ตอนที่ 228
พบคนรู้จักผู้พลัดพราก
เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงตั้งอยู่ทางเขตภาคใต้ของโลกแห่งยุคกลาง ในบรรดาเมืองทั้งหมดของเขตภาคใต้ มันก็ไม่ได้ถูกนับว่าเป็นเมืองขนาดเล็ก แต่ก็ไม่ได้ถูกนับว่าเป็นเมืองขนาดใหญ่
อยู่ที่นี่ก็มีตระกูลใหญ่เล็กจัดตั้งอยู่เกือบร้อยตระกูล แต่ถึงอย่างนั้นที่ถูกนับว่ามีหน้ามีตา สามารถสร้างความกดดันให้แก่ผู้คนได้นั้นกลับมีเพียงห้าตระกูล
ห้าตระกูลนี้ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ถือเป็นขุมกำลังที่คานอำนาจซึ่งกันและกัน ต่อตีชิงดีชิงเด่นกันมานานนับพันปี แต่ก็ยังไม่สามารถแบ่งอันดับหนึ่งสองสามออกมาได้
อย่างช้าๆ การจัดอันตระกูลที่มีมานานในโลกแห่งยุคกลาง ก็เลยกลายมาเป็นสนามประลองฉากหน้าที่สำคัญที่สุดของพวกเขา ใช้มันแบ่งแยกอันดับของพวกเขาทั้งห้าตระกูล
แต่ถึงอย่างนั้น ในความเป็นจริงแล้ว หลายปีมานี้ทุกๆ ครั้งก่อนที่การแข่งขันจัดอันดับจะถูกจัดขึ้น ฉากโหดเหี้ยมที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดกลับล้วนแต่ดำเนิน ขึ้นในฉากหลังเรื่อยมา
วันนี้ก็คือสามวันก่อนที่การแข่งขันของตระกูลต่างๆ ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงจะเริ่มต้นขึ้น
และหลังจากนี้ไปสามวัน การแข่งขันในการหาตัวแทนผู้นำของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็จะเริ่มต้นขึ้น
การแข่งขันครั้งนี้ก็จะกลายเป็นช่วงเวลาที่คึกคักและช่วงที่ดุเดือดที่สุดของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง
ในบรรดาห้าตระกูลก็จะมีอัจฉริยะถือกำเนิดขึ้นมาจำนวนไม่น้อย กลายเป็นมังกรผงาดขึ้นสู่ฟ้า และก็จะมีอัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนที่เลือดจะต้องย้อมเปื้อนไปที่ สนามประลอง ทำการเสียสละชีวิตเพื่อวงศ์ตระกูล การพบปะหรือการเข่นฆ่ากันของวน ถาน เจี่ยง เซิ่ง เล่อ ทั้งห้าตระกูลในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ได้กลายเป็นเรื่องบันเทิง ที่ผู้คนต่างพูดถึงกัน
คํ่าคืนนี้ เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ตกเข้าสู่ความเงียบสงบเช่นเคย สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนพากันหยุดลมหายใจ รอคอยการมาถึงของสามวันให้หลัง
มีเพียงสถานที่แห่งเดียวที่เป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือแหล่งโลกีย์ของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงที่ยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครง
ภายในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงอันเงียบสงบ ในจุดที่แสงโคมสาดส่อง ในจุดที่เต็มไปเสียงร้องรัญจวนของหญิงสาวและเสียงเสียดสีของไม้ไผ่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกชัน ก็กำลังดึงดูดให้ชายหนุ่มจำนวนไม่น้อยเข้าไปใกล้
ค่ำคืนนี้ก็เพิ่งผ่านพ้นฝนตกครั้งใหญ่ไป พื้นหินตามถนนและตรอกซอกซอยก็ยังคงหลงเหลือแอ่งนํ้าอยู่ด้านบนประปราย ขับสะท้อนแสงโคมที่แขวนอยู่ตามมุมบ้าน
ทั้งเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ล้วนแต่ตกเข้าสู่ความมืดมิดไปจนหมดแล้ว เหลือแต่เพียงจุดเล็กๆ จุดหนึ่งที่ยังคงถูกแสงโคมและเทียนส่องแสงจนสว่างไสว
โคมแดงที่เรียงเป็นแถวแนวพวกนั้นก็ราวกับป้ายบอกทางในความมืด เย้ายวนให้ผู้คนตกเข้าไปสู่ห้วงกามารมณ์ก้าวทีละก้าวเข้าไปในดงบุปผา เข้าไปเชยชมเสพรับความบันเทิงที่ ‘ถึงแม้จะต้องแลกมาด้วยตายภายใต้ดอกโบตั๋นก็ยังยินดี’
ชั่วขณะนั้นเองตรงมุมถนนสายหนึ่ง โคมแดงดวงหนึ่งก็พลันร่วงตกลงที่พื้น ถูกแอ่งน้ำบนพื้นหินซึมเข้าจนเปียกยุ่ย ดับมอดเปลวเทียนลงไป
รอบด้านเส้นแสงอยู่ๆ ก็ดำมืดลงไปบางส่วน เหลือทิ้งเพียงโคมแดงใต้คานบ้านจำนวนหนึ่งที่พลิ้วไหวไปตามลม
เท้าข้างหนึ่งอยู่ๆ ก็เหยียบยํ้าลงไปบนโคมที่ขาดรุ่ย นี่ก็ถือเป็นรองเท้าชั้นดีข้างหนึ่ง มีด้ายทองปักลวดลายอยู่ด้านบน ทั้งยังประดับประดาไปด้วยลายดอกไม้ที่ดูมีชีวิตชีวา
บนรองเท้าปักก็มีผ้าผืนบางสะบัดพลิ้วอยู่ด้านบน เผยให้ข้อเท้าอยู่รางๆ เท้าข้างนี้เพิ่งจะปรากฏ ด้านหลังไกลออกไป ก็ลอยดังมาด้วยเสียงฝีเท้าเร่งรีบ ทั้งยังเสียงร้องเรียกวุ่นวาย
เจ้าของรองเท้าปักก็ราวกับจะนิ่งชะงักอยู่กับที่ไปครู่หนึ่ง ใช้เท้าอีกข้างเตะโคมที่ขาดยุ่ยออกไป หลังจากนั้นก็วิ่งไปทางตรอกเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามอีกด้านหนึ่งอย่างไม่ลังเล
ที่แผ่นหลังของนางก็ประทับอยู่ด้วยความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ ผ้าโปร่งผืนบางที่ห่มคลุมอยู่บนร่างของนางก็เหมือนกับของพวกหญิงคณิกาเหล่านั้น แต่นั้นกลับคงไว้ซึ่งความสูงส่งเย็นชาดุจราวกับผู้สูงศักดิ์อยู่สายหนึ่ง
นางกำลังอยู่ระหว่างการเอาชีวิตรอด จึงไม่ได้ทันได้สังเกตเห็นว่าบนหลังคาบ้านที่ตกอยู่ในความมืดมิดนั้น
ยืนอยู่ด้วยคนในชุดคลุมจำนวนหนึ่ง พวกเขาที่อยู่ในความมืดมิดก็จับจ้องไปยังทิศทางที่นางกำลังหนีไป
ในกลุ่มคนพวกนี้ คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดครอบครองแววตากระจ่างชัดคู่หนึ่ง ในแววตาราวกับไม่ได้คงไว้ซึ่งความรู้สึกใดๆ แต่มันกลับดูราวกับว่าจริงแท้และสามารถจับต้องได้มากที่สุด นางจับจ้องไปยังแผ่นหลังที่ดูไม่แปลกตาสายนั้นริม ฝีปากทั้งสองข้างอดไม่ได้ที่จะเม้มเข้าหากันเบาๆ
“มั่วหยาง” นางค่อยๆ เปิดปากขึ้น
ที่ข้างกายของนางมีคนหนึ่งก้าวออกมา ไม่ต้องสั่งการให้มากความ เร่งรีบผละตัวออกไปจากกลุ่ม ลอบติดตามไปยังทิศทางที่หญิงสาวนางนั้นมุ่งไปภายใต้ความมืดมิด
และในตอนที่เขาจากไปแล้วนั้น เจ้าของเสียงวุ่นวายเหล่านั้นในที่สุดก็ปรากฏออกมายังจุดที่โคมกระดาษตกลงไป
“หญิงแพศยา! ถึงกับกล้าหนีได้? ดูสิว่าหลังจากข้าจับเจ้าได้แล้ว จะจัดการกับเจ้าอย่างไร!” ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหน้าสุด บนหมัดของเขาทอแสงสีม่วงเข้มออกมา
ชัดเจนว่าอยู่ระดับสีม่วงขั้นสูงสุด
สีหน้าแววตาของดูโหดเหี้ยมอำมหิต ในแววตาฉายแววหื่นกระหายและหยาบช้า แค่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอันใด
ที่ด้านหลังของเขายังมีชายหนุ่มหน้าตาหยาบโลนอยู่อีกจำนวนหนึ่ง บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยแววโหดเหี้ยมเช่นเดียวกัน ระดับการฝึกฝนของทุกคนก็ล้วนแต่อยู่ระดับสีม่วงขั้นสูง
คนกลุ่มนี้ถ้าหากอยู่ที่หลินชวนก็เกรงว่าจะเป็นยอดฝีมือที่คนนับหมื่นจักต้อง เกรงกลัวแล้ว
แต่ว่าที่นี่ก็เป็นโลกแห่งยุคกลาง ระดับพลังของพวกเขาก็เป็นเพียงแค่พวกระดับล่างสุดของผืนแผ่นดินแห่งนี้ ดังนั้น นี่ก็กำหนดเอาไว้แล้วว่าพวกเขาก็จะทำได้แต่ เพียงพวกงานสกปรกและชั้นตํ่าเท่านั้น
“พี่ใหญ่ ที่นี่มีถนนสองสาย นางแพศยานั้นไม่รู้ตอนนี้หนีไปทางไหนแล้ว?” หนึ่งคนในนั้นก็ชี้ไปยังเส้นทางซ้ายขวาก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
คำถามข้อนี้ก็ทำให้หัวหน้าของพวกเขาต้องขมวดคิ้วขึ้น ตกเข้าสู่ห้วงความคิด
หันไปเอ่ยกับอีกคนหนึ่ง “หญิงแพศยานางนั้นถึงกับกล้าทำร้ายคุณชายตระกูลเจี่ยง”
ถ้าหากไม่นำตัวนางกลับไป ก็เกรงว่าพวกเขาจะต้องอับโชคตามไปด้วย!
