ตอนที่ 231
งานเลี้ยงของเหล่าชายหนุ่มจอมเสเพล
หญิงงามรายล้อมอยู่ด้านหน้า
“พี่สาว พวกเราจะถูกพาไปที่ไหน?” เซิ่งซูซูเอ่ยถามไปทางฉินอี้เหยาเสียงแผ่วเบา
พอถูกพาออกมาจากห้องขัง พวกนางก็ถูกขังต่อเอาไว้ บนรถลากที่ปิดมิดชิดคันหนึ่ง ด้านในรถลากก็มีรูเล็กๆ อยู่ไม่กี่รู ป้องกันไม่ให้พวกนางขาดอากาศหายใจ
ในตัวรถ มีพวกนางอยู่กันแค่สองคน แต่นั่นก็กลายเป็นสะดวกที่พวกนางจะหารือกัน
ฉินอี้เหยากวาดตามองไปรอบๆ หนหนึ่ง มองไปยังรูเล็กๆ ที่มีแสงลอดเข้ามาไม่กี่รูพวกนั้น ทันใดนั้นเองนางก็ค่อยๆ เอนหลังพิงเข้าไป แนบสายตาไปบนรูก่อนจะ พยายามมองออกไปด้านนอก
รูพวกนั้นเล็กมาก ตัวผนังรถก็หนามากเช่นกัน
ในระหว่างที่รถส่ายไปมา การเพ่งมองเช่นนี้ ภาพตรงหน้าก็กลายเป็นพร่าเลือนยิ่งนัก
แต่ว่าหลังจากพยายามไปสักพัก โลกด้านนอกก็ค่อยๆ กลายเป็นชัดเจนขึ้นมา ก่อนที่ฉากภาพของโลกฝั่งด้านนอกของรูกลมๆ จะส่องสะท้อนเข้ามาในดวงตา
ฉินอี้เหยาแนบดูไปครู่หนึ่งก่อนจะถอยออกมา เอ่ยขึ้นกับเซิ่งซูซู “เจ้าลองไปดูรูกลมๆ พวกนั้นซิ ดูสิว่าสภาพแวดล้อมด้านนอกคุ้นเคยหรือไม่ พวกเราตอนนี้อยู่ในขอบเขตการส่งสัญญาณของเจ้าหรือยัง”
เซิ่งซูซูพยักหน้า แลกเปลี่ยนที่นั่งกับฉินอี้เหยา เลียนแบบท่าทางเมื่อครู่ของนาง แนบกายไปกับผนังรถลาก แนบดวงตาไปที่รูเล็กๆ รูนั้น พยายามมองออกไปด้าน นอก
ตอนที่มองออกไปในคราแรก ช่องว่างของรูเล็กๆ รูนั้นก็ ทำให้ดวงตาของนางปวดล้าจนเกือบจะมีนํ้าตาไหลออกมา แต่ว่านางก็ยังคงอดทนได้ต่อไป มองไปทางสภาพแววดล้อมด้านนอก
มองไปครู่หนึ่ง นางก็ค่อยหันมาเอ่ยกับฉินอี้เหยา “ข้าก็รู้จักสถานที่เมื่อครู่ที่พวกเราเพิ่งผ่านมา มันคือเขตด้านนอกฝั่งทิศเหนือที่ห่างจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงมาประมาณยี่สิบกว่าลี้”
ฉินอี้เหยาแววตากระจ่างวูบ เร่งรีบเอ่ยขึ้น “แน่ใจรึ?”
ถ้าหากพวกนางยังอยู่ใกล้ๆ เมืองอวี๋สุ่ยเฉิง เช่นนั้นสัญญาณเซิ่งซูซูก็ยังคงมีผล
เซิ่งซูซูพยักหน้าถี่รัว “ข้าก็จำป้ายหักไร้อักษรป้ายนั้นได้ ไม่นานก่อนหน้า ข้ากับท่านพี่ก็เคยออกมาล่าสัตว์ที่ชานเมืองทิศเหนือ เคยผ่านไปพักแถวนั้น ท่านพี่ยังเล่าถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับป้ายหินป้ายนั้น เขาบอกว่าในป้ายหักนั้นก็เหมือนกับจะกักเก็บจิตกระบี่เอาไว้ช่วงเวลายาวนานก่อนหน้ามันก็ดึงดูดผู้คนจำนวนไม่น้อยมาดูชม คิดอยากจะทำความเข้าใจจิตกระบี่ที่อยู่ในแผ่นป้าย แต่ว่ากลับไม่มีใครสามารถทำมันได้สำเร็จ จนที่สุดก็มีมือกระบี่ผู้หนึ่งเดินทางมา เขานั่งอดทนอยู่ด้านหน้าป้ายหินอยู่สามปี ก่อนที่วันหนึ่งเขาอยู่ๆ ก็หัวเราะลั่นขึ้นมา ในปากก็เอาแต่พูดว่า ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ หลังจากนั้นใช้หนึ่งกระบี่ฟันแผ่นป้ายแผ่นนั้น ก่อนจะหันหลังจากไป มีคนบอกว่าเขาทำความเข้าใจถึงจิตกระบี่ที่ อยู่ด้านในได้แล้ว และก็มีคนบอกว่าด้านในป้ายหินจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีจิตกระบี่อยู่แต่อย่างไรนักดาบผู้นั้นพอค้นพบว่ามันเป็นคำลวง ถึงได้ระเบิดโทสะฟันแผ่นป้ายก่อนจะจากไป”
“สัญญาณของเจ้าตอนนี้สามารถส่งมันออกไปได้หรือไม่? ยืนยันได้หรือไม่จะไม่ทำให้พวกคนด้านนอกรับรู้เข้า?” ฉินอี้เหยาก็ไม่ได้สนใจนิทานที่พูดออกมาจากปากของเซิ่งซูซู เพียงแต่คิดว่าจะหนีออกไปอย่างไร ประสบการณ์ที่นางได้รับมาตลอดการเดินทางก็ทำให้นางเข้าใจลึกซึ้งถึงหลักข้อหนึ่งอย่างชัดเจน
โอกาสมากมายล้วนแต่เข้ามาแล้วก็ผ่านหายไป ถ้าหากจับมันเอาไว้ไม่ได้ก็เกรงว่าจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว
พอกล่าวถึงเรื่องสำคัญ เซิ่งซูซูก็ก้มหน้าลง ส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น “รูพวกนี้มันเล็กเกินไป ข้าส่งมันออกไปไม่ได้”
ผลลัพธ์ก็ช่างทำให้ผู้คนผิดหวัง
ฉินอี้เหยาขมวดคิ้วขึ้น เม้มปากเอ่ยขึ้น “อย่าได้เสียใจไป เจ้าเป็นชาวเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง สมควรจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงเป็นอย่างมาก ตั้งใจมองดูเส้นทางที่พวกเราผ่านมาให้ดี ลองดูซิว่าเป็นเส้นทางที่กลับไปยังเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงหรือเส้นทางที่ใช้จากไป”
เซิ่งซูซูเบิกตากว้างมองไปทางนาง พยักหน้า ไม่ทันไรนางก็ได้บทสรุปออกมา
รถลากสัตว์อสูรก็กำลังพาพวกนางไปทางเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ข่าวข่าวนี้ก็เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย!
ขอเพียงกลับเข้าไปในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง สถานะของเซิ่งซูซู คุณหนูตระกูลเซิ่ง ผู้นี้ก็จะกลายเป็นมีประโยชน์มากที่สุด!
