซงถามด้วยความห่วงใย
มู่เหลียนหรงต่างจากมู่ชิงเกอ ฝ่ายหลังแต่งตัวเป็นชาย ตั้งแต่ยังเล็กๆ เลี้ยงดูมาแบบเด็กผู้ชาย อายุยังน้อยก็ได้ เป็นถึงผู้กุมอำนาจของลั่วตู ออกจากแคว้นฉินไปไม่ใช่เพียงครั้งสองครั้ง รวมถึงความสามารถที่ติดตัวมา มู่ซงไม่ค่อยกังวลเท่าใดนัก กลับกันกับมู่เหลียนหรง เลี้ยงอยู่ข้างกายมาตั้งแต่ยังเล็กไม่เคยออกไปนอกแคว้นฉิน การเดินทางออกไปท่องเที่ยวครั้งแรก ผู้เป็นบิดาไม่กังวลคงเป็นเรื่องหลอกลวง
มู่เหลียนหรงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ข้าสบายดีเจ้าค่ะ โลกภายนอกกว้างใหญ่มาก ย่อมต้องประสบพบเจอเรื่องราว และผู้คนที่น่าสนุกมากมาย”
“พวกเจ้าสองคนไปเจอกันที่ไหน?” มู่ซงถามประเด็นที่สงสัย
จากรายงานที่เขาได้รับ หลานสาวและบุตรสาวไม่ได้เดินทางไปในทิศทางเดียวกัน
“ที่แคว้นกู่วู่เจ้าค่ะ” มู่เหลียนหรงตอบ
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หัวเราะขึ้นมา มองไปทางประตูเอ่ย กับมู่เหลียนหรงว่า “ท่านอาหญิง ท่านคิดจะให้คนข้างนอกรอไปอีกนานหรือไม่? หากท่านลำบากใจที่จะพูด ให้ข้าช่วยท่านพูดดีหรือไม่?”
“ชิงเกอ!” มู่เหลียนหรงสายตาสว่างวาบ ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
มู่ซงมองเห็นคำใบ้ ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เอ๊ะ? ใครอยู่ด้านนอก?”
นํ้าเสียงของเขานี้ มู่เหลียนหรงและมู่ชิงเกอยังไม่ทันได้รู้สึกอะไร เซวียเฉียวที่รออยู่ด้านนอกประตูก็อดรนทนไม่ไหวเดินออกมาจากร่มเงา ยืนอยู่นอกประตูประสานมือ แสดงความเคารพต่อมู่ซงด้วยความนอบน้อม “เขยเซวียเฉียวคารวะท่านพ่อตา!”
ประโยคนี้ของเขาทำเอาผู้คนที่อยู่ในสวนเกิดปฏิกิริยาต่างกันไป
มู่ซงรู้สึกว่าราวกับสายฟ้าฟาด มู่เหลียนหรงรู้สึกเขินอาย โย่วเหอและฮวาเยวี่ยตกใจเอามือขึ้นปิดปาก มีเพียงมู่ชิงเกอเพียงผู้เดียวที่ชมความสนุกอย่างอารมณ์ดี
“เจ้าเจ้าเจ้า…เจ้าว่าอย่างไรนะ?” มู่ซงชี้ไปที่เขา ถามด้วยนํ้าเสียงสั่นพร่า
เซวียเฉียวทำได้เพียงอดทนสงบสติอารมณ์ กลั้นความรู้สึกกระสับกระส่ายในใจ ทำใจกล้าเอ่ยอีกครั้งหนึ่งว่า “เขยเซวียเฉียวคารวะท่านพ่อตา!”
ครั้งนี้มู่ซงได้ยินชัดเจน เขาหันหน้ามองมู่เหลียงหรง เบิกตากว้างถามว่า “เจ้าออกไปครั้งนี้ก็ขายออกแล้วหรือ?”
