ตอนที่ 235
ศึกแรกขององครักษ์เขี้ยวมังกร ข้ามารับเจ้า!
ก่อนรุ่งสาง ในตอนที่ท้องฟ้ามืดมิดมากที่สุด
จันทราลาเลือน อาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า คล้ายกับทุกสิ่งอย่างบนโลกถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ราวกับย้อนกลับไปยังช่วงเวลาแห่งต้นกำเนิด
องครักษ์เขี้ยวมังกรห้าร้อยนาย คลุมกายด้วยผ้าคลุมสีดำ เหาะมาอย่างเร็วในอากาศจากทั่วสารทิศ พุ่งไปยังตำแหน่งที่ตั้งของตระกูลเล่อ บนภาคพื้น เซิ่งอวี้หลีนำกำลังคนกลุ่มลอบตรึงกำลังไว้ เข้าไปใกล้ๆ อย่างเงียบๆ ล้อมด้านนอกของจวนตระกูลเล่อไว้ท่ามกลางความเงียบงัน
แม้ว่ามู่ชิงเกอจะไม่ได้มีข้อเรียกร้องอันใดในข้อตกลงของการร่วมมือนี้
แต่เซิ่งเซวี่ยนก็ยังคิดว่า ในเมื่อต้องทำ ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด คนของมู่ชิงเกอรับผิดชอบเรื่องการใช้อาวุธฆ่าคน ของตระกูลเซิ่งรับผิดชอบในการปิดล้อม หลังจากสำเร็จ ก็ถอนกำลังกลับอย่างเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้
โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยนำโอสถที่ปรุงแต่แรกมายังกำแพงทางเหนือของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงตามคำสั่งของมู่ชิงเกอ ลมจากทิศเหนือพัดแรงในคืนนี้
โย่วเหอเก็บใบไม้ขึ้นมาหนึ่งใบ โยนไปกลางอากาศ ลมทางทิศเหนือพัดมันลอยไปข้างหน้า
เมื่อยืนยันทิศทางลมแล้ว มุมปากของนางก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น
ขณะที่ฮวาเยวี่ยเทโอสถลงถ้วย โย่วเหอก็ได้จุดไฟเพื่อใส่ลงไปในนั้น เพียงแค่นำควันจางๆ ที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นนั่นใส่ลงไปในถ้วย ตัวควันก็ลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็วและถูกลมเหนือพัดไปปกคลุมเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง เข้าไปทุกซอกมุมของเมือง
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพื่อจุดโอสถห่อถัดไปอีกครั้ง
ภายใต้การลอบคุ้มกันของตระกูลเซิ่ง นางทั้งสองอยู่บนกำแพงทางทิศเหนือ จุดโอสถไปทั้งสิ้นสิบห่อ
ยาเหล่านี้เป็นยาผงที่มู่ชิงเกอทำขึ้นเป็นพิเศษเพียงเจ้าเดียว เนื่องด้วยครั้งก่อนที่สามารถสยบฉวีอี้ลงได้นั้น นางก็ได้ปรับการหลอมยาให้ดียิ่งขึ้น ปริมาณยาที่ใช้ในครานี้ เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนทั้งเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงหลับลึก แม้แต่การสังหารในยามค่ำคืนก็จะไม่สามารถทำให้พวกเขาตื่นขึ้นมาได้ รอจนพวกเขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็จะถึงค่อยพบว่า ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว!
ของพวกนี้ มู่ชิงเกอแน่นอนว่าเตรียมไว้รับมือกับตระกูลอื่น นางไม่อยากสังหารอย่างเพลิดเพลินแล้วจู่ๆ ก็มีคนเข้ามาก่อกวน
ดังนั้น นอกจากตระกูลเซิ่งแล้ว ตระกูลอื่นที่ล้อมรอบอยู่อีกสี่ตระกูล นางได้ให้เสวี่ยหยา หยินเฉิน ไป๋สี่ และหยวนหยวนเป็นผู้ดูการเคลื่อนไหวในการจุดยาอย่างระแวดระวัง
เมื่อเสร็จแล้ว ก็ให้พวกเขากลับไปรวมกลุ่มกับองครักษ์เขี้ยวมังกร ล้อมรอบและไล่ล่าตระกูลเล่อโดยไม่ต้องกลับมาหานางอีก
เพราะ ณ เวลานี้ ข้างกายนางมีคนห่อกายในผ้าคลุม ตามติดอยู่
ยืนห่างจากชายคาตระกูลเล่ออยู่ไม่ไกล คนข้างกายมู่ชิงเกอก็ถามขึ้นว่า “ต้องรออีกนานแค่ไหนกัน ฟ้าใกล้จะสว่างอยู่แล้ว”
คนข้างๆ ที่ร้อนใจ แต่มู่ชิงเกอกลับเอ่ยอย่างไม่เร่งรีบว่า “ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องกังวลไป ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า คอยอีกสักครู่เถอะ”
ผู้ที่ซ่อนกายภายใต้ผ้าคลุมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหมดความอดทน
ดวงตาคู่นั้นของคนที่ซ่อนตัวใต้ผ้าคลุม สังเกตมู่ชิงเกอที่อยู่ข้างกายในความมืดสนิท เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมหัวหน้าตระกูลต้องมาร่วมมือกับเด็กหนุ่มเช่นนี้ อีกทั้งประสบการณ์ของเขา เด็กหนุ่มแบบนี้อาจจะเก่งแต่พูด แต่การกระทำเหลาะแหละก็เป็นได้
