Skip to content

พลิกปฐพี 174-2

ตอนที่ 174-2

หากไม่ได้เอาคืนข้าก็คงต้องอัดอั้นจนตาย!

พอฟังออกถึงความสงสัยที่อยู่ในคำพูดของนาง เจียงหลีก็ถอยหายใจขึ้นอย่างหมดวาจาจะกล่าว ก่อนจะอธิบายเสียงเบา “ใช่ ก็สี่ตระกูลนั้นที่นั่งอยู่ด้านข้างของหอหลอมศาสตรานั่นไง จิ่ง หลาน เฉิน ฮวา สี่ตระกูล การสืบทอดกันมาของสี่ตระกูลนี้ก็นับว่ายาวนานเป็นอย่างมาก ขุมอำนาจลํ้าลึกจนไม่อาจคาดเดา ต่อให้เป็นคนที่อยู่เหนือราชสำนักของอาณาจักรเซิ่งหยวน คนของตระกูลหวงฝู่ก็ต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน เมื่อครู่ชายที่มีหน้าตาเคียดแค้นชิงชังกับเจ้าก็เป็นคุณชายใหญ่จิ่งเทียนของตระกูลจิ่ง ตามที่ลือกันเห็นบอกว่าเป็นอัจฉริยะในการปรุงยาที่เก่งที่สุดในรอบหลายพันปี”

“อัจฉริยะในการปรุงยาที่ยากจะได้พบในรอบหลายพันปีงั้นรึ?” จ้าวหนานซิงพอได้ฟังคำอธิบายเกี่ยวกับจิ่งเทียนของเจียงหลีแล้ว บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มแปลก ประหลาดออกมา

“ยังมีตระกูลหลาน เห็นหรือไม่? ก็เป็นหญิงสาวชุดนํ้าเงินคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงกลางสุด คนที่สวมผ้าคลุมหน้าผู้นั้น” เจียงหลีหยักหน้าไปทางนั้น

มู่ชิงเกอก็มองตามทิศทางที่นางบอก กวาดสายตามองไปยังคนของสี่ตระกูลใหญ่ที่ว่า กวาดมองเอาไว้ในสายตาทั้งหมด หญิงชุดนํ้าเงินที่เจียงหลีกล่าวถึงผู้นั้นก็ไม่ยกเว้น

นางสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้มองไม่เห็นหน้าตาว่าเป็นยังไง แต่จากดวงตาคู่นั้นที่เผยออกมาสู่ด้านนอกรวมถึงกลิ่นไอที่ถูกปล่อยออกมา ก็ล้วนแต่สามารถยืนยันได้ว่า นี่เป็นหญิงงามนางหนึ่ง

“นางก็เป็นคุณหนูของตระกูลหลาน หลานเฟยเยว่” ระหว่างที่กล่าวเจียงหลีก็ยิ้มเย็นขึ้นมาเสียงหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อว่า “ถูกกล่าวเอาไว้ว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเทียนตู แล้วก็ยังมีคนกล่าวอีกว่านางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน พรสวรรค์ในการฝึกฝนก็ไม่เลว อายุไม่ถึงสิบเก้าก็สามารถเข้าสู่ขั้นสีนํ้าเงินระดับสูงสุดได้ ทว่า นางกลับสวมผ้าคลุมหน้าทุกวี่ทุกวัน นางมีหน้าตาเช่นไรใครเคยเห็นบ้าง? ก็ไม่รู้ว่าคำร่ำลือเรื่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งนั้นลือมาจากไหน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตระกูลหลานที่ปั้นเรื่องขึ้นมาเองกระมัง”

ในนํ้าเสียงของเจียงหลีก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลักการที่คนเพศเดียวกันชอบรู้สึกไม่ชอบหน้ากันหรือไม่