“คุณหนูเซิ่ง เจ้าฟังที่ข้าพูดให้ดี” ฉินอี้เหยาเอ่ยไปทางเซิ่งซูซูด้วยท่าทางแน่วแน่
แต่เซิ่งซูซูกลับขัดคำพูดของนางขึ้นก่อน “ไอหยา พี่สาว ท่านเรียกข้าว่าซูซูก็พอแล้ว ใช่แล้วข้ายังไม่รู้จักชื่อของท่านเลย”
ฉินอี้เหยานิ่งชะงักไป นางมองไปทางเซิ่งซูซู
พอนึกคิดไปถึงเรื่องราวต่างๆ นานา ที่ตนเองได้ประสบพบเจอที่โลกแห่งยุคกลาง พวกคนที่มีฐานะก็ราวกับว่าจะมีเพียงเซิ่งซูซูที่สนใจว่านางชื่อว่าอะไร
“ข้าชื่อฉินอี้เหยา” พอพูดชื่อตัวเองออกมาจากปากของตน ฉินอี้เหยาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างไม่คุ้นชินอยู่บ้าง
ชื่อชื่อนี้ก็รวบรวมเรื่องราวต่างๆ ที่นางประสบมาเอาไว้ ทั้งเรื่องที่ทำให้เบิกบานใจ และก็เรื่องที่ทำให้เศร้าใจ ราวกับประตูแห่งความทรงจำบานหนึ่งถูกเปิดออก
ในแววตาของนางฉายแววคะนึงหาสายหนึ่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“ฉินอี้เหยา? ชื่อของพี่สาวก็ช่างไพเราะนัก เช่นนั้นต่อจากนี้ข้าก็ขอเรียกท่านว่าพี่เหยาก็แล้วกัน” เซิ่งซูซูเอ่ย เวลาที่ถูกคุมขังพอนานเข้า นางก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัว หรือเคร่งเครียดเหมือนตอนก่อนหน้าแล้ว
พี่เหยา…
ในแววตาของฉินอี้เหยาพลันมีแววล่องลอยปรากฏขึ้น ส่วนหนึ่งในความทรงจำที่เหมือนกับว่าจะผ่านมานานมากแล้วก็ปรากฏเด็กสาวที่ซุกซนและร่าเริงเช่นเดียวกับ เซิ่งซูซูผู้นี้ที่เรียกนางแบบนี้เช่นเดียวกัน
และเด็กสาวนางนั้น ก็เป็นตัวตนที่ทำให้นางอิจฉาไปจนถึงริษยา แต่ถึงอย่างนั้น นางกลับไม่สามารถนึกเกลียดนางได้เลย
“พี่เหยาท่านเป็นอะไรไป?” สัมผัสได้ถึงอาการเหม่อลอยของฉินอี้เหยา เซิ่งซูซูก็เร่งเอ่ยขึ้น
“ไม่มีอันใด” ฉินอี้เหยาส่ายหน้าเบาๆ เก็บความรู้สึกที่ล่องลอยไปไกลกลับมา นางสงบจิตใจลง มองไปทางเซิ่งซูซูอย่างมุ่งมั่น เอ่ยขึ้นกับนาง “ซูซู พวกเขาที่พาพวกเรากลับเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ถือเป็นข่าวดี รอหลังจากที่รถจอดสนิทแล้ว ข้าก็จะบังตัวเจ้าเอาไว้หลังจากนั้นก็ให้เจ้าหาโอกาสส่งสัญญาณออกไปให้คนที่บ้านเจ้าออกตามหา จะต้องกระทำการอย่างระมัดระวัง อย่าได้ถูกใครค้นพบ ขอเพียงพวกเราอดทนรอจนถึงตอนที่คนจา บ้านเจ้าตามมาช่วยได้ทันแล้ว พวกเราก็จะปลอดภัย”
นี่ก็ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดที่ฉินอี้เหยาจะนึกขึ้นได้!
เซิ่งซูซูถึงแม้จะมีพลังระดับสีเทาขั้นที่หนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ พลังก็ถูกปิดผนึกเอาไว้ และก็กลายเป็นผู้อ่อนแอในสายตาของผู้อื่นเหมือนกันกับนาง เช่นนั้นก็ทำได้เพียงรอคอยอย่างอดทน ถ้าหากถูกค้นพบว่าพวกนางมีความคิดต้องการหลบหนีก็เกรงว่าผลลัพธ์ที่ตามก็ยิ่งเลวร้ายแล้ว
เซิ่งซูซูพยักหน้าหนักๆ นางก็เหมือนกับเพิ่งจะรู้ถึงความเลวร้ายของสถานการณ์
คนด้านนอกก็ไม่ใช่คนของตระกูลเซิ่ง ที่นี่ก็ไม่ใช่ตระกูลเซิ่ง เป็นสถานการณ์อันตรายที่ไม่มีทางมีใครจะมาทำใจดีกับนาง ถ้าหากไปล่วงเกินคนด้านนอกจนโกรธเข้าจริงๆ แล้วละก็ ก็เกรงว่าคงจะต้องตกตายอยู่ที่นี่แล้ว
“พี่เหยา ไม่สู้ข้าบอกพวกเขาไปว่าข้าเป็นคุณหนูตระกูลเซิ่ง ให้พวกเขาส่งพวกเรากลับไปที่บ้านดีหรือไม่?” เซิ่งซูซูเอ่ยขึ้นอย่างนึกหวาดกลัว ไม่ว่าจะพูดยังไง นางก็เป็นเพียงเด็กสาวที่มีอายุสิบห้า สิบหกปีคนหนึ่ง เปรียบกับฉินอี้เหยาแล้วก็อายุน้อยกว่าสามถึงสี่ปี
สิ่งที่นางพบเจอมานั้นน้อยมาก ก็เลยไร้เดียงสาเหมือนกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง
“ไม่ได้!” ฉินอี้เหยาเร่งรีบเอ่ยขัดความคิดหุนหันของนาง นางสีหน้าจริงจังมองไปทางเซิ่งซูซูพลางเอ่ยขึ้น “พวกเรา ไม่รู้ว่าเบื้องหลังของพวกเขาเป็นเช่นไร หลังจากพาพวกเราไปถึงที่นั้นแล้วก็จะตัดสินใจอย่างไร ถ้าหากเจ้าผลีผลามพูดสถานะของตัวเองออกไป ก็เกรงว่าจะส่งผลให้พวกเขาเปลี่ยนแผนเดิมที่คิดไว้ ตอนนี้พวกเขากำลังพาพวกเรากลับไปที่เมืองอวี๋สุ่ยเฉิง แต่ถ้าหากพวกเขารู้ถึง สถานะของเจ้าแล้ว เพี่อที่จะป้องกันการแก้แค้นของตระกูลเซิ่ง บางทีพวกเขาก็อาจจะเปลี่ยนเส้นทาง นำตัวพวกเราส่งไปที่อื่น ส่งไปยังเมืองที่ห่างจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง พอถึงตอนนั้น ตระกูลเซิ่งก็จะไม่สามารถทำอันใดพวกเขาได้ และพวกเราก็จะสูญเสียโอกาสหลบหนีเพียงหนึ่งเดียว”
“ข้าก็สามารถรับรองกับพวกเขาได้ว่าขอเพียงนำข้ากลับไปส่ง ตระกูลก็จะไม่มีทางสร้างความลำบากกับพวกเขา” เซิ่งซูซูก็ยังคงกล่าวขึ้นอย่างไร้เดียงสา
ฉินอี้เหยากลับส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ เอ่ยถามกลับไป “เจ้าคิดว่าพวกเขาจะเชื่อรึ? จะยอมเสี่ยงอันตรายเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของเจ้า?”
คำถามสองข้อนี้ก็ถามจนเซิ่งซูซูพูดไม่ออก
ฉินอี้เหยาเอ่ยขึ้นไปทางนาง “ซูซู ถ้าหากเจ้ายังคิดจะกลับไปที่บ้านอย่างปลอดภัย ก็ให้ฟังที่ข้าพูด ความคิดเพ้อฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงพวกนั้นก็ตัดทิ้งไปให้หมด”
เซิ่งซูซูเม้นริมฝีปากพลางพยักหน้า ในแววตาของนางคลอเต็มไปด้วยนํ้าตา นางที่เคยประสบกับเรื่องราวเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยิ่งฉายชัดถึงการหมดหนทาง ทำได้เพียงพึ่งพิงฉินอี้เหยาที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้นางก็รู้สึกเสียใจที่สุดก็คือไม่ควรปิดบังตระกูล แอบออกมาเที่ยวเล่นเพียงลำพัง
ถ้าหากไม่ทำเช่นนั้น นางในตอนนี้ก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงที่อบอุ่นและสุขสบาย กินของว่างที่ตัวเองชื่นชอบ ได้รับการเอาอกเอาใจต่างๆ นานา จากคนในตระกูล เพียงแต่ว่า…
นางมองไปทางฉินอี้เหยาสายตาหนึ่ง เอ่ยขึ้นในใจ “ถ้าหากไม่ได้แอบออกมา ก็เกรงว่าจะไม่ได้พบกับพี่เหยาแล้ว”
โอนเอนมาตลอดทาง ในที่ลุดรถลากก็ได้หยุดลง
ประตูที่ปิดอยู่ถูกเปิดออก แสงสว่างจากด้านนอกสาดแสงเข้ามา ส่องสว่างมาในช่องว่างส่วนใหญ่ของตัวรถ ด้านในเหลือทิ้งไว้เพียงความดำมืดในจุดที่ลึกเข้าไปในสุด
ชายที่ใช้ด้ามไม้เลือกพวกนางก็กำลังยืนอยู่ที่ด้านนอกตัวรถ แสงอาทิตย์สาดแสงเข้ามาจากด้านหลังของเขา มันแฝงไว้ด้วยสีเหลืองส้มสายหนึ่ง และก็ทำการปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้ในเงามืด
“ออกมาเถอะ” เขาเอ่ยปากขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ถึงแม้ว่าฉินอี้เหยากับเซิ่งซูซูจะล้วนแต่เป็นหญิงงาม แต่เขาก็ไม่ได้เป็นเพราะเหตุนี้จึงมีนํ้าเสียงเกรงใจกับพวกนาง
สายตาที่เขาใช้มองไปทางพวกนางก็ยังคงเป็น ‘สินค้าที่เอาไว้เก็งกำไร’
ฉินอี้เหยาจูงเซิ่งซูซูออกมาจากเงามืด ก้าวลงจากรถภายใต้การจับจ้องของชายผู้นั้น เส้นแสงด้านนอกก็ได้มีความมืดมิดเข้ามากอบกุมบ้างแล้ว แต่สำหรับทั้งสองที่ไม่เห็นแสงสว่างมานาน ก็ยังรู้สึกแสบแก้วตาอยู่ดี
รอจนสายตาปรับสภาพได้แล้ว พวกนางถึงค้นพบว่าตนเองถูกพามาในจวนที่ปิดเงียบหลังหนึ่ง นอกจากทิวทัศน์ในตัวจวนแล้ว รอบด้านก็ล้วนแต่เป็นกำแพง โดยพื้นฐานแล้วไม่มีทางมองเห็นสภาพด้านนอกได้
“เหอะๆ ก็ช่างสกปรกลงทุกทีจริงๆ แต่ว่า สองคนในวันนี้ก็เลือกมาได้ดีมากจริงๆ” ทันใดนั้นเอง เสียงหญิงสาวที่ดัดจนอ่อนหวานก็ดังขึ้นมาจากข้างกายของทั้งสองคน
ฉินอี้เหยากับเซิ่งซูซูหันหน้ามองไป ก่อนจะเห็นเข้ากับหญิงมีอายุที่ยังคงมีเค้าความงามคงไว้อยู่ ในมือถือผ้าเช็ดหน้า ใบหน้ารังเกียจกำลังโบกพัดไปมาด้านหน้าของตน
บนใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยผงชาดหนาเตอะ ทำเอาเซิ่งซูซูคุณหนูผู้สูงศักดิ์ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างขยะแขยง
สายตาของนางก็ถูกสตรีนางนั้นจับเอาไว้ได้ใบหน้าที่ผลัดเต็มไปด้วยผงแป้งหนาเตอะก็พลันกลายเป็นขมึงตึงขึ้นมา ชี้ไปทางเซิ่งซูซูพลางด่าว่าขึ้น “เจ้าเด็กหน้าเหม็น ดูอันใด? ยังกล้าคิดรังเกียจข้า ข้ายังไม่เคยคิดรังเกียจเจ้า…”
“พอแล้ว!”