“เหอะ! คนชั้นตํ่าที่แสร้งทำตัวเป็นสูงส่ง! คิดจริงๆรึไงว่าตัวเองเป็นหญิงสูงศักดิ์อะไรพวกนั้น?” หัวหน้ากลุ่มเอ่ยขึ้นนํ้าเสียงชิงชัง
“พี่ใหญ่ โคมไฟตกอยู่ด้านนี้ คิดว่าหญิงนางนั้นคงต้องหนีไปทางนี้เป็นแน่” คนอีกผู้หนึ่งก็ก้าวเท้าเบียดขึ้นมา มองไปทางทิศทางที่โคมไฟร่วงตกอยู่ ชี้ไปยังทิศทางตรงกันข้ามที่หญิงนางนั้นหนีไป แสดงสติปัญญาของตนออกมา คำพูดนี้พอหลุดออกมาต่างก็ทำให้คนอื่นๆ เห็นด้วยในทันที
แต่ว่าในตอนที่พวกเขากำลังจะจากไปนั้น หัวหน้ากลุ่มก็พลันยกมือขึ้นหยุดยั้งเอาไว้ก่อน “เดี๋ยวก่อน! คณิกานางนั้นถึงแม้ระดับการฝึกฝนจะธรรมดาสามัญ แต่ก็ยังเฉลียวฉลาดอยู่บ้าง โคมดวงนี้ตกอยู่ที่นี่ ก็กล่าวไม่แน่ว่าจะเป็นนางที่ชักนำให้พวกเราไปยังทิศทางตรงกันข้าม พวกเราควรตามไปทางนี้!”
หัวหน้าผู้นี้ก็ยังถือว่ามีความฉลาดอยู่บ้าง ถึงกับเดาเส้นทางที่หญิงสาวหนีไปได้ถูก
และในเวลาเดียวกันนั้น การกระทำของพวกเขาทั้งหมด ก็ล้วนแต่ตกอยู่ในสายตาของกลุ่มคนที่อยู่บนหลังคา
ในตอนที่พวกเขามุ่งตามไปยังทิศทางที่หญิงสาวจากไป คนด้านบนอยู่ๆ ก็ลอบพูดเสียงเรียบออกมา “ฆ่า”
เสียงของนางเพิ่งจะจบลง ชายชุดคลุมห้านายที่ขนาบซ้ายขวาของนางก็ราวกับภาพมายาก็ไม่ปาน ลอยละล่องออกไปจากด้านบนหลังคา ก่อนจะไปปรากฏที่ด้านหลังของคนกลุ่มนั้นอย่างไร้สุ่มเสียง ยกมีดสังหารขึ้น ฉึก ฉึก ฉึก!
ประกายคมมีดหลายสายร่วงตกลง คนพวกนั้นยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมา ไปจนถึงขั้นยังมองไม่ชัดถึงรูปลักษณ์ของผู้ที่ลงมือสังหาร ก็ล้มยวบลงไปบนถนนสายนั้นอย่างไร้เสียงต่อต้าน
หลังจากจัดการภารกิจสำเร็จ ทั้งห้าคนก็ราวกับภูตผีก็ไม่ปาน ก้าวเท้าด้วยท่าก้าวพิสดาร พุ่งกลับไปยังข้างกายของคนผู้นั้นอย่างเงียบเชียบ
หลังจากรอบด้านกลับเข้าสู่ความสงบแล้ว คนที่ถูกกลุ่มคนอารักขาอยู่ด้านในก็ถึงค่อยส่งเสียงทอดถอนใจออกมาเสียงเบา เรียกชื่อชื่อหนึ่งที่ได้ห่างหายไปนาน “ฉินอี้เหยา”
หญิงสาวที่ทำการหลบหนีอย่างสุดชีวิตก็ไม่ได้รู้เลยว่า อันตรายด้านหลังได้ถูกจัดการลงแล้ว และก็ยิ่งไม่รู้ว่าด้านหลังของนางไกลออกไปก็ยังมีเงาร่างสายหนึ่งลอบตามมาในเงามืด
นางวิ่งซอกแซกไปมาตามตรอกของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงอย่างคุ้นชิน อย่างช้าๆ วิ่งไกลออกไปจากเขตที่เต็มไปด้วยโคมแดงผืนนั้น เข้าไปสู่บริเวณที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่ง อาคารบางหลังก็หลังคาเบี้ยวเอียง บ้างก็กำแพงแตกหัก
ที่นี่เป็นเขตสลัมของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง เป็นที่พักของชาวเมืองชั้นล่าง ถือเป็นเขตพักอาศัยของคนที่มีลำดับชั้นต่ำที่สุดในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง
อยู่ที่นี่โชยเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นอับ ทั้งยังสกปรกเป็นอย่างมาก
ถือเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ตระกูลใหญ่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง แม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่ยินยอมก้าวเข้ามา
ไม่ว่าในเมืองอยู่ๆ จะเกิดเรื่องราวอันใดขึ้น จนจำเป็นจะต้องส่งคนออกลาดตระเวน ตอนที่ออกตรวจตรา เขตเขตนี้ก็ถือเป็นสถานที่จุดหนึ่งที่คนตรวจตรามักจะจงใจข้ามผ่านไม่สนใจมัน
แต่ว่าหญิงสาวนางนั้นที่แต่งตัวไม่เข้ากับเขตเขตนี้กลับไม่มีท่าทีรังเกียจต่อสถานที่แห่งนี้เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเหยียบยํ่าลงไปบนซากหินกับพื้นสกปรก ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในประตูไม้ที่หักพังบานหนึ่ง
นางเพิ่งจะก้าวเดินเข้าไป เงาร่างสีดำสายหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอกประตูไม้
ใบหน้าของมั่วหยางถูกปกปิดด้วยหมวกคลุมใบใหญ่
ปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด เผยออกมาเพียงแววตาสุขุมคู่หนึ่งเท่านั้น
เขาจ้องมองไปยังประตูไม้ที่สามารถปิดสนิทได้บานนั้น แววตาไหววูบขึ้นสายหนึ่ง ร่างกายหายวับไป เข้าไปในด้านในของประตู เข้าไปยืนอยู่บนพื้นขรุขระไม่เท่ากันผืนหนึ่ง
บนพื้นขึ้นเต็มไปด้วยต้นหญ้าเป็นหย่อมๆ ดูยุ่งเหยิง เหมือนไม่ได้รับการดูแลมาเป็นระยะเวลานาน
บนพื้นในส่วนที่เป็นหลุมก็สะสมเติมไปด้วยนํ้าฝน ถูกแสงจันทร์สาดแสงใส่จนสะท้อนระยิบระยับออกมา ซึ่งมันกลับเป็นการช่วยประดับให้ด้านในตัวอาคารดูงดงามขึ้นมาบ้างบางส่วน
มั่วหยางกวาดตามองไปโดยรอบสถานที่แห่งนี้ในแววตาฉายแววครุ่นคิด
ราวกับเขาจะคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวเมื่อครู่จะถึงกับอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
ทันใดนั้นเองห้องสภาพเละเทะตรงหน้าก็พลันมีแสงเทียนถูกจุดขึ้น แสงเทียนสีส้มที่สั่นไหวไปมาสายนั้นทำการขับไล่ความมืดมิดในตัวอาคารออกไป และก็กลายเป็นเพิ่มความอบอุ่นขึ้นมาสายหนึ่ง
แสงไฟที่ถูกจุดขึ้นก็ทำให้เงาร่างของมั่วหยางที่ยืนอยู่ในตัวอาคารหายลับไป ไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งตรงใต้คานที่ผุพัง แนบชิดตัวเองไปกับกำแพงดิน มองลอดผ่านหน้าต่างที่ไม่สามารถบดบังอะไรได้บานนั้นเข้าไป
การจัดวางในห้องนั้นเรียบง่ายมาก มีเพียงโต๊ะเอียงๆ ตัวหนึ่งที่ขอบทั้งสี่ด้านเอียงเบี้ยวไม่เท่ากัน
ตะเกียงนํ้ามันก็ถูกวางเอาไว้บนโต๊ะตัวนั้น
มั่วหยางกวาดตามองไปทางมันอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะค้นพบว่าด้านหลังของมันยังมีตู้ที่เก่ามากวางอยู่ ทิศทางด้านในของตู้ก็เผยให้เห็นขอบเตียงมุมหนึ่ง ฉินอี้เหยาองค์หญิงที่เคยเต็มไปความสูงศักดิ์ของแคว้นฉินผู้นี้ ตอนนี้ก็ได้ยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะ นางจุดตะเกียงน้ำมัน และไม่ได้ค้นพบว่ามีคนแอบจับตามองอยู่ในเงามืด และไม่ได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าผืนโปร่งบางที่เปิดเผยทรวดทรงของตนผืนนั้น แต่เป็นหันหลังให้มั่วหยางเดินตรงไปยังจุดที่เตียงตั้งอยู่
มั่วหยางก็เอาใบหน้าแนบเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม ทำเช่นนั้นถึงจะสามารถทำให้เขาเห็นเตียงได้ชัดขึ้น
ผ้าห่มผ้าคลุมบนเตียงพวกนั้นซีดเหลืองแล้ว ตรงกลางของมันนูนออกมาเล็กน้อยราวกับกำลังห่มคลุมอะไรบางอย่างอยู่
ทันใดนั้นเองเสียงของฉินอี้เหยาก็ลอยดังออกมาจากในห้อง
นางเหมือนกับว่ากำลังพูดคุยกับใครอยู่
“คืนนี้ข้าไปช่วยเจ้าแก้แค้นมา เจี่ยงเทียนอี้ทำร้ายเจ้าจนมีสภาพเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้าก็ช่วยเจ้าฆ่าเขาแล้ว ต่อจากนี้เจ้าก็ไม่ใช่ว่าสามารถนอนตายตาหลับได้กระมัง? เช่นนี้ก็ไม่นับว่าเป็นการละเลยหนี้บุญคุณที่เจ้าเคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้” คำพูดของฉินอี้เหยานั้นนิ่งสงบ ความเรียบเฉยเช่นนั้นก็ราวกับผ่านพ้นความสิ้นหวังมามาก มายนับครั้งไม่ถ้วน จนก่อร่างเป็นตัวตนนี้ขึ้นมา ถึงแม้ว่าคำพูดนี้ของนาง คำศัพท์ที่ใช้ก็จะแฝงเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก แต่นํ้าเสียงที่ราบเรียบนั้นกลับลดทอนความจริงใจลงไปหลายส่วน
ราวกับว่าคนที่กล่าวคำพูดนี้ออกมาก็เป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจ เรื่องราวที่นางทำมา ก็เป็นแค่การแลกเปลี่ยนอันยุติธรรมที่เจ้าช่วยข้าแล้วข้าแก้แค้นให้เจ้า
ฉินอี้เหยาที่อยู่ในสภาพนี้ก็ทำให้มั่วหยางรู้สึกแปลกหน้านัก เขาก็พยายามเอานํ้าเสียงของหญิงสาวตรงหน้ากับองค์หญิงฉางเล่อในภาพจำเชื่อมโยมเข้าด้วยกัน แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจทำสำเร็จ
มั่วหยางเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เขาอยากจะรู้นักว่าเป็นใครที่ทำให้องค์หญิงพระองค์นี้ยอมไปเสี่ยงอันตรายได้
ในตอนที่ติดตามมา มั่วหยางก็ได้รู้ถึงระดับการฝึกฝนของฉินอี้เหยาแล้ว ก็ยังอยู่แค่ระดับสีนํ้าเงินขั้นสูงสุด คนคนหนึ่งที่แม้แต่ระดับสีม่วงก็ยังไม่ใช่ กลับมาปรากฏตัวที่โลกแห่งยุคกลางเสียได้อีกทั้งยังไปปรากฏในแหล่งโลกีย์เช่นนั้นอีก
ซึ่งจากคำพูดของนางก็ยิ่งทำให้เขารู้ว่าฉินอี้เหยาคืนนี้ก็ยังไปลอบสังหารคนที่ไม่ธรรมดามาคนหนึ่ง
‘เจี่ยงเทียนอี้’ มั่วหยางก็ไม่ได้ปล่อยผ่านชื่อชื่อนี้ที่หลุดออกมาจากวาจาของฉินอี้เหยา ชื่อชื่อนี้เขาก็ไม่ได้ยินมันเป็นครั้งแรก ในวันแรกที่เขาก้าวเข้าสู่เมืองอวี๋สุ่ยเฉิง เขาก็ได้รู้แล้วว่าเจ้าของชื่อชื่อนี้ก็เป็นคุณชายรองตระกูลเจี่ยงที่อยู่ในห้าอันดับตระกูลใหญ่ของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ฉินอี้เหยาถึงกับไปลอบสังหารเจี่ยงเทียนอี้? มั่วหยางหลังจากได้ฟังข่าวนี้แล้ว ความรู้สึกแรกก็คือ ต้องรีบไปบอกให้คุณชายทราบ หลีกเลี่ยงไม่ให้เรื่องไม่คาดฝันนี้ส่งผลกระทบต่อแผนการทั้งหมดของคุณชาย แต่ว่าสภาพการณ์ของฉินอี้เหยาฝั่งนี้ก็ยังไม่ได้สืบความจนชัดเจน เขาก็ยังไม่สามารถจากกลับไปได้ นัยน์ตาของมั่วหยางไหววูบขึ้นมาหลายครั้ง ทำการจับตาดูความเคลื่อนไหวในห้องของฉินอี้เหยาต่อไป ฉินอี้เหยาก็ราวกับจะหมดคำพูดกับคนบนเตียงแล้ว นางลุกยืนขึ้นเดินไปทางตู้ตู้นั้น เปิดประตูตู้ออกมา ก่อนที่นางจะหยิบห่อผ้าที่ได้เตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
หลังจากนั้นก็หยิบชุดธรรมดาๆ ออกมาชุดหนึ่ง เตรียมที่จะเปลี่ยนมัน
พอเห็นเช่นนี้มั่วหยางก็ทำได้เพียงถอนสายตากลับมาชั่วคราว หลีกเลี่ยงฉากภาพกระอักกระอ่วนนี้
ในห้องหลังจากสะท้อนเสียงสาบเสื้อเสียดสีกันไปมาไปช่วงหนึ่ง แล้วนิ่งสงบลง
มั่วหยางขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะมองจ้องเข้าไปจากในหน้าต่าง เขาส่งสายตามองไปอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะเห็นเข้ากับอะไรที่ไม่ควร และในตอนที่เขาเห็นฉาก
ภาพในห้องในใจก็ลอบถอนหายโล่งอกออกมา
ฉินอี้เหยาได้แปลงกายเป็นบ่าวรับใช้หน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้หนึ่งแล้ว บนหัวของนางสวมที่ครอบผม เอากระเป๋าย่ามพาดเอาไว้บนไหล่ หลังจากนั้นก็หันมองไปทางคนบนเตียงสายตาหนึ่ง เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ขอโทษด้วย ข้าจำเป็นต้องจากไปแล้ว”
คำกล่าวประโยคนี้ก็ได้แสดงจุดประสงค์ของนางอย่างชัดเจนแล้ว
บุญคุณของคนบนเตียงนางก็ได้ตอบแทนแล้ว ในเมื่อนางช่วยคนบนเตียงแก้แค้น เพื่อจะไม่ให้ตนเองต้องตกเข้าไปสู่ความเสี่ยง นางก็จำเป็นจะต้องออกจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงอย่างรวดเร็วในตอนที่ตระกูลเจี่ยงยังไม่ทันได้เคลื่อนไหว
ดังนั้นนางก็ทำได้เพียงขอโทษไปทางคนบนเตียง ความเป็นความตายของคนบนเตียงก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับนาง!