ควันที่ออกมาจากยาผง ค่อยๆ ปกคลุมจนทั่วเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง พัดลอยไปทั่วทุกแห่ง ไม่เว้นแม้แต่จวนตระกูลเล่อ เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรเก็บตัวอย่างเงียบๆ ในความมืด มองดูควันที่กำลังพัดเข้าสู่จวนตระกูลเล่อ รอคอยคำสั่งโจมตีจากมู่ชิงเกอ
ขณะนี้ผู้อาวุโสของตระกูลเซิ่งที่อยู่ใต้ผ้าคลุมผู้นั้น ก็กำลังมองดูหมอกควันที่กำลังกลืนไปกับความมืด แววตาฉายความไม่แน่ใจออกมา
ไม่รอให้เขาเข้าใจ โอสถเม็ดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า เขามองไปอย่างจดจ่อ พบว่าคนที่ถือโอสถอยู่คือเจ้าหนุ่มชุดแดงที่ยืนอยู่ข้างๆ
เขาย่นคิ้วแล้วย่นคิ้วอีก ยังไม่ยื่นมือไปรับโอสถมา
มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้นอธิบาย “หมอกควันพวกนี้มีฤทธิ์ช่วยให้นอนหลับสนิท ยาเม็ดนี้สามารถด้านฤทธิ์พวกนี้ได้ กลืนมันลงไปซะ แล้วมันจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ในการปฏิบัติภารกิจ”
ดวงตาของผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งเปล่งประกายเล็กน้อย มองมู่ชิงเกออย่างรู้สึกทึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ในเมื่อเจ้าฉลาดขนาดนี้ เหตุใดไม่ทำให้คนของตระกูลเล่อทั้งหมดนอนหลับจนไม่ได้สติ หลังจากนั้นก็พรากชีวิตของพวกเขาอย่างเงียบเชียบ เหตุใดต้องมาร่วมมือกับตระกูลเซิ่งของเราด้วยเล่า?”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นมองไปยังเขา ยิ้มขันพลางเอ่ยขึ้นอย่างไมู่ยี่ระว่า “ท่านผู้อาวุโสยังให้เกียรติข้าจริงๆ การใช้ยา เพื่อทำให้คนทั้งเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงไม่ได้สติ ข้าเองยังไม่มีความสามารถถึงขั้นขนาดที่ทำให้เทพหรือผีไม่รู้สึกตัวได้ ที่ข้าทำได้มีเพียงทำให้คนทั้งเมืองหลับลึกจนกระทั่งเช้า สำหรับคนของตระกูลต่างๆ กลิ่นคาวเลือดนั้นจะกระตุ้นให้ฟื้นคืนสติอย่างแน่นอน โดยเฉพาะคนที่ระดับพลังยุทธ์ยิ่งสูง ก็จะรับฤทธิ์ยาได้น้อยลง ถึงตอนนั้นก็คงต้องพึ่งพาท่านผู้อาวุโสแล้ว”
คำพูดของเขา แฝงไว้ซึ่งความจริงใจ
ถึงแม้ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งจะยังไม่มั่นใจ แต่ก็แบมือรับยามา
แต่เขาก็ยังไม่กลืนลงไปในทันที พร้อมถามว่า “นี่เป็นยาที่เจ้าหลอมออกมารึ? กินได้แน่หรือ? ไม่มีผลข้างเคียงใช่หรือไม่?”
คำถามของเขาทำให้มู่ชิงเกอนิ่งชะงัก แต่ก็โต้ตอบกลับไปทันที
ตาเฒ่าที่โรงโอสถเคยบอกนางไว้ในจดหมายว่า นักปรุ โอสถในโลกยุคกลางนั้นต้องมี “แผ่นป้าย” ประจำตัวพกไว้ โดยปกติยาที่ปรุงจากนักปรุงยาที่ไม่มีป้ายประจำตัวนักปรุงยานั้น จะไม่มีคนกล้ากิน
นอกจากนั้นแล้ว เขายังมอบ “ป้ายประจำตัวนักปรุงยา” แบบนี้ให้ตนไว้แล้วหนึ่งแผ่นป้าย
เพื่อขจัดความความกังวลของผู้อาวุโสตระกูลเซิ่ง มู่ชิงเกอนำแผ่นป้ายที่ตาเฒ่าโรงโอสถให้ออกมา ยื่นให้ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งดู
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งยื่นมือไปรับ ชายตามองไปยังแผ่นป้าย
ทันทีที่ได้เห็น ดวงตาก็ฉายแววความตะลึงออกมา
เมื่อเข้าใจเรื่องราวแล้ว ท่าทีการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเคารพนับถือ สองมือยื่นป้ายส่งคืนให้มู่ชิงเกอ นํ้าเสียงก็ไม่มีความยโสเช่นเมื่อครู่ “ที่แท้ท่านก็เป็นแขกของสำนักบัญญัติโอสถภาคตะวันออก เสียมารยาทแล้ว”
สำนักบัญญัติโอสถงั้นรึ? มู่ชิงเกอสงสัยอยู่ในใจ
นี่เป็นครั้งที่สองที่นางได้ยินชื่อนี้ ตาเฒ่าแห่งโรงโอสถ บอกว่าหลังจากนางมายังโลกยุคกลางแล้วให้มุ่งไปยังเขตภาคตะวันออก ภายในห้าปีเข้าไปยังสำนักบัญญัติโอสถ และชนะการแข่งขันในงานประจำปีครั้งใหญ่ของสำนัก
และตอนนี้ ป้ายประจำตัวนักปรุงยาที่อยู่กับนาง ก็ยังเกี่ยวข้องกับสำนักบัญญัติโอสถด้วยงั้นรึ?
