Skip to content

พลิกปฐพี 182-1

ตอนที่ 182-1

นายน้อยมู่ผู้ใช้มารยา!

ตึง ตึง ตึง—–!

เสียงกลองดังสะท้อนไปมาอยู่ในลานฝึกพระราชวังของอาณาจักรเซิ่งหยวน

ลานฝึกเป็นสถานที่ฝึกซ้อมของเหล่าทหารหลวงแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน เพียงพอสำหรับจุทหารหนึ่งแสนนายในการฝึกทุกๆ วัน

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ในลานฝึกได้รับการจัดตกแต่งใหม่และมีเวทีขนาดใหญ่หกแห่งเกิดขึ้น

แม้ว่าจะมีคนถึงห้าสิบคนรวมตัวกันอยู่บนเวทีก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าคับแคบ ห่างออกไปจากใจกลางของเวทีก็มีแท่นอัฒจันทร์ตั้งอยู่ บนนั้นมีเก้าอี้รวมทั้งผลไม้ของว่างจัดวางไว้เหมือนกำลังดูละคร

บนแท่นอัฒจันทร์มีธงของอาณาจักรเซิ่งหยวนจัดวางอยู่เต็มไปหมด ส่วนบนเวทีประลองทั้งหกนั้นมีธงของทั้งหกแคว้นที่มาร่วมการแข่งขันในรอบแรกจัดไว้อยู่

แบ่งเป็น แคว้นระดับสอง แคว้นตี๋ แคว้นอวี่ แคว้นหรง แคว้นระดับสาม แคว้นฉิน แคว้นลี่ แคว้นอวี๋

ห่างจากเวลาการแข่งขันอีกประมาณครึ่งชั่วยาม แคว้นระดับสองทั้งสามแคว้นล้วนแต่มาถึงลานฝึกแล้ว ยืนอยู่ด้านหน้าเวทีของแต่ละแคว้นเพื่อรอเวลา

ส่วนแคว้นระดับสามทั้งสามแคว้นกลับไม่เห็นแม้แต่เงา รออยู่ครู่หนึ่ง ผู้แทนแคว้นหรงก็เอ่ยอย่างหมดความอดทนว่า “คนของแคว้นระดับสามทำอะไรกันอยู่? หรือเพราะว่ากลัวแพ้จนไม่กล้ามาเสนอหน้าแล้วหรือ?”

จักรพรรดิหยวนหวงฝู่เฮ่าเทียนมองลงไป ตรัสด้วยน้ำเสียงที่แยกไม่ออกว่าทรงพิโรธหรือทรงโสมนัสว่า “สงบใจไว้อย่าได้เร่งร้อน เวลาเริ่มการแข่งขันยังเหลืออีกสักพักหนึ่ง”

เมื่อพระองค์ตรัสขึ้นมา ผู้แทนของแคว้นหรงก็เงียบลงไป

บนแท่นอัฒจันทร์ตรงกลาง ผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มกำลังที่จะแข่งขัน แถวแรกนั้นเป็นจักรพรรดิและองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน แถวสอง ที่นั่งนั้นก็คือตัวแทนของสามสำนักบนแผ่นดินหลินชวน เฮยมู่กับโหลวเสวียนเถี่ยลอบส่งสายตาหากัน ก่อนจะถอนสายตากลับอย่างไม่ทิ้งร่องรอย

ที่กลับกันคือภายในการชุมนุมที่สำคัญนี้กลับไม่เห็นไท่สื่อเกาแม้แต่เงา

สี่ตระกูลใหญ่แห่งเทียนตูนั่งอยู่แถวที่สาม แต่ว่าพวกรุ่นเยาว์กลับไม่ได้อยู่ในนั้น ทั้งยังมีที่ว่าง น่าจะเหลือไว้ให้กับฮ่องเต้เจียงแห่งแคว้นกู่วู่ด้วย

เวลาการแข่งขันยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตอนกำลังจะถึงช่วงสุดท้าย มู่ชิงเกอถึงได้นำคนของแคว้นระดับสามทยอยกันเข้ามา

นางกับจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยเดินเคียงข้างกัน ด้านหลังของคนทั้งสาม ล้วนแต่นำคนห้าสิบคนของแต่ละแคว้นเดินเข้ามา เกือบครึ่งของคนในนั้น บนชุดเขียนคำว่า ‘ป้องกัน’ เอาไว้ ส่วนบนชุดของคนอีกครึ่งหนึ่งเขียน คำว่า ‘โจมตี’ เอาไว้

ทั้งสามคนเดินถึงด้านหน้าของแท่นอัฒจันทร์จากนั้นก็ทำความเคารพแก่จักรพรรดิหยวนหวงฝู่เฮ่าเทียน

“จักรพรรดิหยวน พวกเราคงไม่ถือว่ามาสายใช่หรือไม่” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

หวงฝู่เฮ่าเทียนยิ้มๆ แล้วเอ่ยว่า “หากว่าสายอีกสักหน่อย ถึงจะถือว่าสาย”

มู่ชิงเกอยิ้ม หันกายไปมององครักษ์เขี้ยวมังกรห้าสิบนายที่ยืนอยู่ด้านหลังของตนเอง ท่าทางที่เยือกเย็นและสงบนิ่งของพวกเขาทำให้นางพอใจ กวาดตามองไป นางมองไปทางจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย หลังจากพยักหน้าให้คนทั้งสองแล้ว ก็นำคนของแคว้นฉิน เดินไปยังเวทีประลองของแคว้นฉิน

หลังจากที่นางจากไปแล้ว จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยก็นำเอาคนที่แข็งแกร่งที่ถูกคัดเลือกมานำไปยังเวทีของแคว้นตัวเอง

มู่ชิงเกอเคยเสนอให้เอาองครักษ์เขี้ยวมังกรไปแทนคนของพวกเขา เพื่อดำเนินการแข่งขัน แต่ว่า กลับถูกคนทั้งสองปฏิเสธ

เหตุผลของพวกเขานั้นดีมากจนมู่ชิงเกอก็ยากที่จะไม่ยอมได้

จ้าวหนานซิงเอ่ยว่า ครั้งนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ถ้าหากว่าพลาดไปแล้ว ก็เหมือนมาอย่างเสียเปล่า

ฟ่งอวี๋เฟยเอ่ยว่า ในเมื่อเป็นการแข่งขันแบบสะสมแต้ม เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องให้มู่ชิงเกอลงมือ รอบแรกนั้น นับเป็นการฝึกฝน ต้องได้คะแนนบ้างอย่างแน่นอน เมื่อทั้งสองคนพูดเช่นนี้ มู่ชิงเกอจึงไม่อาจแข็งขืน องครักษ์เขี้ยวมังกรเป็นองครักษ์ประจำตัวของนาง ตามจริงก็ไม่ควรนำขึ้นไปบนเวที ผู้ที่สมควรนำขึ้นไปบนเวที น่าจะเป็นเหล่าทหารของแคว้นฉินที่ตามนางมาเหล่านั้นมากกว่า ฉินจิ่นเฉินคัดเลือกคนให้นางมาหนึ่งพันคน ซึ่งถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในแคว้นฉิน แต่ถึงอย่างนั้นก็คงไม่สามารถต่อต้านกับผู้แข็งแกร่งของแคว้นระดับสองได้ บทบาทของพวกเขานั้นดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงการเพิ่มจำนวนคนมาร่วมงานของแคว้นฉินเสียมากกว่า

หากคนเล่านี้ขึ้นไปบนเวที มู่ชิงเกอกล้ารับรองได้ว่ามีโอกาสที่จะถูกหยุดชะงักการแข่งขันเยอะมาก ส่วนจุดมุ่งหมายที่ฉินจิ่นเฉินมอบให้นางก็คือจะต้องเอาสิทธิ์ของแคว้นฉินมาให้ได้ เพื่อจะได้เข้าไปยังเศษซากโบราณสถาน

ในเมื่อจุดมุ่งหมายถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เช่นนั้นนางก็จำเป็นต้องชนะ

ซึ่งคนที่ฉินจิ่นเฉินมอบให้แก่นางเหล่านั้นไม่สามารถทำได้ จึงได้แต่ใช้คนของตนเองขึ้นเวที ในเมื่อก็เป็นทหารของแคว้นฉินเช่นเดียวกันมิใช่หรือ?