มู่ชิงเกอในใจยิ้มขำ ก่อนจะค่อยๆ ดึงสายตากลับ

“ยังมีทางฝั่งนั้น พวกเขาคือตระกูลฮวา ตระกูลฮวาให้สตรีเป็นใหญ่ จุดเด่นที่พวกเขาเชิดหน้าชูตา เจ้าลองเดาซิว่าคือสิ่งใด?” เจียงหลีมองไปทางมู่ชิงเกอพร้อมกับยิ้มกล่าวว่า

มู่ชิงเกอมองไปยังที่นั่งของตระกูลฮวา ที่นั่นก็มีแต่สตรีล้วนจริงๆ ด้วย

อีกทั้งแต่ละคนก็มีหน้าตางดงามดุจบุปผา งดงามจนดวงจันทร์ต้องเร้นกาย ความโดดเด่นมีแตกต่างกันไป ตามบุคลิกของแต่ละคน เสน่ห์งดงามน่าหลงใหล หนึ่ง คนในนั้นก็พอดีกำลังลอบมองมาที่มู่ชิงเกอ พอเห็นสายตาของนางอยู่ๆ ก็กวาดมองมา นางไม่เพียงไม่เผยท่าทีเอียงอาย กลับกันกลับส่งสายตากระจ่างใสดุจสายนํ้าส่งกลับมาให้มู่ชิงเกอ ทำเอามู่ชิงเกอตื่นตระหนกจนทั่วร่างคันยุบยับ

ภาพฉากนี้ก็ตกอยู่ในสายตาของเจียงหลีเข้าพอดี ทำเอานางต้องก้มหน้ากลั้นขำลง อดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าไปทางมู่งชิงเกอ “คุณชายมู่ก็ช่างทำให้ผู้คนนับหมื่นหลงใหลจริงๆ!”

มู่ชิงเกอเบ้มุมปากขึ้น ไม่ได้มองไปทางที่นั่งของตระกูลฮวาอีก แล้วก็ยังไม่ยอมตอบคำถามของเจียงหลีก่อนหน้า

ยังดีที่เจียงหลีหลังจากหยอกล้อนางแล้ว ก็ไม่ได้แหย่อะไรนางเพิ่มอีก แต่เป็นกล่าวกับนางว่า “ตระกูลฮวาที่สามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว และยังคงอยู่ได้ตลอดมา โดยหลักๆแล้วก็คืออาศัยความสัมพันธ์ของการแต่งงาน ในเทียนตู คลับคล้ายคลับคลาว่าตระกูลที่มีอำนาจ และขุมกำลังทั้งหมดล้วนแต่เกี่ยวดองกับตระกูลฮวาทั้ง

มู่ชิงเกอพลันเข้าใจ

จ้าวหนานซิงก็เข้าใจขึ้นมา

ฟ่งอวี๋เฟยชั่วขณะนั้นก็พลันเข้าใจเช่นกัน

พูดตรงๆ แล้วตระกูลฮวาก็คือการอาศัยการออกเรือนของหญิงสาว เป็นตระกูลที่ใช้ผู้หญิงในการก่อร่างสายสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนขึ้น!

“ถึงกับมีตระกูลเช่นนี้อยู่ด้วยรึ!” จ้าวหนานซิงกล่าวเสียงเบาด้วยความตกใจ

แต่ฟ่งอวี๋เฟยกลับมองเข้าใจ “เช่นนั้นแล้วมีอันใดแปลกกัน ในโลกนี้ความยุติธรรมสำหรับผู้หญิงแต่เดิมก็มีน้อยอยู่แล้ว ตระกูลฮวาใช้วิธีการเช่นนี้จนสามารถตั้งตนเป็นสี่ตระกูลใหญ่ของเทียนตูได้ถึงแม้วิธีการจะถูกผู้คนต่อว่าต่อขาน แต่นี่ก็มิใช้การปกป้องอิสตรีอย่างหนึ่งรึ?”