เก็บป้ายกลับมาอย่างเงียบๆ การเข้าใจผิดของผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งนั้นนางเองก็ขี้เกียจจะอธิบายให้กระจ่าง
เมื่อมีสิ่งยืนยันตัวตนแล้ว ความสงสัยในแววตาของผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งก็หายไป เขาหยิบยาเข้าปาก กลืนลงไปทั้งอย่างนั้น
มู่ชิงเกอเห็นแบบนี้แล้ว ทันใดนั้นในใจก็คิดอะไรขึ้นมาได้
ถ้าตอนนี้นางหยิบยาพิษขึ้นมา เกรงว่าผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งเองก็คงจะกินลงไปโดยไม่ลังเล
แน่นอน สิ่งที่เขาเชื่อไม่ใช่นาง แต่เป็นสำนักบัญญัติโอสถ!
มู่ชิงเกอละลายตาออกจากผู้อาวุโสตระกูลเซิ่ง มองไปยังจวนตระกูลเล่อ ป้อมปราการของตระกูลเล่อนั้นเหมือนจะเงียบกว่าก่อนหน้านี้ไปมากทีเดียว
แม้แต่สัตว์วิญญาณที่เลี้ยงเอาไว้ก็ยังฟุบลงกับพื้น เข้าสู่ความฝันอันแสนหอมหวาน
ในใจคำนวณเวลาเอาไว้ดีแล้ว มู่ชิงเกอยกหางคิ้วขึ้น ใช้สัญญาณมือบอกให้เข้าโจมตีในความมืด
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งประหลาดใจกับสัญญาณมือของมู่ชิงเกอ ไม่รอให้หายข้องใจ ก็รู้สึกถึงการปรากฏตัวจากทั่วสารทิศ มุ่งโจมตีไปยังป้อมปราการของตระกูลเล่อ
สวบสาบ!
ด้วยสายตาของเขาแน่นอนสามารถมองเห็นได้ในที่มืด ศพแล้วศพเล่าหล่นลงกับพื้นดิน
เงาดำหลายร้อย เหมือนดั่งยมทูตมารับเอาดวงวิญญาณ ในยามค่ำคืนใช้คมดาบเฉือนลงคออย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งเลือดไหลรินออกจากกาย
องครักษ์เขี้ยวมังกรเข้ามาจากทุกทิศ เดินหนึ่งก้าวฆ่าหนึ่งศพ ไม่นาน อากาศภายในจวนของตระกูลเล่อก็เริ่มมีกลิ่นคาวเลือดอ่อนๆ ยามที่เฝ้าอยู่หน้าประตูและสัตว์เลี้ยง ต่างกลายเป็นเครื่องสังเวยแด่องครักษ์เขี้ยวมังกร
การฆ่าคนอย่างชำนาญ การร่วมมืออย่างชาญฉลาดของทั้งกลุ่มคน ทำเอาผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งได้แต่มองจนพูดไม่ออก กองกำลังที่ฝึกฝนมาเป็นพิเศษอย่างนี้อย่าว่าแต่ตระกูลเซิ่ง แม้แต่ตระกูลอื่นเองก็คงไม่มีเช่นกัน
เป็นอีกครั้งที่เขามองมู่ชิงเกออย่างชื่นชม
‘ที่แท้ก็เป็นคนของสำนักบัญญัติโอสถ!’ ตระกูลเล่อนี้ก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าไปสร้างเรื่องอะไรเอาไว้นึกไม่ถึงเลยว่าจะไปแหย่คนที่ดุร้ายเด็ดขาดถึงเพียงนี้ได้ ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งไว้อาลัยให้ตระกูลเล่ออยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้ เขายังตำหนิผู้นำตระกูลที่ไปร่วมมือกับเด็กเมื่อวานซืนคนหนึ่งอยู่ว่าคิดตื้นเขินเกินไป แต่พอมาตอนนี้คงไม่ใช่แบบนั้นซะแล้ว? ง่ายๆ เลยก็คือ เป็นเขาเองมีตาแต่ไร้แววต่างหาก!