ฉินอี้เหยาดับตะเกียงนํ้ามันลง ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง วิ่งออกไปด้านนอก
มั่วหยางทำกับกักเก็บไอพลังของตน แอบซ่อนอยู่ในเงามืด ก็ไม่ได้คิดกังวลว่าฉินอี้เหยาจะสัมผัสถึงตนได้ และฉินอี้เหยาก็แน่นอนว่าไม่สามารถค้นพบความผิด ปกติได้ เพียงแค่เร่งรีบวิ่งออกไปจากอาคารหลังนี้
หลังจากนางจากไปแล้ว มั่วหยางคิดแล้วคิดก่อนหายวับเข้าไปในห้อง มุ่งตรงไปยังขอบเตียง พอมาถึงขอบเตียง บวกกับแสงจันทร์ด้านนอก มั่วหยางก็สามารถมองเห็นชัดได้ถึงสภาพของคนที่นอนอยู่บนเตียง…
เขาดวงตาทั้งสองข้างพลันหดเล็กลง ในแววตาฉายแววตกตะลึงออกมา
ที่นอนอยู่บนเตียงด้านหน้าเขาก็ไม่ใช่ผู้สามารถเรียกว่า ‘คน’ ได้ แขนขาทั้งสี่ข้างของนางถูกตัดออกไปจดหมด เหลือเพียงส่วนหัวกับส่วนตัว
บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผลพวกนั้นก็ยังสามารถมองออกได้ว่าหญิงตรงหน้านางนี้แต่ก่อนก็เป็นหญิงงามคนหนึ่ง
และในตอนนี้เอง ดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและไม่ยินยอม ไปจนถึงความสิ้นหวัง ก็พลันเบิกกว้าง จ้องมองมาทางมั่วหยาง
ในตอนนี้มั่วหยางก็แยกไม่ออกแล้วว่าความเคียดแค้นที่นางมีนั้น มีไว้ให้ศัตรูของนางเจี่ยงเทียนอี้ หรือว่ามีให้ฉินอี้เหยาที่ปล่อยให้นางนอนรอความตายอยู่ที่นี่
เขาเพียงแค่ค้นพบว่า หลังจากที่ตนปรากฏกายออกมา ในแววตาของหญิงสาวที่เอาแต่ปิดปากไม่เปล่งวาจาผู้นี้ ก็ทอแวววาดหวังขึ้นมาสายหนึ่ง
ปากของนางขยับขึ้นราวกับว่าจะขอร้องอ้อนวอนมั่วหยาง แต่กลับไม่มีเสียงเปล่งออกมา กลับกันกลับทำให้มั่วหยางค้นพบว่าลิ้นของนางได้ถูกคนตัดออกไปแล้ว
มั่วหยางไม่สนใจแววตาอ้อนวอนและคาดหวังของนาง เขาไม่ใช่นักบุญและก็ไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องลงมือช่วยเหลือ
มองไปยังหญิงสาวบนเตียงสายตาหนึ่ง เขาชักเอามีดพกออกมา เงามีดไหววูบ ทิ้งรอยเลือดเอาไว้ตรงหว่างคิ้วของหญิงนางนั้น ส่วนแววตาวาดหวังของหญิงนางนั้นก็กลายเป็นดับสลายหายไปพร้อมกับมัน
บางทีความตายในตอนนี้ก็จะถือเป็นการช่วยเหลือที่ดีที่สุดต่อหญิงสาวนางนี้
มั่วหยางหลังจากลงมือเสร็จแล้วก็ออกไปจากตัวอาคารอย่างรวดเร็ว แต่ว่าหลังจากที่วนไปรอบ ‘เขตสลัม’ แห่งนี้ครบรอบหนึ่งแล้ว เขากลับค้นพบว่าตนเองได้สูญเสียร่องรอยของฉินอี้เหยาไปแล้ว ไอพลังของนางก็ราวกับ
อยู่ดีๆ ก็หายไป
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น?’ มั่วหยางที่ยืนอยู่บนพื้นสกปรก ขมวดคิ้วแน่นเข้าหากัน
ในความมืดมิด รถลากขนาดใหญ่ที่เทียมด้วยสัตว์อสูรคันหนึ่งก็ราวกับยมทูตก็ไม่ปาน เคลื่อนขยับล่องลอยไปมาท่ามกลางตรอกซอกซอยของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง
ในตอนที่ค้นพบ ‘วิญญาณเร่ร่อน’ ที่อยู่โดดเดี่ยวลำพังในความมืด มันก็จะยื่นกรงเล็บยักษ์ออกไปใช้จังหวะที่ ‘วิญญาณเร่ร่อน’ พวกนั้นไม่ทันระวังกรงเล็บเดียว กระชากดึงตัวพวกเขา ดึงผู้คนเข้าไปในรถลากอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสะกดไอพลังทั้งหมด ก่อนจะจากไปราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ช่องว่างขนาดใหญ่ด้านในรถลากทั้งเหม็นอับและเบียดเสียด
ด้านในขังอยู่ด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อย มีทั้งชายและหญิง อายุอานามล้วนแต่เยาว์วัย หลังจากถูกจับขึ้นมาบนรถลากแล้ว ผ่านไปไม่ถึงอึดใจก็จะตกเข้าสู่การหลับใหล รูปสลักของหัวสัตว์อสูรดุร้ายที่สลักอยู่บนผนังรถก็พ่นควันเอื่อยๆ ออกมาไม่หยุด ราวกับว่าจะมีฤทธิ์ทำให้ ‘ง่วงนอน’
ฉินอี้เหยาที่ร่วงตกเข้าไปในรถลาก บนไหล่ยังคงมีความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ เหตุการณ์ที่มาอย่างไม่คาดฝันนี้ก็ทำให้นางหัวใจตกไปยังก้นเหวลึก
นางต้องการหนีไปจากที่นี่ แต่กลับต้องตกเข้ามาในปากเสืออีกครั้ง? ในแววตาของนางทอแววสิ้นหวัง แต่ก็วกกลับไปฉายแววฮึดสู้อย่างรวดเร็ว
ควันบางเบาโอบโชยไปรอบตัวนาง นางรู้สึกง่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่สามารถต้านรับกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตเวลาง่วงเอาไว้ได้
‘ห้ามหลับ! ห้ามหลับ! ข้าจะต้องหนีไป!’ นางออกคำสั่งกับตัวเองไม่หยุด แต่ว่าในท้ายที่สุดเปลือกตาอันหนักอึ้งก็ปิดลงมา นอนล้มลงไปบนรถลาก
หลังจากที่นางสลบไปแล้ว ประตูรถก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง แล้วก็ยังมีเงาร่างเรียวบางอีกสายถูกจับโยนเข้ามา โยนไว้ที่ข้างกายของนาง…
ระหว่างที่รถลากที่เหมือนราวกับยมทูตนี้ขับเคลื่อนไปมาในเมืองอวี๋สุยเฉิงอย่างไร้ร่องรอย มั่วหยางก็ยังตามหาฉินอี้เหยาอยู่
เขาก็สงสัยมาก ด้วยฝีเท้าของฉินอี้เหยาก็ไม่มีทางจะมาหายไปจากจิตหยั่งรู้ของเขาอย่างสิ้นเชิงด้วยระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้นี้ก็ได้เกิดขึ้น
เสียงล้อรถดังแว่วมาจากที่ห่างไกลออกไป ค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้
มั่วหยางเร่งรีบแอบซ่อนเงาร่างของตน หลบเข้าไปในเงามืดอย่างไร้สุ่มเสียง
ในตอนที่เขาเพิ่งจะเร้นกายไปได้ไม่ทันไร ก็ค้นพบว่าภาย ใต้การปกปิดของความมืดมิด ก็มีรถลากสัตว์ขนาดใหญ่คันหนึ่งกำลังเคลื่อนผ่านไอหมอก ค่อยๆ แล่นเข้ามา
สัตว์อสูรที่ลากรถลาก ดวงตาทั้งสองข้างของมันก็ถูกปิดเอาไว้ ที่ใบหูก็ถูกแขวนห่วงกระดิ่งอยู่ บนห่วงกระดิ่ง ก็ยังผูกด้วยเชือกเส้นบางเส้นหนึ่ง ราวกับทิศทางทั้งหมด ล้วนใช้เสียงกระดิ่งในการบอกเส้นทาง
ทั่วทั้งตัวรถล้วนแต่ถูกปกปิดเอาไว้อย่างมิดชิด ทอดมองไปก็ไร้ซึ่งประตูและหน้าต่าง ส่วนด้านบนก็ถูกสลักเอาด้วยลวดลายที่ดูลึกลับและประหลาดตา
รถลากที่แลดูประหลาดตาเช่นนี้ อยู่ๆ กลับมาปรากฏขึ้นในตรอกซอกซอยของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงในเวลาเช่นนี้ได้นี่ก็ ทำให้มั่วหยางเกิดสงสัยขึ้นมา
นัยน์ตาที่แอบซ่อนอยู่ในเงามืดคู่นั้นก็จับจ้องไปยังรถลากสัตว์อสูรไม่ปล่อย
ในตอนนั้นเอง ที่รถลากก็พลันมีเสียงบางเบาลอยออกมา “หืม?”