นัยน์ตาสีทองของเจียงหลีกวาดมองไปทางพวกเขาหนหนึ่ง สุดท้ายร่วงตกที่ใบหน้าของมู่ชิงเกอ กะพริบตาขึ้นอย่างมีชั้นเชิง หลังจากนั้นถึงค่อยกล่าวว่า “ตระกูลสุดท้ายตระกูลนั้นก็เป็นตระถูลเฉิน แต่ว่าผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลพวกเขาวันนี้ก็ยังไม่ได้มา”

“ผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลเฉินเป็นคนเช่นไร?” จ้าวหนานซิงถามอย่างประหลาดใจ

เจียงหลีก็ไม่ได้ชักช้า ตอบว่า “ทรัพย์สินของตระกูลเฉินก็เหมือนกับว่าจะสามารถเทียบเคียงกับหอสรรพสิ่งได้ แต่ว่าผู้มีพรสวรรค์ในรุ่นนี้ของตระกูลพวก เขากลับไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ทางด้านการค้าแต่อย่างใด แต่เป็นผู้หลงใหลในการฝึกยุทธ์ผู้หนึ่ง เฉินปี้เฉิงทายาทคนที่สาม ดังนั้นก็เลยถูกเรียกคุณชายสามแห่งตระกูล เฉิน เขาน้อยมากที่ปรากฏโฉมหน้า ตามที่ได้ยินมาก็เอาแต่ฝึกปรือวิชายุทธ์มาโดยตลอด จากข่าวที่ข้าสืบหามาได้ คุณชายสามตระกูลเฉินผู้นี้อายุก็แค่ยี่สิบสองปี แต่ กลับสามารถเข้าสู่ระดับขั้นสีม่วงได้แล้ว แต่จริงๆ แล้วจะอยู่ขั้นย่อยไหนนั้นเกรงว่าก็คงมีแต่ตัวเขาเองที่ทราบแล้ว”

พอได้ฟังการกล่าวแนะนำเรื่องของทั้งสี่ตระกูลใหญ่จากเจียงหลีจนจบ สี่ตระกูลใหญ่สำหรับมู่ชิงเกอก็เริ่มมีความเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

และในสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลจิ่งที่จิ่งเทียนอยู่ ก็เกรงว่าจะไม่มีทางญาติดีกับนาง

แค่เข้ามาในเทียนตู หนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งสี่ก็กลายมาเป็นศัตรูตระกูลหนึ่ง พอรวมกับหอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูรแล้ว มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็ยิ้มขันขึ้นมาในใจ

รอยยิ้มของนางที่อยู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาก็ไปกระตุ้นความสนใจของจักพรรดิหยวนเข้า

“คุณชายมู่ เจ้าอยู่ๆ ทำไมถึงแย้มยิ้มกัน?” บนบัลลังก์มังกรอันสูงส่ง เสียงตรัสถามของจักพรรดิหยวนราวกับเสียงอัสนีบาตก็ไม่ปานสะท้อนดังลงมา

รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่ชิงเกอพลันถูกดึงกลับ นางตอบกลับไปทางจักพรรดิหยวน “ไม่มีอันใดพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่อยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องสนุกบางเรื่องได้”

“อ้อ? เรื่องสนุกอันใดกัน ไม่ลองกล่าวมันออกมาดู ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกด้วย” จักพรรดิหยวนก็เหมือนกับว่าจะ รู้สึกสนใจมู่ชิงเกอเป็นอย่างยิ่ง ต้นจนจบก็จับนางเอาไว้ไม่ปล่อย

ตรงจุดนี้คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่สัมผัสได้ และมู่ชิงเกอเองก็สัมผัสได้เช่นกัน

นางเงยหน้ามองไปทางจักพรรดิหยวนด้วยสายตาที่ค่อนข้างสงสัยอยู่เล็กน้อย ราวกับว่าจะอยากจะจับความรู้สึกบางอย่างได้จากสีหน้าของเขา เพียงแต่บัลลังก์มังกรนั้นก็อยู่สูงมาก อีกทั้งรอบด้านก็เหมือนจะมีไอหมอกปกคลุมอยู่ ทำเอาคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็ราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางม่านหมอกแห่งความฝันก็ไม่ปาน ดูเหมือนกับไม่ใช่ความจริง