“ผู้อาวุโส พวกเราไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอออกปากเชิญทันทีทันใด
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งพยักหน้าอย่างมึนๆ กระโดดขึ้นชายคาบ้านตามมู่ชิงเกอเข้าไปยังบริเวณจวนของตระกูลเล่อ
ที่นี่ กลิ่นคาวเลือดแรงกว่าด้านนอกมาก และองครักษ์เขี้ยวมังกรเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้ว บนพื้นเต็มไปด้วยศพนอนระเนระนาด ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งพบว่า คนพวกนี้แม้แต่ยามตายก็ไม่อาจทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยังอยู่ในอาการหลับสนิท ก็ถูกพรากชีวิตไปแล้ว
มู่ชิงเกอออกเดินในบริเวณบ้านที่เงียบสงัด เหมือนกับเป็นสวนในบ้านตนเอง
องครักษ์เขี้ยวมังกรยังคงทำการสังหารในพื้นที่ถัดไป ใช้ชีวิตและเลือดของคนตระกูลเล่อปูทางให้มู่ชิงเกอเดิน ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งเดินตามหลังมู่ชิงเกอ ใบหน้าตกตะลึงนั้นก็กำลัง ‘ดูชม’ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
ห้าตระกูลแห่งเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ศักยภาพเทียบเท่ากับตระกูลเซิ่งอย่างตระกูลเล่อ จะค่อยๆ สูญสิ้นไปแบบนี้? ถ้าไม่เห็นกับตา ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งเองก็ยังรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพมายา ไม่อยากเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง
แต่ว่า ในใจเขาก็บอกกับตัวเองรอบแล้วรอบเล่าว่าเบื้องหน้าทั้งหมดนี่คือของจริง
ความกลัวค่อยๆ ปรากฏขึ้นภายในใจของเขา
เขามองไปยังแผ่นหลังที่สูงและตรงเบื้องหน้า อาภรณ์สีแดงผืนนั้น ช่างมีเสน่ห์ในความมืด ราวกับชุดงามที่ถูกย้อมด้วยเลือด
ตระกูลเล่อถูกเขาจัดการอย่างง่ายดาย แล้วตระกูลเซิ่งล่ะ จะอยู่ในแผนการของเขาด้วยหรือไม่?
ตาของผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งเบิกโพลง ในใจเริ่มตระหนักชัดเจน
‘กับคนๆนี้ เป็นได้แค่มิตรเท่านั้น ห้ามเป็นศัตรู!’
“มีคนบุกรุก… เสียงอันหวาดกลัวดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบในจวนตระกูลเล่อ
มู่ชิงเกอและผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งมองไปทางเดียวกัน เห็นคนตระกูลเล่อผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ยืนอยู่ข้างประตูอย่างหวาดกลัว
เพียงแต่ ไม่รอให้เขาได้โต้ตอบอะไรกลับมา ก็มีคนสะกดข่มตัวเขาลงไป บังคับให้คุกเข่าอย่างเร็ว ก่อนจะถูกโจมตีเข้าที่หว่างคิ้ว
ร่างกายของเขานิ่งไม่ไหวติง เพิ่งส่งเสียงเตือนออกมา ก็จบชีวิตลงซะแล้ว
ลูกดอกที่ทะลุหว่างคิ้วไปยังสั่นไหวอยู่บนกำแพง
มู่ชิงเกอกวาดสายตามองไป ก็พบกับองครักษ์เขี้ยวมังกรคนหนึ่งกำลังดึงมือกลับ ยิ้มออกมาบางๆ มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไรมาก ในที่สุดตระกูลเล่อก็เริ่มรู้ตัวแล้ว เมื่อครู่คนๆ นั้นใช้ชีวิตส่งเสียงเตือน ทำให้คนของตระกูลเล่อที่กำลังหลับใหลตื่นขึ้นมา จากห้องที่มืดอยู่นั้นเริ่มมีแสงไฟ คนภายในนั้นเริ่มขยับใส่เสื้อผ้าเตรียมพร้อม
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งมองไปยังมู่ชิงเกอพร้อมเอ่ยว่า “คนของตระกูลเล่อตกใจตื่นกันขึ้นมาแล้ว”
เป็นความหมายโดยนัยว่ามู่ชิงเกอจะทำอย่างไรต่อไป
มู่ชิงเกอมองไปยังเขา จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ผู้อาวุโสนึกว่าคนของข้าลอบฆ่าได้อย่างเดียวงั้นรึ”
ราวกับขานรับประโยคนี้ของนาง องครักษ์เขี้ยวมังกรที่เดิมทีซ่อนอยู่ในความมืด ราวกับเสือร้ายที่เริ่มออกล่า พุ่งตรงไปยังห้องที่มีแสงไฟสว่างนั้นทันที
พวกเขาใช้เท้าถีบประตูให้เปิดออก หลังจากบุกเข้าไป ก็ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกัน สุดท้ายก็มีหยดเลือดสาดกระทบกับหน้าต่าง
ไม่นาน องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ออกมา และบุกเข้าไปอีกห้อง
ยังมีคนของตระกูลเล่ออีกพวกหนึ่งที่ฝ่าการโจมตีออกมา ไม่ทันจะได้ตอบโต้ก็ถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรกำจัดหมด
สำหรับตระกูลเล่อแล้ว ใจขององครักษ์เขี้ยวมังกรนั้นมีเพียงความเกลียดชังอยู่ภายใน
เพราะสิ่งที่ตระกูลเล่อได้ทำไว้กับตระกูลมู่ทั้งหมดนั้น สำหรับพวกเขาแล้วเป็นเรื่องที่ไม่สมควรได้รับการอภัย ดังนั้นเมื่อมู่ชิงเกอต้องการให้ฆ่าตระกูลเล่อ พวกเขาเองก็ทำได้โดยการปลดปล่อยสัญชาติญาณดิบข้างในกาย ปล่อยให้มันออกมาทำการสังหารอย่างโหดเหี้ยม