เสียงเสียงนี้ก็ฟังไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง และก็ยิ่งฟังไม่ออกว่าเป็นของเด็กหรือผู้ใหญ่ มีเพียงหนึ่งเดียวที่ฟังออกก็คือความสงสัย
“เมื่อครู่ก็ชัดเจนว่ายังอยู่ตรงนี้พริบตาเดียวก็กลายเป็นไม่เจอแล้ว!”เสียงแหบแห้งสายหนึ่งดังสะท้อนออกมา
เสียงแหบแห้งนี้ก็ระคายหูนัก ราวกับว่าถูกกรอกยาพิษรุนแรงเข้าไปในลำคอก็ไม่ปาน เหมือนกับกล่องเสียงถูกทำลาย สูญเสียเสียงปกติที่มีแต่เดิมไป
คำพูดประโยคนี้เขาก็เหมือนกับว่ากำลังพูดกับตัวเอง ไม่ได้มีคนตอบกลับมา
รถลากสัตว์อสูรหยุดลงในจุดที่มั่วหยางเคยยืนอยู่เมื่อตอนก่อนหน้า ม่านหมอกยามราตรีพัดโชยไปลอบด้าน ขับเน้นให้ดูลึกลับและน่าหวาดผวา
มั่วหยางในใจอยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย เขาราวกับสัมผัสได้ว่าคนที่รถลากคันนี้กำลังตามหาเป็นตน
เขาดึงเก็บไอพลัง ริมฝีปากทั้งสองข้างปิดสนิท ผ่อนเบาลมหายใจให้บางเบากว่าเดิม จับจ้องไปยังรถลากสัตว์อสูรที่ดูประหลาดตาคันนั้นโดยไม่ขยับเคลื่อนไหว
ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง รถลากสัตว์อสูรก็เหมือนกับจะล้มเลิกการรอคอย ค่อยๆ เคลื่อนขยับออกไป ค่อยๆ หายไปจากสายตาของมั่วหยาง
หลังจากที่มันจากไปแล้ว มั่วหยางก็ยังรอคอยอย่างอดทนไปอีกครู่หนึ่ง
ความเงียบลอบด้านค่อยๆ กอบกุมตัวเขาอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเอง รถลากสัตว์อสูรที่เพิ่งจะจากไปก็วกกลับมา เปิดเผยรูปลักษณ์ขึ้นอีกครั้ง
แววตาของมั่วหยางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน จับจ้องอย่างเงียบเชียบ
“หายไปแล้วจริงๆ” เสียงแหบแห้งลอยเข้ามาอีกครั้ง หลังจากนั้น รถลากสัตว์อสูรก็หมุนกลับไป หายไปจากตรงหน้าของมั่วหยางอีกครั้ง
รอหลังจากที่มันจากไปแล้ว มั่วหยางถึงค่อยยืนออกมาจากความมืด จับจ้องไปยังทิศทางที่รถลากสัตว์อสูรจากไปอย่างครุ่นคิด
ก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่างขึ้น เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลแล้ว
มั่วหยางกลับไปยังเรือนขนาดเล็กที่ใช้พักเท้าชั่วคราว
เขาพอก้าวเข้ามา ก็เห็นเข้ากับจิงไห่ที่เดินออกมาจากห้องครัว เขาเผยรอยยิ้มเจิดจ้ามาให้เขา “พี่มั่ว ท่านกลับมาแล้ว?”
มั่วหยางมองไปทางเขาสายตาหนึ่ง เอ่ยถามขึ้น “เจ้าฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง?”
จิงไห่พยักหน้าแรงๆ พลางเอ่ยขึ้น “ข้าเพิ่งจะฝึกเสร็จ คิดว่าทุกคนคงจะตื่นกันแล้ว ก็เลยมาเตรียมทำมื้อเช้าให้ทุกคน”
มั่วหยางจับจ้องไปทางเขาอย่างเรียบเฉย ผ่านไปอึดใจหนึ่ง ถึงค่อยเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “คราวหลังเจ้าไม่ต้องมาทำเรื่องพวกนี้แล้ว ตั้งใจฝึกฝนเสีย อย่าได้ทำลายความคาดหวังที่คุณชายมีต่อเจ้า”
จิงไห่ดึงเก็บสีหน้าและอารมณ์กลับ พยักหน้าขึ้นอีกครั้ง
พอชี้แนะเสร็จมั่วหยางก็เข้าไปยังประตูชั้นที่สองของตัวเรือน
องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ได้เริ่มต้นการฝึกฝนที่ต้องทำทุกวันแล้ว มั่วหยางกวาดตามองไปสายตาหนึ่ง ก่อนจะมุ่งตรงไปห้องพักที่มู่ชิงเกอพำนักอยู่ ในตอนที่เขาเข้าไปในห้องของมู่ชิงเกอนั้นจิงไห่ก็ได้ล้มเลิกความคิดที่จะเตรียมมื้อเช้าแล้ว เข้าร่วมการฝึกฝน
มั่วหยางพอเข้ามาในห้องก็มองเห็นมู่ชิงเกอกำลังยืนอยู่ขอบหน้าต่างมองไปทางองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ฝึกฝนอยู่ด้านนอก
เขาเดินไปที่ข้างกายนาง เอ่ยเรียกขึ้นเสียงเบาประโยคหนึ่ง “คุณชาย”
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับเบาๆ
มั่วหยางมองตามสายตาของนางไป ก่อนจะพบเงาร่างของจิงไห่ที่อยู่ท่ามกลางองครักษ์เขี้ยวมังกรที่อยู่ด้านนอก
มั่วหยางดึงสายตากลับ ปากขยับเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็ปิดลง
มู่ชิงเกอสายตาร่วงตกไปที่ตัวเขา “มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆ”
มั่วหยางหลุบตาลง เอ่ยเอาคำพูดในใจออกไป “เด็กนั่น ยังไม่เด็ดขาดพอ”
ไม่ได้มีความเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด เหมือนกับองครักษ์เขี้ยวมังกรของพวกเขา ใสซื่อเกินไป การประเมินของเขานั้นก็ช่างเข้มงวดนัก เหลือแค่ไม่ได้พูดตรงๆ ออกมาว่าจิงไห่ไม่เหมาะที่จะเป็นศิษย์ของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอหลังจากได้ฟัง ก็ไม่มีแววตาโมโหที่ถูกสงสัยในการตัดสินใจ เพียงแค่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจขึ้นสายหนึ่ง “ที่เอาเขามาไว้ข้างกายแล้วใช้นามของศิษย์ให้รั้งอยู่ นั้นก็เป็นเพียงแค่การให้โอกาสครั้งหนึ่งก็เท่านั้น ข้าจะไม่ตั้งใจบ่มเพาะ และไม่มีเวลาและสมาธิมากมายขนาดนั้น สามารถเรียนรู้ได้เท่าไร จะเปลี่ยนเป็นคนแบบไหน ทั้งหมดก็ต้องดูที่ตัวเขาแล้ว ดังนั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจมากนัก”
ที่สมควรสอนนางก็จะสอน แต่ว่าจะเรียนได้มากน้อยเท่าไร แล้วสามารถเรียนจนกลายเป็นแบบไหนนั้นนั้นก็เป็นเรื่องของจิงไห่แล้ว
การที่รับจิงไห่เอาไว้ แต่เดิมก็เป็นเพราะรู้สึกสนใจขึ้นมาก็เท่านั้น นางก็ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะต้องได้รับการตอบแทนอะไรจากเขา
มู่ชิงเกอดึงสายตากลับ ผละออกจากริมหน้าต่าง เดินไปทางห้องด้านใน นางเดินไปที่ขอบโต๊ะ หลังจากรินชาให้มั่วหยางถ้วยหนึ่งแล้ว ตนเองก็นั่งลง เอ่ยขึ้นกับเขา “ขับไอเย็นบนตัวเสียหน่อย”
มั่วหยางเดินมาที่ริบขอบโต๊ะ ยกถ้วยชาขึ้นก่อนจะดื่มมันไปในอึกเดียว
หลังจากเขาวางถ้วยชาลงไปบนโต๊ะแล้ว มู่ชิงเกอก็ถึงค่อยเอ่ยถามขึ้น “เป็นยังไงบ้าง?”
มั่วหยางเม้มริมฝีปากพลางเอ่ยขึ้น “คลาดไปขอรับ”
คำตอบนี้ก็ทำให้มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ มั่วหยางก็รีบเอาเรื่องที่ตัวเองตามติดฉินอี้เหยาเล่าออกไปทั้งหมด “…นางหลังจากจากไป ข้าก็เข้าไปตรวจสอบ ด้านในห้อง ค้นพบว่าบนเตียงมีคนนอนอยู่คนหนึ่ง…
หลังจากนั้น พอข้าตามออกมา กลับสัมผัสถึงกลิ่นไอของนางไม่ได้แล้ว ข้าน้อยคาดเดาว่าน่าจะเป็นคนของตระกูลเจี่ยงมาถึงแล้วพาตัวนางกลับไป?”
มู่ชิงเกอฟังจนจบโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนสี พยักหน้าพร้อมกับเคาะนิ้วเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นกับมั่วหยาง “เจี่ยงเทียนอี้ยังไม่ได้ตาย ก็แค่ได้รับบาดเจ็บน้อยท่านั้น”
พอกล่าว จบนางก็หัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง ราวกับกำลังกล่าวพึมพำกับตนเอง “เจี่ยงเทียนอี้นั้นอยู่ระดับสีเทาขั้นสอง จะไปถูกคนที่อยู่ระดับสีนํ้าเงินลอบสังหารสำเร็จได้อย่างไร? ต่อให้เขาจะไม่ได้ป้องกันตัวอะไร นางก็ไม่มีทางสังหารเขาได้”
“เช่นนั้น…” มั่วหยางเลิกคิ้วขึ้นบางเบา
เจี่ยงเทียนอี้ไม่ได้ตาย การโต้กลับของตระกูลเจี่ยงก็จะไม่มีทางรุนแรงเกินไป ตอนที่ฉินอี้เหยาหายตัวไปก็ห่างจากตอนที่เจี่ยงเทียนอี้ถูกลอบสังหารไม่นาน เช่นนั้นก็ไม่น่าจะเป็นการกระทำของตระกูลเจี่ยง
ในเมื่อไม่ใช่ตระกูลเจี่ยง เช่นนั้นจะเป็นใคร?