“บังอาจ! เป็นแค่ชาวแคว้นระดับสามชั้นตํ่า กลับกล้าบังอาจจ้องมองพระพักตร์ของโอรสสวรรค์!” เสียงเกรี้ยวกราดสายหนึ่งอยู่ๆ ก็ดังขึ้น ทำเอาผู้คนที่อยู่บนที่นั่งพากันนิ่งชะงัก

มู่ชิงเกอดึงสายตาที่ใช้พินิจมองกลับ ก่อนที่จะเคลื่อนสายตาไปยังตัวของคนที่กล่าววาจา คนผู้นั้นนางไม่รู้จัก แต่ดูจากการแต่งกายของเขาก็สามารถคาดเดาสถานะของเขาออกได้ “เจ้าสำนักหอหลอมศาสตรา มีอันใดจะชี้แนะ?”

ท่าทางที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อนของนาง ท่าทีเช่นนั้นก็ทำให้ผู้คนนึกชื่นชมขึ้นหลายส่วน

“เจ้าที่เป็นแค่คนของแคว้นระดับสามชั้นตํ่า กลับกล้ามองจักพรรดิหยวนซึ่งๆ หน้า ชัดเจนว่ามีขวัญกล้าเทียมฟ้านัก ช่างกระทำการอุกอาจยิ่งนัก!” เจ้าสำนักหอ หลอมศาสตราที่กำลังหงุดหงิดที่ไม่อาจหาจังหวะสั่งสอนมู่ชิงเกอได้ ตอนนี้ไหนเลยจะยอมพลาดโอกาสไปได้?

เขาลุกยืนขึ้นมา ก่อนจะหันไปกล่าวด้วยท่าทีจริงจังกับจักพรรดิหยวน “จักพรรดิหยวน เด็กผู้นี้ในสายตาไม่สนใจผู้ใด ดูท่าอยู่ในแคว้นระดับสามคงจะเป็นพวก อันธพาลไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ตอนนี้กลับกล้าเสียมารยาทกับจักพรรดิหยวนเช่นนี้หรือว่าไม่ควรลงโทษกัน?”

“ไอหยา น่าขันนัก เจ้าเฒ่านี่ชัดเจนว่าจงใจกลับขาวเป็นดำ! มองตาเดียวแล้วจะทำไม? ก็ไม่ได้มีเนื้อหนังหลุดออกมาแต่อย่างใดนี่!” เจียงหลีกล่าวอย่างมีอารมณ์ ราวกับว่าประโยคเดียวจะไม่พอเตรียมสะบัดแขนเสื้อเปิดศึก!

แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับใช้สายตายับยั้งนางเอาไว้ก่อน ในใจของเจ้าสำนักหอหลอมศาสตรามีแผนการคดโค้งอันใด นางก็ไม่จำเป็นต้องไปเปลืองสมองคาดเดาให้มากความ แต่ว่านางก็ยังไม่รีบร้อนที่จะจัดการกับเขา

“จักพรรดิหยวน มู่ชิงเกอถึงแม้ว่าจะมาจากแคว้นระดับสาม แต่เขาก็ยังเป็นผู้อาวุโสที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของพวกเราชาวโรงโอสถสาขาหลัก” อยู่ๆ ตาเฒ่าหัวหน้าโรงโอสถที่อยู่ฝั่งเดียวกันก็เปิดปากขึ้นด้วยรอยยิ้มตาหยี

ประโยคนี้พอกล่าวจบ เขาก็ไม่รอให้ผู้คนตื่นขึ้นจากความตกตะลึง แต่เป็นหันมองไปทางหัวหน้าของหอหลอมศาสตรา “ทำไมรึ ผู้อาวุโสของโรงโอสถเราเวลาจะทำสิ่งใด เวลาไหนต้องไปรายงานให้พวกเจ้าหอหลอมศาสตรารับทราบด้วยกัน?”