ชั่วขณะนั้น การเข่นฆ่าก็เริ่มต้นขึ้น ไม่ใช่การคร่ากุมชีวิตในความมืดอีกต่อไป แต่เป็นการสังหารโดยไม่หยุดยั้ง
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ลอบฆ่าทั้งในความมืดและในที่สว่าง ราวกับกองกำลังสัตว์รายก็ไม่ปาน ถูกฝึกมาอย่างไรกันแน่? แล้วคุณชายมู่ที่อยู่ตรงหน้านี่เป็นใครกันแน่ นึกไม่ถึงเลยว่าจะสามารถบัญชา กองกำลังทหารเช่นนี้ได้
ในขณะที่ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งกำลังตกตะลึงอยู่นั้น มู่ชิงเกอก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “ท่านผู้อาวุโส ต่อจากนี้ก็คงต้องพึ่งท่านแล้ว”
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งงงงวย นึกไม่ทันว่าคำพูดที่มู่ชิงเกอพูดออกมาหมายความว่าอย่างไร แต่ก็พลันได้ยินแค่เสียงตึงตังดังออกมาจากภายในจวนตระกูลเล่อเสียก่อน “พวกคนต่ำช้าจากที่ใดกัน กล้ามาวุ่นวายในจวนตระกูลเล่อของข้า ฆ่าคนของข้า!”
“เล่ออิ๋ง!” สายตาของผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งเคลื่อนไปยังบุคคลที่ส่งเสียงออกมา
เมื่อนานมาแล้ว ห้าตระกูลในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงได้ต่อสู้กัน ขณะนั้นผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งท่านนี้ยังเป็นหนุ่ม ได้เคยปรับมือกับเล่ออิ๋งผู้นี้อยู่บ่อยครั้ง และมีความแค้นต่อกันตั้งแต่นั้นมา
เวลานี้ เมื่อได้ยินเสียงคู่ปรับเก่า สายตาของเขาก็ปรากฏความโหดเหี้ยมและดุดันออกมา เข้าใจสิ่งที่มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาเป็นนัยๆ เมื่อครู่ได้ทันที
เขาสบถเสียงเย็น บอกกับมู่ชิงเกอว่า”คุณชายมู่ ท่านวางใจเถิด สุนัขเฒ่าเล่ออิ๋งผู้นี้คืนนี้ข้าจะกำจัดมันด้วยตัวเอง!”
พูดจบ เขาก็กระโดดลอยเข้าไปด้านในของจวนตระกูลเล่อ เขาเพิ่งออกไป คนที่ออกไปปฏิบัติภารกิจทั้งเสวี่ยหยา ไป๋สี่ หยินเฉินและหยวนหยวนก็มาปรากฏอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น “ฆ่า!”
สิ้นคำสั่ง ทั้งสี่คนก็มุ่งตรงเข้าไปยังจวนตระกูลเล่อ เริ่มการสังหารอันบ้าคลั่ง
พวกเขาทั้งสี่ มุ่งเป้าไปยังลูกศิษย์และคนในสายเลือดของตระกูลเล่อ รวมทั้งห้องของผู้นำตระกูล
กำลังการต่อสู้ของไป๋สี่ หยินเฉิน และหยวนหยวน ไม่ใช่ สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถต่อกรได้
โดยเฉพาะหยวนหยวน ปล่อยพลังพญาเพลิงปาฮวงซูคงออกมาอย่างไร้เสียง ชั่วพริบตาเดียวก็เผาคนจนดำเหมือนอีกา ไม่ทันได้ตั้งตัวป้องกัน ก็สลายหายไปแล้ว
มู่ชิงเกอรู้สึกว่า ตั้งแต่หยวนหยวนเข้ามายังโลกยุคกลาง เหมือนกับพลังนั้นจะแก่กล้าขึ้นมาไม่น้อย อย่างน้อยพลังพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่และพญาเพลิงปาฮวงซูที่ ปล่อยออกมา ก็ห่างไกลกับตอนที่อยู่หลินชวนมากแล้ว
องค์หญิงเผ่าอี๋อย่างเสวี่ยหยา โดยพื้นฐานแล้วความสามารถนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร
ความกล้าหาญองอาจของทั้งสี่คน สามารถโจมตีตะกูลเล่อได้อย่างเด็ดขาด ไหนจะองครักษ์เขี้ยวมังกรอีก ทันใดนั้นก็มีเสียงต่อสู้ดุเดือดดังออกมาจากส่วนลึกภาย ในจวนตระกูลเล่อ
มู่ชิงเกอยกสายตาขึ้นมอง พลันเห็นแสงและเงาสองสายปะทะกันพร้อมกับหายออกไปไกลยังด้านนอก
มู่ชิงเกอยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งจะถูกเล่ออิ๋งล่อออกไปแล้ว
แสงสีเงินพลันปรากฏขึ้นเมื่อนางสะบัดข้อมือขวา ทวนหลิงหลงพลันปรากฏขึ้นในมือ ฝุ่นควันฟุ้งตลบขึ้น ชายเสื้อพลิกสะบัด
มือนางจับทวนหลิงหลงไว้ เดินเข้าไปในจวนตระกูลเล่อ ลึกขึ้นเรื่อยๆ
รอบจวนของตระกูลเล่อ เซิ่งอวี้หลีที่นำคนเฝ้าอยู่ ในใจทั้งตึงเครียดทั้งตื่นเต้น
ไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังออกมาจากที่นั่น
ชายตาขึ้นมอง ก็เห็นผู้อาวุโสของตระกูลตนกำลังประมืออยู่กับเล่ออิ๋งของตระกูลเล่อ เขากวักเรียกคนมาทันที พร้อมกระซิบบอกความสักสองสามประโยค
หกคนนั้นแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือตระกูลว่าน ตระกูลถาน และตระกูลเจี่ยง
ให้คอยดูการเคลื่อนไหวของสามตระกูลนี้หากถูกทำให้แตกตื่น อย่างน้อยพวกเขาก็จะรู้เป็นลำดับแรก และส่งข่าวคราวกลับมา
“นายน้อย พวกเรากำลังรออะไรอยู่งั้นรึ?” คนที่อยู่ข้างเซิ่งอวี้หลีถามขึ้น
เซิ่งอวี้หลีพยักหน้า “เฝ้าดูทางเข้าออกให้ดี ถ้ามีคนของตระกูลเล่อออกมา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ฆ่าให้หมด!”