เสียงแสบแก้วหูของสตรีสูงวัยยังไม่ทันกล่าวจนจบ ก็ถูกชายผู้นั้นพูดขัดขึ้น
เขาเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “จะมาวุ่นวายอะไรที่นี่กัน? ไม่ดูว่าเวลาอะไรแล้วรึไง รีบพาตัวพวกนางทั้งสองคนลงไป ทำความสะอาดให้ดี เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ พวกเขาจะมาถึงกันแล้ว”
พอกล่าวจบเขาก็หันไปกล่าวกับฉินอี้เหยาและเซิ่งซูซู “พวกเจ้าสองคนตามนางลงไป ขอเพียงฟังคำอย่างว่าง่าย วันเวลาในภายภาคหน้าแน่นอนว่าจะดียิ่งกว่าวัน เวลาที่พวกเจ้าประสบพบเจอมา”
ฉินอี้เหยาลากเซิ่งซูซูตามหญิงสูงอายุผู้นั้นจากไป
บนทางเดิน หญิงสูงวัยก็ยังด่าว่าอยู่ด้านหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน ฉินอี้เหยากับเซิ่งซูซูยืนอยู่ตรงกลาง ด้านหลังยังตามอยู่ด้วยชายฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนอีกสี่คน
ไอพลังของพวกเขาก็ล้วนแต่ไม่ธรรมดา ระดับพลังก็ดูเหมือนว่าจะไม่ตํ่าต้อย
อย่างน้อยหากเปรียบกับฉินอี้เหยาและเซิ่งซูซูในตอนนี้แล้วก็แข็งแกร่งกว่า!
ระหว่างทางฉินอี้เหยาก็ลอบสังเกตมองคนด้านหน้าและด้านหลังอย่างระมัดระวัง ก่อนจะลอบส่งสายตาให้เซิ่งซูซู
ทันใดนั้นเอง ร่างของฉินอี้เหยาก็เอียงตกลงไป ล้มพุ่งไปทางหญิงสูงวัยด้านหน้า
หญิงสูงวัยไม่ทันระวัง ทันใดนั้นถูกฉินอี้เหยากระแทกเข้าใส่ไปตรงๆ จนล้มลงไปกองกับพื้น ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา
“นางแพศยา รนหาที่ตายรึไง เจ้าคิดจะทำอันใด!” หญิงสูงวัยที่ถูกฉินอี้เหยากดเอาไว้บนพื้นร้องเรียกขึ้นอย่างโมโห
ฉินอี้เหยากดอยู่บนตัวของนาง เอ่ยขึ้นสีหน้าร้อนรน “ข้า…ข้าข้อเท้าแพลงเจ้าค่ะ” ระหว่างที่พูด นางก็ทำราวกับว่าจะพยายามชันกายขึ้นมา แต่ไม่ว่านางจะพยายาม คว้าไม้คว้ามือยังไงก็ลุกขึ้นมาไม่ได้ กดทับลงไปจนหญิงสูงวัยต้องร้องเจ็บปวดออกมาอีกครา
ความวุ่นวายที่มาอย่างกะทันหันนี้ทำให้ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนเดินอ้อมผ่านไปด้านหน้าของเซิ่งซูซู คิดอยากจะดึงฉินอี้เหยาขึ้นมาจากตัวของหญิงสูงวัยนางนั้น
ฉินอี้เหยาก็อาศัยจังหวะนั้นส่งสายตาให้เซิ่งซูซู ฝ่ายหลังพอได้สัญญาณ ก็เร่งรีบหยิบตัวส่งสัญญาของตระกูลตนออกมา ยิงมันขึ้นไปบนฟ้า
แสงสีขาวที่นับว่าไม่สะดุดตาสายหนึ่งพุ่งลอยจากมือขึ้นไปบนฟ้า หลังจากนั้นก็ระเบิดออกมาอย่างไร้เสียง
ฉินอี้เหยาที่ตกอยู่ในการลากดึง พอเห็นเข้ากับบัวสีขาวที่ระเบิดออกอย่างไร้สุ่มเสียงบนท้องฟ้า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงครู่เดียว แต่นี่ก็ทำให้นางมองเห็นความหวัง
เซิ่งซูซูหลังจากทำภารกิจของตนเสร็จสิ้น ฉินอี้เหยาก็ถูกดึงขึ้นมาได้พอดี
หญิงสูงวัยลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยสภาพยุ่งเหยิง พร้อมกันนั้นก็ฟาดตบไปทางฉินอี้เหยาฉาดหนึ่ง ตบจนใบหน้าของนางบวมเปล่งออกมา “นางเพศยาช่างน่าตายนัก เหอะ!”
“พี่สาว!” เซิ่งซูซูตกตะลึง เร่งรีบเดินมาที่ด้านข้างของฉินอี้เหยา พยุงนางเอาไว้ สายตาราวกับสัตว์ตัวน้อยที่กำลังโกรธแค้นจ้องมองไปยังหญิงสูงวัย
ฉินอี้เหยากุมไปที่ใบหน้าของตน หันไปส่ายหน้าให้กับเซิ่งซูซู บ่งบอกว่าตัวเองไม่เป็นไร
“แม่เล้าฮวา ท่านตบหน้านางเช่นนี้พวกเราก็รู้สึกลำบากใจนัก” ชายฉกรรจ์คนหนึ่งหันมองไปทางใบหน้าที่บวมขึ้นมาของฉินอี้เหยา ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
หญิงสูงวัยมองไปทางเขาอย่างไม่สบอารมณ์สายตาหนึ่ง มือทั้งสองจัดแจงไปยังเสื้อผ้ายุ่งเหยิงของตน “อย่ามาใช้ไม้นี้กับข้า! อีกครู่ให้คนมาทายาให้ก็ได้แล้ว” พอกล่าวจบนางก็ถลึกตาจับจ้องไปทางฉินอี้เหยาสายตาหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเดินนำทางต่อไป
ชายฉกรรจ์ที่เปิดปากผู้นั้นหันมาจับจ้องฉินอี้เหยาด้วยสายตาเย็นชา ส่งเสียงเอ่ยเตือน “ดูทางให้ดี”
ฉินอี้เหยาเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้า ไม่ได้มีการต่อต้านใดๆ นางกับเซิ่งซูซูกอดกันแน่น เดินตามหญิงสูงวัยเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง หญิงสูงวัยก่อนที่จะจากไป ปากก็เอ่ยปากสั่งการว่า “ล้างคราบสกปรกบนตัวของพวกเจ้าให้สะอาด สักพักจะมีคนมาแต่งตัวให้พวกเจ้า ถ้าหากกล้าเล่นลูกไม้อันใด ข้าก็มีหลายวิธีรอจัดการกับพวกเจ้า”
ก่อนที่ในห้องจะเหลือเพียงฉินอี้เหยากับเซิ่งซูซูเพียงสองคน ทางออกเพียงหนึ่งเดียวถูกคนลงกลอนเอาไว้ และชายฉกรรจ์ที่ตามพวกนางมาทั้งสี่คน ก็กำลังยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ฉินอี้เหยาลากดึงเซิ่งซูซูมาที่ด้านหน้าของตน เอ่ยถามขึ้นเสียงแผ่วเบา “สำเร็จหรือไม่?”
ถึงแม้นางจะมองเห็นแล้ว แต่ยังอยากจะได้ยินจากปากถึงจะสามารถวางใจได้
เซิ่งซูซูพยักหน้าเอ่ยขึ้น “สัญญาณของพวกเราตระกูลเซิ่งก็มีแต่คนตระกูลเซิ่งถึงจะเข้าใจมัน คนอื่นๆ ต่อให้มองเห็นมันก็คงไม่สนใจอันใด”
ฉินอี้เหยาพยักหน้าเห็นด้วย
ก็เป็นเช่นนั้น ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่นั้น สำหรับคนที่ไม่ได้จับจ้องท้องฟ้าตลอดเวลาก็คงจะยากที่จะรับรู้ถึงมันได้
“เช่นนี้ก็ดียิ่ง” ฉินอี้เหยาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เซิ่งซูซูหันไปกล่าวกับฉินอี้เหยา “พวกเราถ้าหากอยู่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง พี่ชายของข้า พวกเขาน่าจะรุดมาถึงในไม่ช้า พี่เหยาต่อจากนี้พวกเราควรจะทำอันใด?”