ทันใดนั้นเอง มั่วหยางก็นึกถึงรกลากสัตว์อสูรคันนั้นที่ปรากฏขึ้นในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงในยามวิกาล
เขาเร่งรีบเอ่ยรายงานไปทางมู่ชิงเกอ “คุณชาย ข้าน้อย ยังค้นพบเรื่องแปลกประหลาดมาอีกเรื่องหนึ่ง” ต่อจากนั้นเขาก็เอาเรื่องที่ได้ประสบกับรถลากสัตว์อสูรบอกมู่ชิงเกออย่างไม่ขาดตกแม้แต่ส่วนเดียว หลังจากพูดจนจบ เขาก็เอ่ยความรู้สึกของตนออกมา “ข้าน้อยคิดว่ารถลากคันนั้นก็เหมือนกับจะสัมผัสถึงการ คงอยู่ของข้าได้ ถึงได้มาปรากฏที่ข้างกายของข้า แต่ว่าตอนนั้นข้าก็เป็นเพราะต้องการตามหาตัวองค์หญิงฉางเล่อ ก็เลยไม่ได้ติดตามไป”
พอกล่าวจบในแววตาของเขาก็ทอแววรู้สึกผิดออกมา มู่ชิงเกอหลังจากฟังจนจบแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างก็ค่อยๆ หรี่เล็กลง ไม่ได้เป็นเพราะการสูญเสียร่องรอยของฉินอี้เหยาแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจ
ผ่านไปอึดใจหนึ่ง นางก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “ดูท่า บ่อนํ้าของเมืองอวี้สุ่ยเฉิงจะดูลึกกว่าที่พวกเราคาดเอาไว้!”
คืนก่อน หลังจากจัดการกับพวกลูกล้อพวกนั้นแล้ว นางก็ส่งคนออกไปตรวจสอบยังจุดที่มีโคมแดงจุดรวมตัวกันอยู่แห่งนั้น อิงตามเวลา นางนั้นก็น่าจะรู้เรื่องที่เจี่ยงเทียนอี้ถูกลอบสังหารก่อนมั่วหยาง และคนที่ส่งออกไปสืบข่าว ก็เห็นกับเจี่ยงเทียนอี้ที่กลับไปยังตระกูลเจี่ยงด้วยท่าทางโมโหกระฟัดกระเฟียด
ฉินอี้เหยาที่ไปปรากฏตัวที่นั้น อีกทั้งยังลอบสังหารบุตรชายของผู้มีอำนาจ นี่ก็ทำให้นางรู้สึกแปลกใจนัก พอนึกทบทวนถึงคำพูดของมั่วหยางเหล่านั้น ฉินอี้เหยา ที่สามารถกล่าวคำพูดพวกนั้นออกมาได้ ก็ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะคาดเดาไปต่างๆ นานา มู่ชิงเกอแววตาลึกลํ้า เอ่ยถามตนเองขึ้นในใจ “ฉินอี้เหยา เจ้าจริงๆ แล้วออก จากหลินชวนมาที่โลกแห่งยุคกลางได้อย่างไรกันแน่? ทั้งยังไปพบเจอเรื่องอะไรมาบ้าง? เจ้ารู้หรือไม่ว่าด้วยระดับพลังของเจ้าอยู่ที่โลกแห่งยุคกลางก็เป็นการคงอยู่ที่ไม่ควรมี”
ฉินอี้เหยาที่มีระดับสีนํ้าเงินขั้นสูงสุดสำหรับโลกแห่งยุคกลางแล้ว ก็อ่อนแอเป็นอย่างมาก
อ่อนแอจนแม้แต่มดตัวหนึ่งก็เปรียบไม่ได้
“ส่งคนออกไปสืบหาอย่างระมัดระวัง จุดสำคัญก็คือรถลากคันนั้นที่เจ้าพูดถึง” มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางมั่วหยาง
มั่วหยางนิ่งชะงักไป ชั่วขณะนั้นก็กลายเป็นเข้าใจอะไรขึ้นมา “คุณชายท่านสงสัยว่าองค์หญิงฉางเล่อจะอยู่บนรถหรือขอรับ?”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “หากอิงจากที่เจ้าบรรยายมา ก็มีความเป็นไปได้”
พวกนางเพิ่งจะมาถึงเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงเป็นครั้งแรก ความเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนแต่แอบซ่อนอยู่ในเงามืด จะมีใครมาลงมือกับมั่วหยางได้
อีกอย่าง มั่วหยางตอนนี้ก็อยู่ระดับสีเทาขั้นสาม ถ้าหากคิดจะลงมือกับเขา เช่นนั้นระดับพลังของฝ่ายตรงข้ามนั้นก็ควรเป็นเท่าใดกัน?
หลังจากตัดความน่าจะเป็นพวกนี้ออกไป หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือความจริง
รถลากที่ต้องค้นหาก็ไม่ใช่มั่วหยาง แต่เป็นคนทุกคนที่อยู่เพียงลำพังในยามราตรี
ถ้าหากการคาดเดานี้ถูกต้อง เช่นนั้นฉินอี้เหยาที่หายไปจากจิตหยั่งรู้ของมั่วหยางก็น่าจะอยู่บนรถลากคันนั้น ถูกรถนั้นนำตัวไปแล้ว
ความผิดพลาดที่หนักหนาเช่นนี้ก็ทำให้สีหน้าของมั่วหยางกลายเป็นนิ่งขรึมลง
เขาเร่งรีบเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยจะรีบไปจัดการ”
สัมผัสได้ถึงการโทษตัวของเขา มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้น “เรื่องเรื่องนี้ส่งมอบให้คนอื่นไปจัดการ เจ้าก็ไม่ต้องโทษตัวเอง และก็ไม่ต้องคิดใช้ผลงานมาไถ่โทษ เจ้าไม่ได้ผิด เจ้าส่งคนออกไปเสีย ข้ายังมีเรื่องสำคัญเรื่องอื่นที่จะมอบให้เจ้าไปจัดการ”
เรื่องในใจถูกมู่ชิงเกอจับได้ มั่วหยางสีหน้าก็กลายเป็นแดงกํ่า
เขาไม่มีทางขัดคำสั่งของมู่ชิงเกอ เร่งรีบจัดแจงให้องครักษ์เขี้ยวมังกรไปตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวกับรถลากลึกลับคันนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นก็กลับมาหามู่ชิงเกอที่ห้องอีกครั้ง ในตอนนี้ ในมือของมู่ชิงเกอก็มีรายชื่อที่เขียนเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกเพิ่มมาอีกหนึ่งชุด
นางกำลังก้มหน้าตรวจสอบรายชื่อในมือ มั่วหยางก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน แต่เป็นยืนรออย่างเงียบสงบ มู่ชิงเกอตอนที่ออกมาจากเมืองไหอวี่เฉิง ก็ได้ส่งข่าวให้ พวกองครักษ์เขี้ยวมังกร ให้ทุกคนมารวมตัวกันที่เมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ในตอนที่นางมาถึงด้านนอกของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงนั้น ก็ได้พบกับองครักษ์เขี้ยวมังกรที่มั่วหยางนำมา แล้วก็ยังมีฮวาเยวี่ยกับโย่วเหอ
คลื่นยักษ์ในตอนนั้นก็ทำให้พวกนางแยกออกกันเป็นหลายกลุ่ม ตอนนี้พอได้รวมตัวมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เห็นด้วยตาตัวเองว่าต่างคนต่างไม่เป็นไร สำหรับสหายร่วมรบที่กรำศึกมาด้วยกันเหล่านี้แล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนวางลงได้
เพิ่งจะลอบเข้ามาในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงได้ไม่ถึงสองวัน พวกเขาก็ได้พบเข้ากับองค์หญิงฉางเล่อของแคว้นฉิน ฉินอี้เหยา
“มั่วหยาง ข้อมูลก่อนหน้าที่ข้าส่งไปให้พวกเจ้า เจ้าเข้าใจมันหรือไม่?” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็รวบเก็บรายชื่อในมือของตน เงยหน้ามองไปทางมั่วหยาง
มั่วหยางตอบกลับในทันใด “คุณชายหมายถึงเรื่องกลุ่มของหลิวเค่อ?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
มั่วหยางตอบกลับ “หลังจากได้รับข้อมูลที่คุณชายส่งมา พวกเราก็ได้ไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด ทำความเข้าใจพวกหลิวเค่อ รวมถึงข้อมูลกลุ่มของหลิวเค่อ แต่เดิมพวกข้าคิดจะทำตามที่คุณชายสั่งการ ลงทะเบียนเป็นพวกหลิวเค่อ แต่ว่าหลังจากได้รับสัญญาณรวมตัว ก็เลยวางมันเอาไว้ก่อน”
“เจ้าเห็นว่าหลิวเค่อเป็นเช่นไร?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้น
นัยน์ตานิ่งขรึมของมั่วหยางทันใดนั้นไหววูบขึ้นมา เอ่ยขึ้นด้วยนํ้าเสียงสนใจที่ยากนักจะมีให้เห็น “ข้าน้อยก็คิดว่านี่ถือเป็นเส้นทางที่มีเอาไว้เพื่อพวกเราเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกร! คุณชาย ข้าน้อยมั่นใจว่าในระยะเวลาอันสั้น จะสามารถก่อตั้งกองกำลังหลิวเค่อระดับนภาขึ้นมาได้!”