ก่อนมา บิดาของเขาได้เตือนเขาไว้ว่า ต้องถอนรากถอนโคน หากถูกลมพัดก็จะฟื้นคืนใหม่ หากเขาใจอ่อนขึ้นมา ไม่กี่ปีให้หลังเหตุการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นซํ้าที่ตระกูลเซิ่งก็เป็นได้
ดังนั้น เขาจะต้องเด็ดขาด และต้องไร้ความปรานี!
ไม่ใช่เพื่อตนเอง แต่เพื่อตระกูลเซิ่ง!
เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงทั้งเมืองกำลังหลับใหล แต่ตระกูลเล่อกลับกำลังถูกสังหารอย่างน่าอนาถ
การสังหารครานี้มาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว คนในตระกูลเล่อ เองตอบโต้ไม่ทันโดยสิ้นเชิง พวกเขาหลับไปพร้อมกับการรอคอยการแข่งขันจัดอันดับ แต่กลับต้องมาสูญเสียชีวิตไปตอนรุ่งสาง
“เจ้าเป็นใคร! เหตุใดต้องมาทำลายตระกูลเล่อของข้า!” ประมุขของตระกูลเล่อ เบิกตาจ้องมองมู่ชิงเกอที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าอย่างเกรี้ยวกราด
บนปลายทวนหลินหลงยังคงมีเลือดสดใหม่ไหลหยดอยู่ เลือดนั้นเป็นของคนตระกูลเล่อ
ความรู้สึกของคนที่มีสายเลือดเดียวกัน ทำให้ประมุขของตระกูลเล่อได้แต่มองดูอย่างเจ็บปวดรวดร้าว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความชิงชัง ชิงชังจนอยากจะ ฉีกมู่ชิงเกอออกเป็นชิ้นๆ
แต่ว่าแววตาของมู่ชิงเกอนั้นกลับเต็มไปด้วยความเย็นชาที่สะท้อนออกมา นางมาเพื่อแก้แค้น เพื่อถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่รู้เลยสักนิดว่านางเป็นใคร!
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน ในตอนที่เจ้าเรียกประชุมนั้น ไม่ใช่ว่ายังหารือเรื่องจะหาตัวข้าได้อย่างไร ทำลายตระกูลข้าให้หมด และทำให้ข้าได้รับความเจ็บปวดทรมานหรอกรึ?” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างดูแคลน
ประมุขตระกูลเล่อตัวสั่นขึ้นมาทันที ตาดำหดเล็กลง พูดขึ้นอย่างตกตะลึงว่า “เป็นเจ้า! เจ้าเป็นคนที่มาจากหลินชวน”
เขาตกใจ! ตกตะลึงอย่างถึงที่สุด!
เขายังไม่ทันคิดเลยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าสามารถรู้สิ่งที่ผู้นำตระกูลได้พูดคุยกันไว้ได้อย่างไร แต่ตอนนี้ก็ถูกคำพูดของเขาทำให้สั่นสะท้าน เขาคือตัวต้นเหตุที่ทำร้ายคนของตระกูลเล่อจนถึงแก่ชีวิตในหลินชวน และขณะนี้ไม่นึกเลยว่าเขาจะออกมาจากหลินชวน มาที่โลกยุคกลาง และฆ่าคนของตระกูลเล่อได้!
เป็นไปได้อย่างไร!?
เป็นไปไม่ได้!
เป็นไปไม่ได้แน่ๆ!
เขายังอายุน้อยขนาดนี้! เหตุใดหลินชวนจึงมีคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งเช่นนี้ ระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี เขาทำได้อย่างไรกัน?