ฉินอี้เหยาคิดแล้วคิด ตอนนี้ตระกูลเซิ่งจะมาถึงได้ทันเวลาหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เพื่อที่จะไม่เป็นแหวกหญ้าให้งูตื่น ก็ทำได้เพียงยอมร่วมมือต่อไป
“พวกเราก็เชื่อตามที่พวกเขาสั่งไปก่อน ไปอาบนํ้าให้สะอาด รอการมาถึงของคนบ้านเจ้า” ฉินอี้เหยาเอ่ยขึ้นกับเซิ่งซูซู
แล้วถ้าหากคนของตระกูลเซิ่งไม่ได้มาถึงทันเวลาเล่า? ความคิดสายนี้ก็ปรากฏวูบขึ้นในใจของฉินอี้เหยาครู่หนึ่ง ก่อนจะหายไป การเอาความหวังฝากไว้กับคนอื่น ใน ท้ายที่สุดก็จะทำให้คนรู้สึกกังวล บนโลกนี้ มีคนเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกเชื่อมั่นและอยากพึ่งพิงทั้งกายและใจ
แต่ถึงอย่างนั้นคนผู้นั้นก็ไม่มีทางมาปรากฏขึ้นที่นี่และตอนนี้ได้!
“พี่เหยาท่านเป็นอันใดรึ?” พอรู้สึกได้อาการเหม่อลอยของฉินอี้เหยาอีกครั้ง เซิ่งซูซูก็เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงขึ้นในทันใด
“ไม่มีอันใด” ฉินอี้เหยาส่ายหน้า ความทรงจำที่นางเก็บเอาไว้ในใจพวกนั้น นางก็ไม่อยากจะเอามันออกมาบอกเล่ากับคนอื่น จริงๆ หลังจากออกมาจากแคว้นฉินแล้วนางก็ประสบกับเรื่องราวมากมาย และตกเข้าไปอยู่ในอันตรายหลายต่อหลายครั้ง ในทุกๆ ครั้งในตอนที่นางสิ้นหวังก็มักจะคิดถึงฉากภาพที่คนผู้นั้นพุ่งลงมาจากฟ้า แล้วพานางกลับออกจากเขตชายแดนของแคว้นถู
นั้น…บางทีก็อาจจะเป็นช่วงเวลาที่นางรู้สึกมีความสุขมากที่สุดในชีวิตนี้กระมัง
คนผู้นั้นที่อยู่ในใจ เพื่อนางแล้วถึงกับไม่สนสิ่งใดเปิดศึกกับแคว้นอีกแคว้น! แต่ว่ายังไม่ทันรอให้นางตื่นขึ้นมาจากความสุข เขากลับบอกกับนางอย่างโหดร้ายว่า พี่ชายและมารดาของนางล้วนแต่ตกตายอยู่ในมือของเขา ที่เขามาช่วยนางก็ไม่ได้เป็นเพราะชอบพออันใด
‘นางเป็นผู้หญิงของข้า!’ คำพูดประโยคนี้ก็เคยทำให้นางหัวใจเต้นแรงอย่างหยุดไม่อยู่มาก่อน
แต่ถึงอย่างนั้นในท้ายที่สุดมันก็เพียงคำพูดเลื่อนลอยประโยคหนึ่ง!
เซิ่งซูซูที่มองไปยังท่าทางของฉินอี้เหยา สัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกที่แผ่พุ่งออกมาจากตัวนาง เอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “พี่เหยา ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นท่านยิ้มเลย?”
ฉินอี้เหยามุมปากสั่นไหว ยิ้ม? นางก็ลืมไปตั้งนานแล้วยิ้มนั้นมันทำยังไง
เมื่อความมืดเข้ากล่ำกราย มั่วหยางก็นำเทียบเชิญแผ่นหนึ่งกลับมา เดินไปยังห้องของมู่ชิงเกอ
“ไม่เลว” พอเห็นเทียบเชิญในมือของเขา คิ้วเรียวของมู่ชิงเกอก็พลันเลิกสูงขึ้น เอ่ยคำชมประโยคหนึ่งอย่างไม่อ้อมค้อม
มั่วหยางนำเทียบเชิญส่งไปตรงหน้าของมู่ชิงเกอย่างนอบน้อม
มู่ชิงเกอก็เปิดมันออกมาในทันที อ่านเนื้อความที่อยู่ด้านบน
มั่วหยางเอ่ยอธิบายขึ้นที่ด้านข้าง “เทียบเชิญแผ่นนี้อยู่ในตลาดมืดก็มีคนประกาศอยู่ในราคาสูง เพียงแค่จ่ายศิลาวิญญาณมากหน่อยก็สามารถซื้อหาได้แล้ว แต่ว่า คุณชายเทียบเชิญแผ่นนี้ก็นำคนเข้าไปได้เพียงห้าคน”
“ห้าคน นั่นก็เพียงพอแล้ว” มู่ชิงเกอพับเก็บเทียบเชิญ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับมั่วหยาง
ในความเป็นจริง ก็มีบางครั้งที่คนยิ่งน้อยก็จะยิ่งทำให้เรื่องราวสำเร็จได้ง่าย
นางครั้งนี้ที่ไปเข้าร่วมงานประมูลในตลาดมืดก็เป็นเพราะต้องการควานหาไปตามเบาะแส คิดตามหารถลากสัตว์อสูรที่ลักพาตัวผู้คนคันนั้น หาที่อยู่ของฉินอี้เหยา ไม่ใช่เป็นการไปกวาดล้างตระกูลใคร
อีกอย่าง หยินฉินกับไป๋สี่พอถึงเวลาก็ยังรออยู่ในช่องว่าง สามารถเรียกออกมาได้ทุกเมื่อ
“ให้ข้าน้อยตามไปด้วยเถิดขอรับ” มั่วหยางเสนอตัวเองออกไป
มู่ชิงเกอมองไปทางเขาสายตาหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ นางรู้ว่ามั่วหยางยังคงรู้สึกผิดที่ตนเองคลาดสายตาจากฉินอี้เหยา การโทษตัวเองครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพราะฝ่าย ตรงข้ามเป็นฉินอี้เหยา แต่เป็นเพราะไม่สามารถจัดการกิจธุระที่มู่ชิงเกอส่งมอบให้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบได้
อย่างรวดเร็ว มู่ชิงเกอในที่สุดก็กำหนดรายชื่อของคนที่จะตามไปได้เสร็จ
นอกจากมั่วหยางแล้ว นางก็พาเสวี่ยหยา แล้วก็ยังมีองครักษ์เขี้ยวมังกรที่เคยพบเจอฉินอี้เหยาไปด้วยอีกสองคน
ที่พาเสวี่ยหยาไปก็เป็นเพราะนางนั้นเป็นกำลังรบที่ไม่เลวคนหนึ่ง อีกทั้งนางก็เหมือนกับว่าจะสามารถมองออกได้ถึงการเสแสร้งและการหลอกลวง กล่าวไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้ในบางสถานการณ์
ส่วนคนอื่นๆ ก็มีบางส่วนที่ยังมีภารกิจที่ต้องไปทำ ส่วนพวกที่ไม่มีก็ให้รั้งอยู่ที่ในจวนไปชั่วคราว
จิงไห่ที่เพิ่งจะเริ่มต้นฝึกฝนก็ยังคงฝึกฝนต่อไป ฝึกไปตามตารางประจำวันที่เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรใช้ฝึกฝน
ในตอนที่ความมืดมิดยามราตรีเข้ากอบกุมท้องฟ้าทั้งหมด มู่ชิงเกอก็พาคนออกเดินทาง
มุ่งไปยังจุดที่เทียบเชิญเขียนเอาไว้ ก่อนที่นางจะค้นพบว่า มันเป็นจวนเก่าๆ ที่ด้านนอกดูเหมือนจะผุพังและถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งที่ตั้งก็ยังอยู่ห่างไกล ถึงแม้ว่าจะอยู่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง แต่มันก็ดูรกร้าง รอบด้านไร้ซึ่งควันไฟและผู้คน
ด้านนอกประตูจวนสีขาว ก็แคว้นเอาไว้ด้วยโคมสีดำดวงหนึ่ง เหมือนกับจะเป็นสัญลักษณ์ของตลาดมืด
ประตูด้านนอกก็ยังยืนอยู่ด้วยคนผู้หนึ่งที่สวมหน้ากากผีร้าย น่าจะเป็นคนงานที่เอาไว้รับรองแขก เขายืนอยู่ด้านหน้าประตู ขวางเส้นทางการไปของมู่ชิงเกอทั้งห้าคน
มู่ชิงเกอนำเทียบเชิญส่งออกไป หลังจากเขายื่นมือออกมารับแล้ว ก็ตรวจมันอย่างละเอียดหนหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าเป็นเทียบเชิญของจริงแล้ว ก็ถึงค่อยเบี่ยงกายเปิดทางออก
มู่ชิงเกอพาคนเดินเข้าไป
ด้านในก็เป็นโถงรับรองห้องหนึ่ง บนกำแพงแขวนเอาไว้ ด้วยหน้ากากภูตผีรูปแบบต่างๆ ซึ่งที่นี่ก็มีคนกำลังเลือกหน้ากากอยู่ก่อนแล้ว
ดูท่า พวกเขาคนที่ต้องการจะเข้าไปในงานประมูลของตลาดมืดก็ล้วนแต่จะต้องใส่หน้ากากถึงจะเข้าไปได้
นี่ก็เพื่อปกปิดสถานะของผู้ซื้อและผู้ขายทั้งสองฝ่ายงั้นรึ? หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเอาความในภายหลัง?