ก่อนที่มู่ชิงเกอจะนำคนของตัวเองเดินไปถึงเวทีนั้น เจียงหลีก็ค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามา

การปรากฏตัวของนางไม่ได้อยู่บนแท่นอัฒจันทร์แต่เดินไปทางมู่ชิงเกอ

“การแข่งขันรอบแรกไม่จำเป็นต้องให้เจ้าลงไปด้วยตนเองหรอกใช่ไหม?” เจียงหลีเอ่ยถามมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า

เจียงหลีหัวเราะออกมาในทันที “เช่นนั้นก็ดี ไปนั่งด้วยกันกับข้า มิเช่นนั้น ในเจ็ดวันเจ็ดคืนต่อกรกับคนเหล่านี้ เจ้าก็คงจะเบื่อตาย”

“ได้” มู่ชิงเกอไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากที่นางจัดวางคนทั้งห้าสิบคนดีแล้ว ก็ตามเจียง หลีขึ้นไปบนแท่นอัฒจันทร์ ถึงแม้ว่าจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยจะปฏิเสธการช่วยเหลือของนาง แต่ก็เป็นนางที่นำพวกเขามาที่นี่ แน่นอนว่าจะต้องช่วยเหลือกัน นางสั่งการแก่หัวหน้าขององครักษ์เขี้ยวมังกรว่า หากแคว้นระดับสองโจมตีแคว้นลี่ หรือว่าแคว้นอวี๋ก็ให้กดดันให้พวกเขาหยุด

เมื่อมู่ชิงเกอเดินตามเจียงหลีขึ้นไปบนแท่นอัฒจันทร์ก็มีสายตาของคนจำนวนไม่น้อยที่จ้องมองมา

หลังจากวันนั้นที่กลับมาจากตำหนักหลีกงนางก็เก็บตัวไม่ออกไปไหน

ไม่กี่วันมานี้มีเทียบจากหลายตระกูลถูกส่งไปที่เรือนรับรองของแคว้นระดับสามไม่หยุด แต่ก็ล้วนไม่ได้รับการตอบกลับ

วันนี้เมื่อได้พบกับมู่ชิงเกอ บรรดาตระกูลใหญ่ทั้งสี่ นอกจากตระกูลหลานแล้ว ประมุขของทั้งสามตระกูลล้วนแต่ส่งยิ้มให้แก่นาง

มู่ชิงเกอก็พยักหน้าตอบรับ ตามเจียงหลีมาจนถึงตำแหน่งที่นั่งของแคว้นกู่วู่ เพิ่งจะนั่งลง เจียงหลีก็ถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าในครั้งนี้ เหล่ารุ่นเยาว์ของสี่ตระกูลใหญ่ก็รวมกันเป็นหนึ่งกลุ่มเพื่อเข้าร่วมอย่างนั้นหรือ?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า

เจียงหลีขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “พวกเขาเกิดบ้าอะไรกันขึ้น?” เอ่ยแล้ว นางก็มองไปรอบด้านแวบหนึ่ง แต่ก็มองไม่เห็นบรรดาศิษย์ของสี่ตระกูลใหญ่ จึงเอ่ยอย่างสงสัย “คนละ?”

มู่ชิงเกออธิบายว่า “ในการแข่งขันรอบแรกนั้นพวกเขาไม่เข้าร่วม จะเข้าร่วมเพียงแค่การแข่งขันรอบสองและสามเท่านั้น”

เจียงหลีกะพริบตา พยักหน้าอย่างเข้าใจ

ในระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน การแข่งขันบนเวทีก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

ฝ่ายป้องกันและโจมตีทั้งสองฝั่งเริ่มที่จะทำหน้าที่ของตนเอง

มู่ชิงเกอมองอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่าฝั่งทางของแคว้นฉินนั้น น่าจะไม่มีปัญหา