ขณะที่ประมุขของตระกูลเล่อยังอยู่ในอาการตกใจ ปลายทวนหลิงหลงก็ได้ปรากฏต่อสายตาเขาแล้ว
เขาตื่นจากภวังค์ทันทีรีบถอยกลับไปด้านหลัง หลบเลี่ยงคมแหลมของทวนหลิงหลง
“ระดับสีเทาขั้นห้า” แค่ประมือกัน มู่ชิงเกอก็บอกระดับพลังยุทธ์ของประมุขตระกูลเล่อออกมา
ประมุขตระกูลเล่อตะลึงอยู่ในใจ หน้าถอดสี มองไปยังมู่ชิงเกอ ออกปากพูดนํ้าเสียงขาดหายว่า “คาดไม่ถึงว่า เจ้าก็อยู่ระดับสีเทาขั้นห้า!”
เป็นไปได้อย่างไรกัน? เขาเป็นคนของหลินชวนไม่ใช่รึ!
ในสายตาของคนในโลกยุคกลาง คนของหลินชวนทุกคนนั้น ต่างก็เป็นแค่พวกไก่อ่อน
แต่ว่า มีใครสามารถบอกเขาได้บ้างว่า เกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่มันขัดกับกฎธรรมชาติอยู่ตอนนี้
คนที่มาจากหลินชวนแค่คนเดียว คาดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถตีเสมอประมุขอย่างเขาได้
มู่ชิงเกอยิ้มเย็นยะเยือก พูดขึ้นอย่างดุดันและรุนแรงว่า “จะฆ่าเจ้า ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
พูดจบ นางไม่ให้โอกาสประมุขตระกูลเล่อได้คิดใคร่ครวญ เพลงทวนพลิกสะบัดไปมาดุจเส้นแสง ทำการโอบล้อมตัวเขาไว้อย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ เร็วจนยากจะตามรอยได้
ประมุขของตระกูลเล่อประมือกับมู่ชิงเกอ ระดับพลังยุทธ์ของทั้งคู่พอๆ กัน ขณะที่ปะทะกัน พวกเขาก็กลายเป็นเส้นแสงและเงาสองสาย สู้รบอย่างดุเดือดรุนแรง
คนของตระกูลเล่อนั้น ร่างกายได้รับยานอนหลับ ทำให้มีการตอบสนองช้า
การสังหารอย่างฉับพลันนี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถรับมือได้ บ่อยครั้งที่ยังไม่ทันได้แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา ก็ถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรฆ่าซะก่อน
รอบจวนตระกูลเล่อเต็มไปด้วยแสงคมดาบ เปลวเพลิง โชติช่วงขึ้นสู่ชั้นฟ้า
ตระกูลอื่นๆ อีกสองสามตระกูล ยังคงสงบเงียบ กำลังจมดิ่งอยู่ในความฝัน
ตระกูลเซิ่ง ฉินอี้เหยาและเซิ่งซูซูต่างกำลังหมอบอยู่บนโต๊ะ หลับไปอย่างสงบ ขณะนอนหลับฝัน ฉินอี้เหยาเองก็ไม่รู้ว่าฝันเห็นอะไร คิ้วงามขมวดเล็กน้อย นํ้าตาหยดหนึ่งร่วงลงจากหางตา
ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ
แสงอาทิตย์ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จากแสงเรื่อก็ค่อยๆ กลายเป็นสว่าง
อ๊าก! เสียงประมุขของตระกูลเล่อที่เปล่งออกมาอย่างทรมาน ทำลายความสงบเงียบของอวี๋สุ่ยเฉิง
ทำให้อีกหลายๆ คนงัวเงียตื่นขึ้นมา บ่นพึมพำสักประโยค และหันหลังกลับไปนอนต่อ
บนกำแพงสภาพยับเยินแถบหนึ่ง หัวใจของประมุขตระกูลเล่อถูกทวนหลิงหลงแทงเข้าไป ตัวเขาถูกตรึงไว้กับกำแพง เลือดไหลออกจากปากแผล ไหลออกย้อมเสื้อผ้าของเขา
เขาเบิกกว้างดวงตาทั้งสองข้าง สิ้นชีพขณะจ้องหน้ามู่ชิงเกออยู่
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนพื้นดิน มือขวาจับด้ามทวนไว้ไพล่มือซ้ายไว้ด้านหลัง ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ต่อการตายตาไม่หลับของประมุขตระกูลเล่อ
เวลานี้ ความเสียหายที่เกิดจากการต่อสู้ด้านนอกประตูใหญ่ เริ่มถูกแสงแดดสาดส่อง แสงสีส้มสาดเข้ามาถูกตัวนาง อาบไล้ใปตามสีเลือดที่อยู่บนเนื้อผ้าจนคล้ายกับถูกชุบด้วยแสงสีทองอีกชั้น
ขณะที่อาบแสงแดดอยู่ มู่ชิงเกอก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘มันจบแล้ว!’