แววตาของมู่ชิงเกอกวาดตามองไปบนหน้ากากเหล่านั้น แต่ที่สนใจกลับเป็นคนที่กำลังเลือกหน้ากากอยู่พวกนั้น คนในโถงรับรองก็ไม่ได้มีมากมาย นอกจากพวกนางทั้งห้าคนแล้ว ก็ยังมีอีกห้าคนที่รวมตัวเลือกหน้ากากอยู่ด้วยกัน สำหรับการเข้ามาของพวกนาง ทั้งห้าคนที่เข้ามาก่อนหน้าก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอันใด
มั่วหยางเดินไปด้านข้างมู่ชิงเกออย่างเงียบเชียบ ใช้เสียงที่ได้ยินเพียงสองคนพูดออกไป “คุณชาย ชายหนุ่มที่ใส่ชุดผ้าไหมสีขาวผู้นั้น ก็เป็นนายน้อยตระกูลเซิ่ง เซิ่งอวี้หลี”
นายน้อยตระกูลเซิ่ง?
มู่ชิงเกอค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้นมา หางตาลอบมองไปทางเซิ่งอวี้หลี
แต่เพียงแค่สายตาเดียวก็ค่อยๆ ถอนสายตากลับ มือของนางหยิบไปทางหน้ากากภูตผีที่เหมือนกับจะตั้งใจเลือกมัน แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจกลับนึกสงสัย ‘องค์หญิงน้อยตระกูลเซิ่งหายตัวไป นายน้อยตระกูลเซิ่งก็ยังมีเวลามาเข้าร่วมงานประมูลของตลาดมืดอีกงั้นรึ? หรือว่า…’
มู่ชิงเกอในแววตาก็พลันมีประกายวาววับขึ้นสายหนึ่ง ความคิดเลือนรางที่เคยโผล่ขึ้นมาในตอนก่อนหน้าตอนที่นางได้ยินเรื่องการหายไปขององค์หญิงน้อยตระกูลเซิ่ง ตอนนี้ก็ค่อยๆ กลายเป็นกระจ่างชัดขึ้นมาแล้ว
ความคิดที่ยากจะเชื่อสายหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาในหัวของนาง!
หรือว่า องค์หญิงน้อยตระกูลเซิ่งก็จะถูกจับไปด้วย? และตระกูลเซิ่งก็หาจนมาพบกับที่นี่เข้า?
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอค่อยๆ หรี่เล็กลง
ในตอนแรก ในตอนที่นางรู้ว่าเวลาที่องค์หญิงน้อยของตระกูลเซิ่งหายตัวไปค่อนข้างใกล้เคียงกับเวลาที่ฉินอี้เหยาหายตัวไป ก็มีความคิดเลือนรางสายนี้ขึ้นมาแล้ว รู้สึกว่าทั้งสองมีความเชื่อมโยงกัน
เพียงแต่ว่า ความสนใจของนางในตอนนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่จุดจุดนี้ ดังนั้นก็เลยไม่ได้สืบลึกลงไป การปรากฏตัวของเซิ่งอวี้หลี ก็ทำให้การคาดเดาของนางเปลี่ยนเป็นมีความเป็นไปได้ขึ้นมา
คนของตระกูลเซิ่งก็ได้เลือกหน้ากากเสร็จแล้ว สวมมันขึ้นไปก่อนจะเดินออกไปจากห้องโถง มู่ชิงเกอเลือกหน้ากากภูตผีมาส่งๆ ใบหนึ่ง ใส่มันไปบนหน้า คนที่ เหลือก็เช่นกัน
“นายน้อย คุณหนูถูกพามาที่นี่จริงๆ หรือขอรับ?” หน้ากากผีข้างกายเซิ่งอวี้หลี เอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
เซิ่งอวี้หลีเอ่ยขึ้นเสียงขรึม “สัญญาณก็ถูกส่งออกมาจากบริเวณนี้ และสถานที่หนึ่งเดียวในบริเวณนี้ก็คือที่นี่ คืนนี้ก็เป็นโอกาสอันดี ต่อไปพวกเจ้าก็ฟังคำสั่งข้าให้ดี”
“ขอรับ นายน้อย”
คนตระกูลเซิ่งทั้งสี่คนล้วนแต่ตอบรับกันเสียงพร้อมเพรียงกัน
ในตอนที่พวกเขาเพิ่งจะจากไป มู่ชิงเกอก็ได้นำคนเข้ามา
ที่ต่อจากโถงรับรองก็มีเพียงระเบียงทางเดินเส้นเดียวที่เปิดให้เดินได้พวกนางก็ยืนอยู่ที่ปากทางเข้าก็ยังสามารถมองเห็นแผ่นหลังของคนตระกูลเซิ่งไม่กี่คนหาย ลับไปตรงหัวมุม
“ไปเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยเรียบๆ ออกมาประโยคหนึ่ง ทั้งห้าคนเดินตามระเบียงทางเดินมุ่งหน้าออกไปหลัง จากเลี้ยวตามทางไปเรื่อยๆ พวกนางก็ถึงได้ใปถึงทาง เข้าอีกแห่งหนึ่ง
ตรงจุดทางเข้าก็ยืนอยู่ด้วยคนสวมหน้ากากผีร้ายสองคน ด้านหลังของพวกเขาก็เป็นผืนม่านที่ทั้งหนาและหนัก ขวางฉากภาพด้านในเอาไว้ พอเห็นมู่ชิงเกอทั้งห้า คนเดินเข้ามา พวกเขาก็เร่งรีบเปิดม่านออกไป เปิดช่องว่าง
ที่สามารถเข้าไปได้เพียงคนเดียวออกมา
ด้านใน เส้นแสงก็เกี่ยวรัดเกี่ยวพันกันไปมา ไม่ได้สว่างเกินไป และก็ไม่ได้มืดเกินไป
มู่ชิงเกอก็ก้าวเท้าเข้าไปด้านในก่อนก้าวหนึ่ง ก่อนที่ฉากภาพตรงหน้าจะพลันกลายเป็นกระจ่างชัดขึ้นมา
ด้านในก็เป็นโถงขนาดใหญ่โถงหนึ่ง เสายักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งตั้งคํ้ายันอยู่ตรงชายขอบ ทั้งสี่ทิศเป็นขั้นบันได ลดหลั่นกันไป ก็เหมือนกับสนามประลองที่เอาไว้ดูชมการประลองของสัตว์อสูร สามารถทำให้ผู้ประมูลไม่ว่าจะเลือกนั่งอยู่ตรงไหน ก็ล้วนแต่สามารถมองเห็นเวทีประมูลทรงกลมที่อยู่ตรงกลางได้อย่างชัดตา
เส้นแสงของห้องโถง ก็เหมือนกับว่าจะรวมอยู่บนเวทีประมูล ทำเช่นนี้ก็สามารถทำให้สินค้าบนเวทีประมูล กลายเป็นชัดเจนขึ้นในสายตาของผู้ประมูล และในทางเดียวกันก็ทำให้สินค้ามองเห็นผู้ประมูลได้ไม่ถนัดตา และก็ยังทำให้ระยะการมองเห็นระหว่างผู้ประมูลด้วยกันเองกลายเป็นพร่ามัว
ตอนที่มู่ชิงเกอพวกนางเข้ามา บนที่นั่งรอบด้านก็ได้มีคนนั่งอยู่ไม่น้อยแล้ว สามารถเห็นได้ว่าลูกค้าของตลาดมืดแห่งนี้ก็มีไม่น้อย
สายตาของมู่ชิงเกอลอบมองผ่านหน้ากากผีไปทางทิศที่ตระกูลเซิ่งนั่งอยู่อย่างไม่เผยพิรุธ เห็นที่นั่งด้านหลังพวกเขายังมีที่ว่างเหลืออยู่ ก็พลันนำคนเดินไปยังที่ว่างจุดนั้น
มู่ชิงเกอที่นั่งลงด้านหลังของตระกูลเซิ่งก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ ในตระกูลเซิ่งแต่อย่างใด
แต่ว่านายน้อยของพวกเขา เซิ่งอวี้หลีที่นั่งอยู่อยู่ตรงเก้าอี้ประธานกลับส่งสายตามองมาทางนางราวกับไม่ได้ตั้งใจสายตาหนึ่ง
มู่ชิงเกอก็ไม่ได้สนใจ กลับกันกลับเป็นเสวี่ยหยาที่มองไปทางเขา สบสายตาเข้ากับเขาที่กลางอากาศ หน้ากากผี หน้าตาดุดันก็ยังคงไม่สามารถขวางกั้นแววตากระจ่างของเสวี่ยหยาคู่นั้นได้
พอถูกนางมองมา เซิ่งอวี้หลีก็รู้สึกว่าในใจตนเองเกิดการสั่นไหว ราวกับว่าสิ่งที่ถูกกักเก็บอยู่ด้านในพออยู่ภายใต้สายตาคู่นั้นก็ไม่สามารถปกปิดมันได้อีก
เขาในใจลอบตื่นตระหนก ลอบพยักหน้าขออภัยไปทางเสวี่ยหยาอย่างไร้เสียง ก่อนจะดึงสายตากลับไป
รอจนสายตาของเขาถอนกลับไปแล้ว เสวี่ยหยาถึงได้เอ่ยกับมู่ชิงเกอขึ้นเสียงขรึม “นายน้อย คนผู้นั้นก็เหมือนกับว่ากำลังสงสัยในตัวพวกเราอยู่เล็กน้อย”
มู่ชิงเกอกลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจ “ไม่เป็นไร”
นาง สำหรับตระกูลเซิ่งก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้ายแต่อย่างใด แน่นอนว่าไม่กลัวสายตาตรวจสอบของเซิ่งอวี้หลี
พอเห็นมู่ชิงเกอกล่าวเช่นนี้ เสวี่ยหยาก็ไม่พูดอันใดอีก
นางที่อยู่ในชุดผ้าขาวทั้งยังสวมใส่หน้ากากผีร้าย พอยืนอยู่ฝั่งขวาของมู่ชิงเกอ กลับทำให้กลายเป็นสะดุดตาโดดเด่นขึ้นมา ส่วนมั่วหยางองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสามคนที่ล้วนแต่ใส่เกราะเบาที่เป็นผ้าลีดำประดับลวดลายลีดำม่วง พอสวมใส่หน้ากากผีลงไปก็ยิ่งเพิ่มความดุดันขึ้นมาหลายส่วน
ส่วนมู่ชิงเกอที่อยู่ในชุดผ้าไหมสีแดงสด พอเสริมรวมเข้ากับหน้ากากผี ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวยะเยือกหวาดกลัว กลับกันกลับเพิ่มความรู้สึกเย้ายวนน่าค้นหา จนมีความรู้สึกอยากจะกระชากหน้ากากของเขาออกมา ดูชมใบหน้าที่แท้จริงด้วยตาตนเอง
บนโต๊ะยาวด้านหน้าก็วางเรียงรายไปด้วยอาหารเลิศรส ทั้งยังมีพาชนะต่างๆ ที่จัดทำขึ้นอย่างประณีต จัดไว้ให้บรรดาแขกหยิบชิมได้ตามใจ แต่ถึงอย่างนั้นในความเป็นจริงแล้ว คนที่สามารถมาที่นี่ได้ ก็จะมีสักกี่คนกันที่สนใจอาหารเลิศรสพวกนี้ที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ?