ความตื่นเต้นที่น้อยนักจะมีของมั่วหยางก็ทำให้มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะยิ้มขันออกมา
นางยังคิดว่าบนใบหน้านิ่งขรึมของชายหนุ่มยู้นี้ จะพบเห็นอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ได้ยากเสียอีก
นางเอ่ยเย้าเหย่ว่า “องครักษ์เขี้ยวมังกรมีการสอดประสานสอดคล้องกันมากที่สุด ผ่านการทดสอบถึงความเชื่อใจกันมาแล้ว มีประสบการณ์ในการกรำศึกที่ มากมาย สอดประสานรวมเป็นหนึ่ง ทั้งยังมีความเคร่งครัดในการทำตามคำสั่ง ถ้าหากพวกเขาที่เป็นเช่นนี้เจ้ายังไม่สามารถจัดตั้งกองกำลังหลิวเค่อระดับนภาให้ข้าในระยะเวลาอันสั้นได้ เจ้าก็คงต้องคว้านท้องรับผิดแล้ว”
มั่วหยางพอได้ฟังก็พลันชันเข่าลงไปกับพื้นข้างหนึ่ง อยู่ในท่ากล่าวปฏิญาณตน “ข้าน้อยขอรับรองกับคุณชาย ภายในหนึ่งปีจะต้องทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วกลุ่มของหลิวเค่อ กลายเป็นกองกำลังระดับนภา!”
“หนึ่งปี…” มู่ชิงเกอหลังจากได้ฟังแล้วกลับส่ายหน้าขึ้นมาเบาๆ นางก้มหน้าลงไปมองยังมั่วหยางที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้านาง เอ่ยวาจาขึ้นด้วยนํ้าเสียงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ “หนึ่งปีนานเกินไป ข้าให้เจ้าอย่างมากครึ่งปี เจ้าจะต้องใช้เวลาครึ่งปีทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรกลายเป็นกองทัพเทพเซียนที่จุติลงมาจากฟ้า ทำการแทรกซึมเข้าไปในแผ่นดินของโลกแห่งยุคกลาง! เจ้า ทำได้หรือไม่?”
มั่วหยางเงยหน้าขึ้น สบตาเข้ากับแววตากระจ่างชัดของมู่ชิงเกอคู่นั้น พยักหน้าขึ้นอย่างแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว
ขอเพียงเป็นคำสั่งของคุณชาย เขาไม่ว่าจะต้องลำบากอย่างไรก็ต้องทำมันให้สำเร็จ!
การพยักหน้าของมั่วหยางก็ทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอยกยิ้มขึ้นมา “ดี ข้าเชื่อเจ้า ลุกขึ้นเถอะ”
มั่วหยางตอบรับพร้อมกับชันกายลุกขึ้น สีหน้าฮึกเหิมยืนอยู่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเอารายชื่อชุดนั้นโยนเข้าไปในอกของเขา มั่วหยางเร่งรีบรับเอาไว้
เขาเปิดมองดู รายชื่อด้านบนก็เป็นของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกร
มู่ชิงเกอเอ่ย “พอเรื่องของตระกูลเล่อที่เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงจบลงแล้ว ให้เจ้าพาพวกองครักษ์เขี้ยวมังกรจากไป เลือกไปที่เมืองไหนสักแห่ง เอารายชื่อขององครักษ์เขี้ยวมังกร ไปที่กลุ่มของพวกหลิวเค่อ ลงทะเบียนเป็นพวกหลิวเค่อเสีย รายชื่อนี้ก็เป็นรายชื่อที่ให้เจ้าเอาไปมอบให้กับกลุ่มหลิวเค่อ และในเวลาเดียวกันพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นลูกน้องที่ข้ามอบให้เจ้าไปจัดการดูแล จะสามารถจัดการภารกิจที่ข้ามอบให้เสร็จภายในครึ่งปีได้หรือไม่ ก็ต้องดูการร่วมแรงร่วมใจของพวกเจ้าในภายภาคหน้าแล้ว แล้วก็การฝึกฝนการโจมตีแบบกลุ่มก็อย่าได้หย่อนยานใช้การรบจริงในการฝึกฝนและปรับปรุงมัน ข้าหวังว่าหลังจากนี้ไปครึ่งปีก็จะได้เห็นองครักษ์เขี้ยวมังกรที่เพียบพร้อมขึ้นกว่าเดิม เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งหมด”
“แล้วท่านเล่า?” พอได้ฟังการแจกแจงของมู่ชิงเกอ มั่วหยางก็เร่งร้อนเอ่ยขึ้น
การคงอยู่ของพวกเขาองครักษ์เขี้ยวมังกรก็เป็นเพราะ ต้องการปกป้องมู่ชิงเกอ แต่ถึงอย่างนั้น ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากลับทำหน้าที่นี้น้อยมาก
“พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า ข้าก็ยังมีเรื่องราวอื่นๆ ต้องไปจัดการอีก พวกเจ้าเร่งรีบแข็งแกร่งขึ้นมา เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการช่วยข้าที่ดีที่สุดแล้ว” มู่ชิงเกอโบกมือไปมาพลางเอ่ยขึ้น
มั่วหยางเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “แต่ว่าข้างกายท่าน…”
“เจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้างกายข้าจะไม่มีใครให้ใช้สอย อย่าได้ลืมไปว่ายังมีโย่วเหอพวกนางที่คอยติดตามไปด้วยกันกับข้า แล้วก็ยังมีไป๋สี่กับหยินเฉินพวกนั้น” มู่ชิงเกอขัดคำพูดของเขาขึ้น
พอได้ฟังคำพูดของนาง มั่วหยางก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก แต่ไหนแต่ไรมา เรื่องราวที่มู่ชิงเกอตัดสินใจ ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
มั่วหยางรับคำสั่งก่อนจะจากไป ชั่วขณะนั้น ไป๋สี่ก็มาปรากฏอยู่ที่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอจำแลงกายกลายเป็นคน เอนกายนั่งลงไปบนเตียงท่าทางเกียจคร้านพร้อมกับเอ่ยไปทางมู่ชิงเกอ “ตระกูลเล่อที่ตาไร้แววมาหาเรื่องเจ้าตระกูลนั้น เจ้าคิดจะจัดการกับพวกเขายังไง?”
มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ เอ่ยว่า “เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงกำลังจะมีการแข่งขันจัดอันดับตระกูล ทั้งห้าตระกูลล้วนแต่กำลังเตรียมความพร้อม ไม่อาจทำอะไรผลีผลาม” นางก็จะขอ ดูก่อนว่า ตระกูลเล่อที่ยโสโอหังในตอนนั้น ยังจำเรื่องของตระกูลมู่ที่หลินชวนได้หรือไม่
แน่นอน นางนั้นแน่ใจมากว่าตระกูลเล่อแต่เดิมก็ไม่รู้ถึงการคงอยู่ของตระกูลมู่ที่หลินชวน ที่นางสนใจก็คือ ตระกูลเล่อยังจะส่งคนไปที่หลินชวนต่ออีกหรือไม่ ตระกูลเล่อทั้งสามคนนั้นถูกส่งไปยังหลินชวนตามหาคน หลังจากนั้นเพื่อที่จะบีบให้มู่ชิงเกอออกมาก็ได้ใช้ครอบครัวของนางเป็นเหยื่อล่อ การกระทำทั้งหมดนี้ ก็ได้ไป แตะเข้ากับขีดความอดทนของมู่ชิงเกอ ดังนั้นเพื่อที่จะตัดรากถอนโคน นางก็เลยคิดจะกำจัดตระกูลเล่อทั้งตระกูลออกไปอยู่แต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่า ก่อนที่จะเริ่มการเคลื่อนไหว นางอยากจะดูก่อนว่าตระกูลเล่อที่อยู่ในโลกแห่งยุคกลางยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่หลินชวนได้หรือไม่ ถ้าหากคนของตระกูลเล่อได้ลืมเรื่องนี้ไปตั้งนานแล้ว บวกกับเรื่องที่ตัวต้นเหตุที่ทำการหยามเกียรติตระกูลมู่ก็ได้ตกตายไปนานแล้ว เช่นนั้น บางทีนางก็ไม่จำเป็นต้องไปเริ่มการเข่นฆ่าในเมืองอวี๋ลุ่ย
เฉิง
แต่ถ้าหากตระกูลเล่อยังคิดจะส่งคนไปยังหลินชวน คิดอยากสืบหาเรื่องราว…เพื่อที่จะไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชีวิตหลังเกษียณของท่านปู่ และส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของท่านอาที่กำลังตั้งครรภ์นางก็คงไม่อาจไม่เริ่ม การเข่นฆ่าได้!