ซู๊ด—–!

เขาถึงกับเป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถ?

เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรกัน?

อีกทั้งยังมาจากแคว้นระดับสาม?

หรือว่านี่จะเป็นการถือกำเนิดของสุดยอดอัจฉริยะคนหนึ่ง?

พรสวรรค์ของเขาหรือว่าจะแข็งแกร่งมากกว่าจิ่งเทียน ของตระกูลจิ่ง

เสียงพูดคุยต่างๆ นานา เริ่มดังสะท้อนกันไปมาในที่นั่งชั้นที่สอง

เจ้าสำนักหอหลอมศาสตราก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นเช่นนี้ ส่วนจิ่งเทียนที่ถูกลากเข้าไปนั้น ในใจตอนนี้ก็ยิ่งรู้สึกชิงชังในตัวมู่ชิงเกอ

“เทียนเอ๋อร์เขาก็เป็นผู้อาวุโสของโรงโอสถสาขาหลักจริงๆรึ?” เสียงสอบถามของบิดาก็ดังลอยตามเข้ามา

นี้ก็ทำเอาสีหน้าของจิ่งเทียนยิ่งกลายเป็นไร้แสง ชิงชังจนอยากจะสังหารมู่ชิงเกอ

แต่ว่าเขาก็ไม่อาจทำได้

ภายใต้สายตาบีบคั้นของบิดา เขาก็ถึงค่อยยอมตอบ ‘ใช่’ อย่างไม่พอใจขึ้นมาเสียงหนึ่ง

คำตอบของเขาก็ทำเอาดวงตาของประมุขจิ่งเปล่งแสงวูบ ในใจคิดแผนการไปมารอบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวเตือนไปทางจิ่งเทียน “เทียนเอ๋อร์ข้าไม่สนว่าเจ้ากับเขาก่อนหน้าจะมีเรื่องราวบาดหมางอันใดต่อกัน ขอให้จบมันลงเพียงเท่านี้ วันหลังเจ้าก็ไปนัดเขาออกมา ไปสานสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกันสักรอบ ผลแพ้ชนะของการแข่งขันระหว่างรุ่นเยาว์ก็อย่าได้เอามามันมาใส่ใจ”

“ท่านพ่อ ข้า…”

คำพูดโต้แย้งของจิ่งเทียนก็ถูกประมุขตระกูลจิ่งปัดออกไป เขามองไปทางที่นั่งของตระกูลฮวาฝั่งนั้นหนหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่าเสียงตํ่าเบากับจิ่งเทียน “คนที่มีความสามารถเช่นนี้ไม่อาจปล่อยให้ตระกูลฮวาแย่งไปได้ ไม่ว่าเจ้ากับเขาจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ขอเพียงเขายอมเข้าร่วมตระกูลจิ่งของพวกเรา หลังจากนี้เจ้าก็เป็นเจ้านายของเขา แค่นี้ก็ไม่เพียงพอแล้วรึ!”

กลายเป็นเจ้านายของมู่ชิงเกอ?

ประโยค ประโยคนี้ก็เหมือนกับจะทำให้จิ่งเทียนสั่นคลอนได้

ในหัวของเขาก็เหมือนกับปรากฏฉากภาพที่เขากลายเป็นเจ้านายของมู่ชิงเกอ สามารถสั่งการเขาได้ตามใจ มองดูใบหน้าที่เขาชิงชังต้องมาขอร้องอ้อนวอนตน ดูสีหน้าประจบประแจงตน ก็ราวกับว่าจะสะใจมากกว่าการสังหารเขายิ่งนัก!

บนรอยยิ้มของจิ่งเทียนก็ปรากฏความอำมหิตขึ้น สำหรับข้อเสนอแนะของบิดาแล้วก็ดูเหมือนจะไม่มีความคิดโต้แย้งแต่อย่างใด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!