ที่พวกเขาสนใจก็มีอยู่เพียงจุดเดียว นั่นก็คือวันนี้สินค้าที่ออกประมูลจะทำให้พวกเขาพึงพอใจได้หรือไม่
ระหว่างที่รอ จากปากทางเข้าก็มีผู้ประมูลจำนวนไม่น้อยปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ขาดสาย
สถานะของผู้ประมูลเหล่านี้ ก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ถึงกระนั้น บุคคลที่มีฐานะในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็มีอยู่แค่จำนวนหนึ่ง
‘ก็ไม่รู้ว่าคนของตระกูลเล่อจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่’ มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็คิดขึ้นมาในใจ
วันพรุ่งก็จะเป็นการเปิดม่านของการแข่งขันจัดอันดับ ตลาดการประมูลในคืนนี้ ก็เกรงว่าคงจะถูกนับเป็นการประเดิมในเงามืดก่อนการแข่งขันจริงแล้ว
มู่ชิงเกอเอนพิงไปที่พนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน นางส่งสายมองไปยังบริเวณด้านหน้าอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งมันก็สามารถมองเห็นตระกูลเซิ่งอยู่ในสายตาได้พอดี ถึงแม้จะถูกค้นพบ แต่ใครก็คงไม่อาจกล่าวได้ว่านางนั้นตั้งใจ
และก็ได้ผลดีชะงัก ในตอนที่นางจับจ้อง สายตาของเซิ่งอวี้หลีที่กวาดมองไปทางคนจำนวนหนึ่ง ก็สามารถจับความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของเขาเอาไว้ได้ ก็แม้แต่กล้ามเนื้อบนบ่าทั้งสองข้างของเขาก็ล้วนแต่เขม็งเกร็งขึ้นมาให้เห็น
คนพวกนี้ล้วนแต่สวมหน้ากากผี มู่ชิงเกอคนนอกผู้หนึ่งก็ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร
แต่สำหรับเซิ่งอวี้หลีนายน้อยตระกูลเซิ่งผู้นี้แล้ว ความเข้าใจต่อคนของตระกูลอื่นๆ ก็คงจะต้องคุ้นเคยอย่างไม่ต้องสงสัย จากไอพลังหรือว่ารูปลักษณ์ภายนอกก็คงจะสามารถคาดเดาออกได้
ในแต่ละครั้งที่เขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ ก็สามารถกล่าวได้ว่าตระกูลอื่นๆ นอกจากตระกูลเซิ่งพวกนั้นก็ล้วนแต่มากันหมด
ตระกูลวน ตระกูลถาน ตระกูลเล่อ ตระกูลเจี่ยง…
มู่ชิงเกอก็สังเกตเห็นได้ว่า สีหน้าของเซิ่งอวี้หลีมีการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดสี่ครั้ง แยกออกเป็นทิศด้านหน้า ทิศด้านซ้าย และทิศด้านขวาของเขา
ที่นั่งก็รายล้อมเวทีประมูลเป็นลักษณะครึ่งวงกลม ราวกับเส้นสายตาจากทุกมุมก็สามารถมองเห็นได้เหมือนๆ กัน
“คืนนี้ก็ดูคึกคักอยู่บ้าง” มู่ชิงเกอยกมุมปากแย้มยิ้มขึ้น ในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความลึกลํ้าอยู่หลายส่วน สามารถอยู่ในเหตุการณ์เช่นนี้ อยู่รวมในที่เดียวกันกับ ตระกูลใหญ่ทั้งหมดของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่า คืนนี้จะต้องมีเรื่องสนุก อีกทั้งยังเป็นเรื่องสนุกฉากใหญ่!
ในตอนนั้นเอง บนเวทีประมูลก็มีชายผู้หนึ่งก้าวขึ้นมา ชายผู้นั้นก็สวมใส่หน้ากากผีสีขาวเอาไว้ ก็ไม่เหมือนกันกับที่พวกแขกเหรื่อและผู้ติดตามสวมใส่ เขายืนอยู่บนเวที ถูกแสงไฟทั้งหมดเข้ากอบกุม ก่อนจะค่อยๆ เปิดปากขึ้น “ทุกท่านเวลาก็ผ่านไปไม่น้อยแล้ว”
คำพูดประโยคนี้ก็ทำให้แท่นที่นั่งที่กำลังคึกคักรอบด้าน พลันกลายเป็นเงียบเสียงลง
มีคนไม่น้อยที่มีท่าทีตั้งหน้าตั้งตารอคอย รอให้การประมูลในคืนนี้เริ่มต้นขึ้น
แต่ถึงอย่างนั้น หน้ากากผีสีขาวผู้นั้นก็กลับเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน “วันพรุ่งก็จะเป็นงานใหญ่ของพวกเรา ชาวเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง เป็นวันสำคัญในการแข่งขันจัดอันดับของตระกูลวน ถาน เจี่ยง เซิ่ง เล่อทั้งห้าตระกูล งานประมูลในคืนนี้ก็ให้ถือว่าเป็นงานเรียกนํ้าย่อยของเหล่าจอมยุทธ์ทุกท่านก่อนแล้ว ขออวยพรล่วงหน้าให้จอมยุทธ์ทุกท่านล้วนแต่ได้รับหญิงงามที่ใจปรารถนา!”
คำพูดประโยคนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการจุดไฟต่อสู้ของเหล่ารุ่นเยาว์ของทั้งห้าตระกูล
ชายหนุ่มวัยกลัดมันที่แย่งชิงก็คือสิ่งใดกัน? หากไม่ใช่ หน้าตาและหญิงงาม
ภายใต้เสียงยั่วยุสองสามประโยคของหน้ากากผีสีขาว การประมูลยังไม่ทันเริ่มต้นขึ้นอย่างทางการ ตอนนี้มันก็กลับเต็มไปด้วยกลิ่นไอของเปลวไฟคละคลุ้งแล้ว นี่ก็ทำให้คนที่ไม่ใช่คนของห้าตระกูลใหญ่ อดยิ้มหัวเราะขึ้นมา มิได้รู้สึกว่าวันนี้ต่อให้ไม่ได้อะไรติดมือกลับไป แต่แค่การปะทะอันดุเดือดระหว่างห้าตระกูลใหญ่ ก็ถือว่าควรค่าแก่ค่าเข้าที่จ่ายไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น คิ้วทั้งสองข้างภายใต้หน้ากากของมู่ชิงเกอกลับเลิกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ถ้าหากฉินอี้เหยาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วยรูปลักษณ์ของนาง เกรงว่าคงจะต้องเกิดการแก่งแย่งระหว่างตระกูลใหญ่ทั้งห้าเป็นแน่ นี่ไม่ต้องสงสัยเลยเป็นการเพิ่มความยากในการช่วยเหลือคน
ที่คิดคล้ายกับนางก็ยังมีเซิ่งอวี้หลี
แต่ว่าในใจของเขาก็เป็นความโกรธ เพราะว่าเขานั้นก็ได้แน่ใจแล้วว่าน้องสาวของตนตกอยู่ในสถานที่แห่งนี้จริงๆ องค์หญิงน้อยที่พวกเขาตระกูลเซิ่งเฝ้าประคบประหงมดูแล จะมากลายเป็นสินค้าให้สายตาของคนพวกนี้เชยชมได้อย่างไรกัน? ยอมให้พวกเขาแย่งชิงด้วยความคิดหยาบช้า!