ใช่แล้ว!
พอนึกถึงครอบครัวที่หลินชวน มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็พลันนึกขึ้นมา จากที่คาดการณ์เอาไว้ ลูกของมู่เหลียนหรงก็น่าจะเกิดออกมาแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่า ทารกนั่นจะเป็นชายหรือเป็นหญิง จะออดอ้อนจนท่านปู่หลงหรือไม่
ในแววตาของมู่ชิงเกออยู่ๆ ก็ทอแววอ่อนโยนออกมาสายหนึ่ง และก็ถูกไป๋สี่จับเอาไว้ได้
นางก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ตระกูลเล่อไปทำยังไงถึงได้ไปล่วงเกินเจ้าเข้า ถึงกับทำให้เจ้าไม่สนสิ่งใดออกจากหลินชวนมาจัดการพวกเขาที่โลกแห่งยุคกลาง?”
รอยยิ้มอ่อนโยนในแววตาของมู่ชิงเกอทันใดนั้นก็ถูกเก็บกลับ ยิ้มหยันขึ้น “ก็ถือเป็นเรื่องที่ผ่านมายาวนานแล้ว”
ไป๋สี่ขมวดคิ้วเข้าหากัน สำหรับคำตอบนี้นางชัดเจนว่า ไม่ค่อยพอใจ!
ท้ายที่สุดมู่ชิงเกอก็ไม่ได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นบอกกับไป๋สี่ ไม่ใช่ว่านางเล่นแง่อันใด แต่เป็นเพราะนางเป็นคนที่ไม่ชอบเล่านิทานอันใด
ตระกูลเล่อจากข้อมูลที่ซื้อมาจากกลุ่มหลิวเค่อก็สามารถเห็นได้ชัดว่า ผู้ที่ระดับการฝึกฝนสูงที่สุดในตระกูลนี้ก็เป็นผุ้อาวุโสใหญ่ เล่ออิ๋ง
ระดับพลังของเขาอยู่ที่ระดับสีเทาขั้นหก ตามการกะเกณฑ์ของโลกแห่งยุคกลาง ในทุกระดับก็จะเป็นหกขั้น สูงขึ้นไปจากระดับสีเทาก็เป็นระดับสีเงิน ก็กล่าวได้ ว่า ระดับการฝึกของเล่ออิ๋งผู้นี้ก็ได้ไปถึงขอบเขตที่จะทะลวงไปถึงขั้นสีเงินได้แล้ว ไม่ว่าเวลาใดก็สามารถทะลวงขั้นเข้าสู่ระดับสีเงินได้ตลอดเวลา ไปแตะยังขอบเขตใหม่
มู่ชิงเกอยังอยู่ที่ระดับสีเทาขั้นห้า ห่างจากระดับสีเงินยังมีอีกช่วงหนึ่ง ถ้าหากไปพบกับคนระดับสีเทาขั้นหก บางทีก็อาจจะสู้สุดแรงสักตั้งได้ แต่ถ้าหากไปพบกับคู่มือระดับสีเงินเข้า เช่นนั้นผลลัพธ์ก็ยากที่จะคาดเดาได้แล้ว
ก็เหมือนกับมู่ชิงเกอที่มีพลังระดับสีเทาขั้นห้าไปจัดการกับผู้เฒ่าตระกูลโต้วของเมืองไหอวี่เฉิง ยอดฝีมือสีเทาขั้นสี่ ซึ่งนางก็ใช้แค่เพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น
ถึงแม้ว่าผู้เฒ่าตระกูลโต้วจะใช้ศิลาวิญญาณทะลวงไปถึงระดับสีเทาขั้นสี่ แต่พลังจริงๆ แล้วก็ยังคงอยู่ที่ระดับเดียวกับระดับสีเทาขั้นสามทั่วๆ ไป
ขอบเขตพลังยิ่งสูง ความห่างขั้นก็จะยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าหากต้องพบกับยอดฝีมือระดับสีเงิน การแก้แค้นก็อาจจะกลายเป็นการรนหาที่ตายได้ และก็เป็นเพราะการคงอยู่ของเล่ออิ๋งที่ทำให้มู่ชิงเกอไม่ไปจัดการกับตระกูลเล่อตรงๆ แต่เป็นเลือกที่จะวางแผนให้ชัดเจนก่อนไปลงมือ ฝึกฝนฝึกฝน!
ไม่ว่าแผนการจะเป็นอย่างไร หากต้องเผชิญกับขุมกำลังที่แข็งแกร่งกว่าก็ล้วนแต่จะกลายเป็นไร้ประโยชน์จนทำอะไรไม่ได้!
ถึงแม้ว่ามู่ชิงเกอจะเชี่ยวชาญในการใช้แผนการชิงไหวชิงพริบ รู้จักกลยุทธ์ต่างๆ แต่ว่าก็ยังรู้ถึงหลักการข้อนี้ดี
ก็เหมือนกันกับนาง ถ้าหากพละกำลังอยู่ในจุดที่แข็งแกร่งจนสามารถสะกดข่มผู้คนได้นางก็จะไม่ไปเสียเวลาเปลืองสมองคิดแผนการอย่างละเอียดลอบคอบเช่น นี้ แน่นอนว่าจะต้องออกไปต่อยตีตรงๆ ทำจุดประสงค์ของตัวเองให้สำเร็จ
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปทางไป๋สี่ เอ่ยถามขึ้น “เรื่องก่อนหน้าที่ให้เจ้าไปค้นคว้ามีผลลัพธ์อะไรบ้างหรือยัง?”
ไป๋สี่นิ่งชะงักไป ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่มู่ชิงเกอเคยพูดขึ้นมาได้พยักหน้าเอ่ยขึ้น “ก็ยังมีวิธีหนึ่งที่ทำได้ แต่ยังไม่เคยมีใครทดลองมาก่อน ข้าก็ไม่อาจรับรองได้ว่าจะ สำเร็จหรือไม่ แต่ถ้าหากเกิดล้มเหลวขึ้นมา ก็เกรงว่าจะส่งผลให้ชีพจรในร่างเจ้าเกิดแปรปรวนขึ้นได้”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเข้าหากัน
ไป๋สี่เอ่ยอธิบายขึ้นอย่างละเอียด “ชีพจรของมนุษย์นั้นจะอ่อนแอที่สุด ไม่ว่าเจ้าจะฝึกร่างกายให้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่หากต้องเทียบกับสัตว์อสูรเช่นพวกเราแล้ว ก็ยังถือว่าห่างชั้นอยู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยวนหยวนเจ้าเด็กที่จำแลงกายมาจากพญาเพลิงตนนั้น แต่ถ้าหากเกิดสำเร็จขึ้นมา พวกเราทั้งสี่คนก็จะได้รับผลดีด้วยกันทั้ง หมด สามารถทำให้ผลลัพธ์ของการฝึกฝนเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่า แต่ถ้าหากระหว่างโคจรพลังเกิดมีปัญหาขึ้น ความเลี่ยงทั้งหมดก็จะมีเจ้าเพียงคนเดียวที่ต้องแบกรับเอาไว้ หากเบาหน่อยชีพจรก็จะเกิดการปั่นป่วน หากหนักหน่อยก็คือชีพจรถูกทำลาย พลังทั้งหมดสูญสลาย เจ้าแน่ใจนะว่าจะยังเสี่ยงอีก?”
นิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ไป๋สี่ก็พลันเอ่ยขึ้น “จริงๆ แล้วด้วยพรสวรรค์และความเร็วในการฝึกฝนของตัวเจ้าก็เป็นระดับที่หาตัวจับได้ยากแล้ว เจ้าทำไมจะต้องใจร้อนไป เสี่ยงอันตรายเช่นนี้ด้วยเล่า?”
หลักการนี้มู่ชิงเกอไหนเลยจะไม่รู้?
มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นบางเบา เอ่ยไปทางไป๋สี่ “เวลาที่ข้าเหลืออยู่ก็มีไม่มากแล้ว ข้าจะต้องใช้เวลาที่มีทั้งหมดให้คุ้มค่า” บนตัวของนางเรื่องราวที่กดเอาไว้ก็มีมากมายนัก บีบนางจนไม่อาจผ่อนคลายได้มีแต่ต้องแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
แต่เดิม หลังจากที่นางเข้าสู่ระดับสีม่วง นางก็ยังนึกว่าตนเองมีกำลังเพียงพอที่จะปกป้องคนที่ต้องการปกป้องได้แล้ว แต่ว่าหลังจากที่เข้าสู่ระดับสีม่วงเข้าจริงๆ นางถึงได้ค้นพบว่า เรื่องที่นางต้องทำให้สำเร็จนั้นกลับมีมากขึ้น อีกทั้งระดับการฝึกฝนของนางในตอนนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะหนุนให้นางจัดการเรื่องเหล่านี้ได้
“ไปเถอะ พวกเราไปทดสอบในช่องว่างดูสักครั้ง” มู่ชิงเกอแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นผู้ปฏิบัติ พอได้ยินว่าไป๋สี่คิดวิธีการออกแล้วก็กลายเป็นอดรนทนไม่ไหวที่คิดจะไปทดสอบมัน