“ท่านพ่อ!” มู่เหลียนหรงทั้งอายทั้งฉุน กระทืบเท้าปั้นปึ่ง
บิดากล่าวอะไรออกมา? คล้ายกับตนเองขายไม่ออกเช่นนั้นแหละ
นางไม่สามารถโกรธบิดาได้ทำได้เพียงเอาไฟกองนี้ลงที่เซวียเฉียว
“แค่ก แค่ก” มู่ซงในตอนนี้ไม่สนใจนาง วางท่าพ่อตาใส่เซวียเฉียว “เจ้าบอกมาว่าเจ้าเป็นใคร? รู้จักกับบุตรสาวของข้าได้อย่างไร? ที่บ้านเจ้ายังมีใครบ้าง? แล้วตอนนี้เจ้าทำอะไรเป็นหลัก ”
มู่ซงพรั่งพรูคำถามออกมาเป็นพะเรอเกวียน
เซวียเฉียวฟังแล้วถึงกับหลั่งเหงื่อเย็น แต่ก็ไม่กล้าบิดเบือน จดจำคำถามทั้งหมดไว้ด้วยความเคารพและเอ่ยตอบทีละข้ออย่างละเอียด
ทุกคำตอบนั้นได้หมุนเวียนอยู่ในหัวสมองหลายตลบ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีปัญหาถึงได้กล้าเอ่ยกับมู่ซง
รอพูดจบ มู่ซงก็อยากถามต่ออีก มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นพอดี “ท่านปู่ นี่ก็เริ่มดึกแล้ว กินข้าวกันก่อนเถอะ มีอะไรกินไปคุยกันไปก็ได้อย่างไรผู้ที่มาเยือนก็เป็นแขก”
มู่ซงชะงัก ถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ก็ได้ กินข้าวก่อน”
ระหว่างทาง มู่ชิงเกอก็เดินเป็นเพื่อนมู่ซงอยู่ด้านหน้า มู่เหลียนหรงและเซวียเฉียวเดินตามอยู่ข้างหลัง
เห็นใบหน้ากลุ้มใจของมู่ซงแล้วมู่ชิงเกอเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “ท่านปู่ทำไมทำหน้าเช่นนี้? ท่านไม่ดีใจที่ท่านอาหญิงแต่งงานหรือ?”
สีหน้ามู่ซงแข็งกระด้าง เอ่ยเสียงกลุ้มๆ ว่า “อาหญิงของเจ้า เจอคนดีๆ ข้าจะไม่ดีใจได้อย่างไร? เพียงแต่มันกะทันหันไปหน่อย คนแซ่เซวียเป็นคนนิสัยใจคออย่างไรข้าก็ยังไม่แน่ใจ”
“ท่านปู่ไม่เชื่อสายตาของอาหญิงหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ “ท่านก็คิดเสียว่าพออาหญิงแต่งงานแล้ว อีกไม่นานก็จะมีหลานๆ ตัวน้อยๆ ให้ท่าน ดีแค่ไหนกันเชียว?”
พอได้ยินคำว่า ‘หลานๆ’ สองพยางค์นี้ สายตาของมู่ซงก็สว่างวาบขึ้นมาทันที เมื่อมองหน้าเซวียเฉียวอีกครั้งก็เข้าตาอยู่หลายส่วน
จากนั้นเขาก็กลับมามองมู่ชิงเกอ เก็บอาการร้อนอกร้อนใจบนใบหน้าเอาไว้เป็นอย่างดี เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงค่อนแคะว่า “ตัวเจ้านี้ข้าว่าคงหวังพึ่งอะไรไม่ได้ ยังดีที่มีอาหญิงของเจ้า ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวข้าต้องพูดกับเจ้าหนุ่มแซ่เซวียนั้นดีๆ ว่าในอนาคตลูกของเหลียนหรงไม่ว่าหญิงหรือชาย ต้องมีคนหนึ่งใช้แซ่มู่!”