ชั่วขณะนั้นเขาก็อยากจะพาคนบุกเข้ามาที่นี่ให้จบๆ ไป หาตัวน้องสาวและพานางออกไปจากที่นี่
แต่ว่า เบื้องหลังของตลาดมืดแห่งนี้ก็มีที่มาที่ไปลึกลับนัก สามารถคงอยู่ในเมืองหลายๆ แห่งเช่นนี้ได้ นั่นก็บอกเป็นนัยๆ ว่าไม่ง่ายดายที่จะต่อกรด้วย โครงข่ายที่ เกี่ยวพันเชื่อมโยงกันในเงามืดก็ไม่รู้ว่ามีมากเท่าไร เขา ไม่สามารถกระทำการผลีผลาม นำเภทภัยมาสู่ตระกูลเซิ่งได้
พยายามข่ม ความโกรธในใจ ริมฝีปากบนล่างภายใต้หน้ากากของเซิ่งอวี้หลีขบแน่นเข้าด้วยกัน
“เอาละ! การประมูลเริ่มต้นได้ ตอนนี้พวกเราก็มาดู สินค้าประมูลชิ้นแรกเถอะ!” หน้ากากผีสีขาวที่อยู่ภายใต้เส้นแสง ร้องตะโกนออกมาประโยคหนึ่ง
ต่อจากนั้นก็มีชายฉกรรจ์แขนแดงเถือกสองคน แบกของบางอย่างเดินส่ายไปส่ายมาปรากฏขึ้นมาบนเวทีประมูลทรงกลม
พวกเขาเอาของบนบ่าวางลงไปบนเวทีประมูลอย่างเบามือ หลังจากนั้นก็ถอยกลับไป
บนของสิ่งนั้นก็คลุมทับผ้าสีแดงเอาไว้ เส้นแสงพอร่วงตกไปด้านบน ก็เกิดเป็นแสงสีทองระยิบระยับออกมา หน้ากากผีสีขาวเดินไปด้านข้างของมัน มือซ้ายวางลงไปด้านบน ก่อนจะกระชากดึงผ้าแดงออก ในขณะที่ผ้าแดงร่วงตกลง สิ่งของด้านในก็พลันเผยโฉมออกมา
นี่ก็เป็นกรงนกสีทองขนาดยักษ์ที่ทำขึ้นมาจากทองบริสุทธ์ประณีตหาใดเปรียบ แสงลีทองเปล่งแสงวาววับ
แต่ถึงอย่างนั้น ที่ถูกขังอยู่ด้านในก็ไม่ใช่นก แต่เป็นคน!
นัยน์ตาภายใต้หน้ากากของมู่ชิงเกอค่อยๆ หดเล็กลง ในสายตาของเสวี่ยหยาที่อยู่ข้างกายนางก็ฉายเต็มไปด้วยความตกตะลึง
คนก็มีช่วงเวลาที่ถูกใช้เป็นสินค้าในการซื้อขายอยู่จริงๆรึ!
ในกรงสีทองก็ขังหญิงสาวเอาไว้นางหนึ่ง บนตัวของนางสวมใส่ผ้าโปร่งผืนบาง ด้านในมีเอี๊ยมปกปิดจุดซ่อนเร้นอยู่ แต่ว่าการสวมใส่เช่นนี้ สำหรับเหล่าบุรุษแล้วกลับยิ่งเพิ่มความเย้ายวนขึ้นไปอีก
หญิงสาวในกรงขัง ภายใต้เส้นแสงอันเจิดจ้าก็ถูกเปิดเผยส่วนเว้าโค้งจนหมด แม้แต่เส้นขนบนผิวของนางก็ล้วนแต่มองเห็นได้อย่างแจ่มชัด นางขดตัวอยู่ในส่วนมุมของกรงอย่างหวาดกลัว ฝ่ามือทั้งสองข้างกอดแขนตัวเองแน่น ก้มหัวกดลงไปบนหัวเข่าทั้งสองข้าง ทั่วร่างสั่นไหวไปมา ทั้งยังมีเสียงสะอื้นลอยมาให้ได้ยินรางๆ
ผู้ประมูลในที่แห่งนี้ก็เกรงว่าจะมีเพียงแค่พวกของมู่ชิงเกอที่มาเป็นครั้งแรก
คนอื่นๆ ร่วมถึงเซิ่งอวี้หลีก็ล้วนแต่ชินชากับฉากภาพนี้กันหมดแล้ว
ในมือของหน้ากากผีสีขาวก็มีไม้เท้าทองคำที่ประดับด้วยเพชรพลอยเพิ่มขึ้นมาด้ามหนึ่ง เขาเอาไม้เท้าทองคำ สอดเข้าไปในกรง แทรกมันไปยังหัวเข่าทั้งสองของหญิงนางนั้น วาดมันไปที่คางที่ก้มอยู่ของนาง ก่อนจะดันหน้าของนางให้ค่อยๆ ยกสูงขึ้น
ใบหน้าจิ้มลิ้มอ่อนหวานที่ยังประดับอยู่ด้วยคราบน้ำตา ทันใดนั้นก็พลันปรากฎสู่สายตาของฝูงชน ในแววตาของนางก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่น ตระหนก ราวกับลูกกวางตัวน้อยที่กำลังตื่นตกใจก็ไม่ปาน ทำให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสงสารจับใจนัก
มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ว่าแผ่นหลังของผู้ประมูลจำนวนไม่น้อยอยู่ๆ ก็พลันกลายเป็นเหยียดตรงขึ้น ดูท่าสาวน้อยในกรงผู้นนี้ จะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้จำนวนไม่น้อย หางตาของมู่ชิงเกอกวาดมองไปยังที่นั่งของทั้งห้าตระกูล ค้นพบว่าท่าทางของพวกเขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงความสนใจแต่อย่างไร ในใจอดไม่ได้ที่จะยิ้มหยันขึ้นในใจ ‘ดูจากท่าทางก็คงจะเป็นแต่พวกที่ผ่านโลกมาโชกโชนแล้ว’
หญิงสาวตรงหน้านี้ก็ยังไม่เพียงพอจะเรียกนํ้าย่อยของพวกเขา สร้างความสนใจให้พวกเขา
แต่ว่าก็คงต้องเว้นตระกูลเซิ่งเอาไว้
มู่ชิงเกอในใจก็คาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเซิ่งอวี้หลีที่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูที่หายไปจากตระกูลเซิ่งนางนั้น
เพียงแต่ไม่รู้ว่าถ้าหากอีกครู่เกิดปรากฏคุณหนูตระกูลเซิ่งอยู่ในกรงขึ้นมา เซิ่งอวี้หลีก็จะมีปฏิกิริยาเช่นไร!