เวลานี้ องครักษ์เขี้ยวมังกรไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว เมื่อตอนก่อตั้งครั้งแรกเริ่ม คนเหล่านี้ล้วนแต่มีระดับพลังชั้นสีแดงสีส้ม แต่ในตอนนี้พวกเขาล้วนแต่มีระดับพลังชั้นสีคราม ระดับพลังชั้นสีน้ำเงินและในนั้นก็ยังมีส่วนหนึ่งที่เข้าสู่ระดับพลังชั้นสีม่วง

กองกำลังเช่นนี้ไปต่อกรกับแคว้นระดับสองที่มีระดับพลังชั้นสีคราม ระดับพลังชั้นสีเขียวก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ทว่าทางแคว้นฉินนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ฝั่งแคว้นลี่กับ แคว้นอวี๋กลับไม่เหมือนกัน

คนของแคว้นระดับสอง มีระดับพลังชั้นสีครามมาก ระดับพลังชั้นสีเขียวน้อย มีระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินประปราย

แคว้นลี่กับแคว้นอวี๋นั้นมีระดับพลังชั้นสีเขียวมาก ระดับพลังชั้นสีครามน้อย ไม่มีระดับพลังชั้นสีนํ้าเงินเลย

ความต่างระหว่างระดับพลัง บวกกับระดับชั้นของทักษะสงคราม สำหรับแคว้นทั้งสองในเจ็ดวันนี้คงจะเป็นเจ็ดวันที่ยากลำบากมาก

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากผ่านเจ็ดวันนี้ไปแล้ว คนที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ก็จะได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

“เหตุใดจึงไม่ให้คนของเจ้าออกศึกแทนแคว้นลี่กับแคว้นอวี๋?” เจียงหลีถาม

มุมปากของมู่ชิงเกอคลี่ออก “พวกเขาปฏิเสธ”

นัยน์ตาของเจียงหลีเปล่งประกาย ดวงตาสีทองดุจดั่งวงพระจันทร์ยิ้มออกมา “ยังถือว่ามีความทะเยอทะยานอยู่บ้าง”

การแข่งขันบนเวทีดำเนินต่อไป เวลาก็เลื่อนผ่านถึงยามอู่ คนบนอัฒจันทร์ส่วนมากก็ได้จากไปแล้ว การแข่งขันเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาทุกคนอยู่ในนี้ทุกเวลา

เจียงหลียื่นมือชี้ออกไป จิ้มๆ แขนของมู่ชิงเกอ เสนอขึ้นว่า “พวกเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ?”

มู่ชิงเกอกวาดตามองไปบนเวที เห็นท่าทีที่เคร่งขรึมของจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย ก็ค่อยๆ ส่ายหน้า “ข้าคงไม่ไปหรอก”

เจียงหลีเพิ่งจะตัดสินใจจะพูดอะไรออกมา ในเวลานั้น ก็รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาหาพวกเขา

มู่ชิงเกอกับเจียงหลีมองออกไป เมื่อมองเห็นชัดถึงคนที่มา ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะคนที่มานั้นกลับเป็นเซวียฉง

เซวียฉงยืนอยู่ตรงหน้าของคนทั้งสอง ใบหน้ามีรอยยิ้มหล่อเหลาสง่างาม “ฮ่องเต้เจียง คุณชายมู่ไม่ทราบว่าจะสามารถให้เกียรติขอให้ข้าเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารได้ หรือไม่?”

นัยน์ตาสดใสของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ยืนขึ้น “ได้”

เซวียฉงคงจะไม่ได้มาหานางเปล่าๆ อาจจะมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับท่านอา มู่ชิงเกอนำเอาการคาดเดาในครั้งนี้ตอบรับคำเชิญของเซวียฉง

การตอบรับของมู่ชิงเกอ เจียงหลีก็แน่นอนว่าไม่ปฏิเสธ

ก่อนจะไป หลังจากที่มู่ชิงเกอพูดคุยกับจ้าวหนานซิงไม่กี่ประโยคแล้ว ถึงได้ไปกับเซวียฉง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!