หน้ากากผีสีขาวก็รอเวลาอยู่นานให้ผู้คนรอบด้านสามารถเห็นใบหน้าของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน จากนั้นถึงค่อยดึงไม้เท้าทองคำกลับ ไม้เท้าทองคำพอถูกดึง กลับ หญิงนางนั้นก็มุดหน้าลงไปที่หัวเข้าอีกครั้งด้วยท่าทางหวาดกลัว ไหล่ทั้งสองข้างสั่นไหว
“เอาละ นี่ก็เป็นราคาเริ่มต้นของสินค้า…ศิลาวิญญาณ ระดับต่ำ 1 ก้อน” หน้ากากผีสีขาวชูนิ้ว 1 นิ้วไปทางแขกเหรื่อที่นั่งอยู่รอบด้าน “ทุกครั้งที่ประกาศราคาก็ห้ามต่ำกว่า 1 ก้อนศิลาวิญญาณระดับตํ่า ตอนนี้เริ่มประมูลได้”
ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 1 ก้อนซื้อหญิงสาวนางหนึ่งกลับไป มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองที่เป็นจอมเสเพล อันดับหนึ่งของแคว้นฉิน พอต้องมาอยู่ต่อหน้าพวกไม่ได้ความของโลกแห่งยุคกลางพวกนี้แล้ว ก็ชัดเจนว่าเป็นเพียงแค่ไก่อ่อนตัวหนึ่ง
“ข้าให้ 2 ก้อน” มีคนเริ่มประกาศราคา
มีหนึ่งก็ต้องมีสอง
อย่างรวดเร็ว หญิงที่ถูกนำออกมาเป็นคนแรกนี้ก็ถูกคนใช้ศิลาวิญญาณระดับตํ่า 5 ก้อนประมูลไปได้
บางทีอาจเป็นเพราะเป็นคนแรก คนส่วนมากก็เลยยังไม่ได้ลงมือ แต่เป็นเลือกที่จะรอดูต่อไป
พอได้ผลสรุป ก็พลันมีคนงานหน้ากากผียกถาดใบหนึ่ง ไปปรากฏอยู่ข้างกายของคนที่ประมูลไปได้ ฝ่ายหลัง หลังจากวางศิลาวิญญาณระดับต่ำ 5 ก้อนลงไปบนถาดแล้ว คนงานก็ถึงค่อยโค้งกายถอยกลับไป
พอได้รับเงินแล้ว หน้ากากผีสีขาวก็พลันโบกมือไปทางเวทีด้านล่าง ก่อนที่ทันใดนั้นจะมีคนเดินขึ้นมา ใช้กุญแจเปิดกรงนกสีทอง ดึงตัวหญิงสาวที่อยู่ด้านในออกมา หลังจากนั้นใส่ปลอกคอลงไปบนลำคอของนาง ปลอกคอหลังใส่ลงไปแล้ว ด้านบนก็ส่องสะท้อนสัญลักษณ์ที่ดูลึกลับขึ้นสายหนึ่ง หญิงนางนั้นสีหน้าซีดขาว ใบหน้าทอแววเจ็บปวดทรมาน
ฉากภาพนี้ก็ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นมา ราวกับว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
แต่ในตอนที่นางเห็นหญิงนางนั้นถูกพาไปตรงหน้าของผู้ซื้อแล้วคนงานก็มอบกำไลวงหนึ่งให้กับเจ้าของ นางก็กลายเป็นเข้าใจขึ้นมา
ปลอกคอชิ้นนั้นก็น่าจะเป็นสิ่งของที่ใช้ควบคุมหญิงสาว ส่วนกำไลในมือเจ้าของ ก็คงจะสามารถสิ่งการหญิงสาวได้ทุกประการ ทำให้นางยินยอมโดยไม่สามารถขัดขืนได้ และในทางเดียวกันวิธีการปลดปลอกคอก็แน่นอนว่าจะต้องอยู่ในมือของผู้ถือกำไล ส่วนจะใช้มันยังไงนั้นก็ต้องดูเจ้าของตัวเขาเองแล้ว
“ยินดีกับนายท่านด้วยที่ประมูลได้เป็นคนแรก ได้รับหญิงงามไป ถัดไปก็เป็นสินค้าชิ้นที่สอง…” หน้ากากผีสีขาวพอกล่าวจบก็เบี่ยงกายมองไปทางด้านหลัง
กรงทองก่อนหน้าก็ได้ถูกยกลงไปแล้ว ที่ส่งขึ้นมาก็เป็นกรงนกอีกสองกรง
กรงนกทองคำทั้งสองกรงก็ถูกวางไว้ที่ด้านหน้าเขา ด้านบนก็เช่นเดียวกันคลุมผ้าแดงเอาไว้ หน้ากากผีสีขาวเดิน ไประหว่างกรงนกทั้งสอง ฝ่ามือทั้งสองข้างร่วงตกลงใน เวลาเดียวกันก็คว้าจับผ้าไหมสีแดงเอาไว้ภายใต้การรอคอยของฝูงชนดึงผ้าลงมา
ด้านในก็เช่นเดียวกันเป็นหญิงสาวอีกสองคน
เพียงแต่ว่า ทั้งสองคนนี้กลับมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน
พวกนางก็เหมือนกับว่าจะมีท่าทางที่คล้ายๆ กัน ฝ่ามือทั้งสองข้างจับไปที่กรง เส้นผมสีดำวาวลู่ตกลง ลู่ตกไปตามเส้นเว้าโค้งอันยั่วเย้าของพวกนาง บนใบหน้าเรียวเล็กเท่าฝ่ามือใหญ่ๆ ก็แฝงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก
ใบหน้าที่งดงามเช่นเดียวกัน สีหน้าหวาดกลัวที่แสดงออกมาเหมือนๆ กัน ท่วงท่าที่แสดงออกไปในทางเดียวกัน นี่ก็ทำให้ในใจของคนไม่น้อยมีประกายไฟลุก โชนขึ้นมา
สายตาร้อนแรงพวกนั้นก็ล้วนแต่ตกลงไปบนเรือนร่างของพี่น้องฝาแฝดสองนางนั้น ยิ่งทำให้แววตาอับจนหนทางของพวกนางฉายชัดขึ้น
“ราคาเท่าไร!” มีคนอดไม่ใจรอไม่ไหวร้องตะโกนออกมา
น้ำเสียงของหน้ากากผีสีขาวก็ยังคงราบเรียบ “ฝาแฝดสองนางนี้ก็หาได้ยากนัก ความคิดความอ่านของพวกนางก็ไปถึงระดับที่มักจะทำอะไรออกมาเหมือนกันๆ ความสนุกที่อยู่ด้านใน ทุกท่านที่นั่งอยู่ก็น่าจะเข้าใจถึงมันได้”
เสียงของเขาเพิ่งจะจบลง รอบด้านก็พลันดังขึ้นด้วยเสียงหัวเราะหื่นกระหาย
“พวกนางสองคนก็สามารถประมูลไปเดี่ยวๆ ได้ และก็สามารถประมูลไปพร้อมกันได้ ราคาที่ประกาศออกมาก็จะเป็นราคาของคนคนเดียว แต่ถ้าหากสุดท้าย แล้วอยากจะพาทั้งสองคนจากไปก็จำเป็นจะต้องจ่ายออกมาในราคาสี่เท่าของราคาประมูล ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 2 ก้อนศิลาวิญญาณระดับตํ่า”
มู่ชิงเกอแววตาทอประกายดำมืด หน้ากากผีสีขาวผู้นี้ก็เข้าใจถึงวิธีการเรียกราคาได้ยิ่งนัก ให้ราคาตํ่าๆ ออกไปเพื่อสร้างแรงดึงดูดและจูงใจ นี่ก็ถึงจะสามารถกระตุ้นให้ผู้ประมูลทำการแข่งขันกันอย่างดุเดือด
“ข้าให้ 6 ก้อน!”
“ข้าให้ 8 ก้อน!”
“12!”
“16!”
“20!”
“50!”
50 ก้อนศิลาวิญญาณระดับตํ่า ถ้าหากทั้งสองคนล้วนแต่อยากได้ ก็จะต้องจ่ายออกไปในราคา 200 ศิลาวิญญาณระดับตํ่า นี่ก็กลายเป็นเท่ากับศิลาวิญญาณ ระดับกลางสองก้อนแล้ว ราคานี้ก็ไม่ถือว่าต่ำอีกต่อไป
ดังนั้น พอให้ราคาออกมา เสียงแย่งกันประมูลรอบด้านก็พลันกลายเป็นเงียบกริบลง
มู่ชิงเกอส่งสายตามองไปก่อนจะพบว่าคนที่ประกาศราคา ก็เป็นทิศทางของห้าตระกูลใหญ่ แต่ว่าจะเป็นตระกูลไหนนั้น นางก็ยังไม่แน่ใจ
“ศิลาวิญญาณ 50 ก้อน ยังมีใครจะเพิ่มราคาหรือไม่?” หน้ากากผีสีขาวร้องเรียกออกไปสามครั้ง พอไม่มีคนประกาศราคาอีก เขาก็ถามขึ้นอีกครั้ง “นายท่านอยาก ซื้อคนเดียวหรือว่าต้องการซื้อสองคน”
คำถามข้อนี้จริงๆ แล้วก็เหมือนจะสิ้นเปลืองไปหน่อย จุดเด่นในการซื้อขายพี่น้องคู่นี้ก็เป็นเพราะมีเป็นคู่ ถ้าหากแยกกันขายออกไปละก็ ก็จะทำให้กลายเป็นไม่น่าสนใจขึ้นมา
และก็เป็นเพราะเช่นนั้นจริงๆ ผู้ประมูลมือเติบรายนั้นก็พลันเอ่ยขึ้นไปตรงๆ “แน่นอนว่าเป็นซื้อสองคนไปด้วยกัน พี่น้องที่น่าสงสารคู่นี้ ถ้าหากแยกพวกนางออกจากกัน ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้ผู้คนคิดว่าข้านายน้อยไม่เข้าใจการถนอมหยกรักษาบุปผารึ?’’
พอส่งศิลาวิญญาณระดับต่ำ 200 ก้อนออกไป หญิงฝาแฝดคู่นั้นก็พลันถูกส่งไปตรงหน้าของคนผู้นั้น
ที่ส่งไปในมือของเขาก็เช่นเดียวกัน เป็นกำไลอีกสองวง
ในมือของเขากำกำไลเอาไว้สองวง ก่อนจะเคาะไปที่มันเบาๆ ชั่วขณะนั้นสองพี่น้องฝาแฝดคู่นั้นก็พลันร้องเจ็บปวดออกมา ส่วนตัวเขาก็กลับเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
“สินค้าประมูลในคืนนี้ก็ยังเหลืออีกสองชิ้น แขกทุกท่านที่ยังไม่ได้รับหญิงงามไป ก็คงต้องรีบกันหน่อยแล้ว ยกขึ้นมา!”หน้ากากผีสีขาวร้องส่งขึ้นเสียงหนึ่ง กรงสี ทองกรงใหม่ก็พลันถูกยกขึ้นมา
ในตอนที่เขาดึงผ้าคลุมสีแดงที่ปิดอยู่ด้านบนลงมานั้น เซิ่งอวี้หลีที่นั่งอยู่ด้านหน้ามู่ชิงเกอผู้นั้นก็พลันลุกยืนขึ้นมา… ‘ตึง’