สุดท้ายนางก็สามารถยกก้อนหินที่กดทับอยู่ในใจออกไปได้
ทุกคนที่นางรักในหลินชวน ผองเพื่อนทั้งหลาย ต่อไปนี้ ไม่ต้องกลัวการรุกรานจากคนในโลกยุคกลางแล้ว กลัวการคุกคามจากคนของคนตระกูลเล่ออีกแล้ว
หินขวางทางอย่างตระกูลเล่อ ถูกนางกำจัดไปหมดแล้วในคืนนี้
ทันใดนั้น เงาดำของใครคนหนึ่งก็ปรากฏจากฟ้า ลอยลงมาที่หน้าประตู
เงาของเขาซวนเซ แต่ก็สามารถตั้งกายกลับมายืนได้อย่างมั่นคง
เขามองไปยังมู่ชิงเกอ พลางปล่อยศีรษะที่อยู่ในมือให้ตกกลิ้งไปอยู่ข้างเท้าของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมองตามไป ศีรษะนี้เป็นของใครกัน นางเองไม่รู้จัก แต่นางกลับรู้จักคนที่มาปรากฏกายต่อหน้านาง
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่ง งั้นก็หมายความว่า นี่คือหัวของเล่ออิ๋ง
“โชคดีที่ข้าทำสำเร็จ” ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งประกบมือคำนับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมองไปยังเขา เปิดปากว่า “ผู้อาวุโสลำบากแล้ว”
พูดจบ นางก็ดีดโอสถเม็ดหนึ่งไปยังผู้อาวุโสตระกูลเซิ่ง
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งยกมือขึ้นรับไว้ มองนางอย่างไม่เข้าใจ
“ต่อจากนี้ไปจะเป็นกิจธุระของตระกูลเซิ่ง การจะทำให้สถานการณ์มั่นคงนั้น คงยังต้องให้ผู้อาวุโสช่วยออกแรง โอสถเม็ดนี้สามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่ท่านเพิ่งต่อสู้มาเมื่อครู่ได้” มู่ชิงเกออธิบาย
ได้ฟังดังนี้แล้ว ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งรู้สึกยินดียิ่งนัก เขากลืนยาลงไปโดยไม่ลังเล รู้สึกว่าข้างในร่างกายผ่อนคลายขึ้นมากในฉับพลัน ความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อชนะศึกกับตระกูลเล่อเมื่อครู่กำลังได้รับการฟื้นฟู
เขาพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ขอบคุณคุณชายมู่เป็นอย่างยิ่ง!”
มู่ชิงเกอดึงทวนหลิงหลงออกมา ร่างไร้วิญญาณของประมุขตระกูลเล่อร่วงลงไปกองกับพื้น เพียงแค่นางสะบัดมือข้างขวา ทวนหลิงหลงก็กลับเป็นปลอกนิ้ว สวม อยู่บนนิ้วชี้ข้างขวาของนาง “ผู้อาวุโสไม่ต้องเกรงใจ”
การเปลี่ยนรูปแบบของทวนหลิงหลงก็ทำเอาผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งตกตะลึงขึ้นในใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรเกินไปนัก ในเมื่อที่โลกแห่งยุคกลาง อาวุธระดับเทวะถึงแม้จะลํ้าค่า แต่ก็ไม่ได้ขาดแคลนหายากแต่อย่างไร
มู่ชิงเกอสามารถเอายุทธภัณฑ์ระดับเทวะออกมาได้ ก็สามารถกล่าวได้อย่างแน่ชัดว่าเบื้องหลังของเขาจะต้องยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดา
อย่างน้อยก็ต้องเป็นขุมกำลังที่ตระกูลเซิ่งไม่สามารถไปล่วงเกินได้
“ที่ข้าต้องทำก็ได้จัดการเสร็จแล้ว เรื่องที่เหลือก็ขอให้ผู้อาวุโสแจ้งกลับไปยังประมูลเซิ่งให้รีบดำเนินการเสีย” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นแย้มยิ้ม
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งในใจรับทราบความนัย บอกลาก่อนจะหายไปจากตรงหน้าของมู่ชิงเกอในทันที
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งหลังจากจากไปแล้ว หยวนหยวนก็ปรากฏขึ้นที่ข้างกายของมู่ชิงเกอ
บนตัวของเด็กน้อยใส่ชุดลายดอกอยู่ด้านบน ท่าทางน่าตลกอยู่ไม่น้อย “ลูกพี่ท่านแม่ ท่านหาข้ารึ?”
“หยวนหยวนเผาที่นี่ซะ” มู่ชิงเกอทอดสายมองไปด้านหน้าก่อนจะเอ่ยสั่งการขึ้น
หยวนหยวนนัยน์ตากระจ่างวูบ ยินดีจนใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมา “รับทราบ!”
พอกล่าวจบ เขาก็กลายเป็นเปลวเพลิงสายหนึ่ง พุ่งไปยังด้านบนท้องฟ้าของตระกูลเล่อ ชั่วขณะนั้น พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ก็เริ่มที่จะกลืนกินทั่วทั้ง
ตระกูเล่อ
ของที่ต้องขนไปจากตระกูลก็ได้ขนออกไปหมดแล้ว ซากศพกระจัดกระจายที่เหลือ เผาทิ้งเสียจะเป็นการดีที่สุด ในตอนที่หยวนหยวนพ่นไฟออกมา องครักษ์เขี้ยวมังกร เสวี่ยหยา ไป๋สี่ หยินเฉินก็ล้วนแต่กลับมาถึงข้างกายของมู่ชิงเกอ มองไปยังตระกูลเล่อที่ถูกเปลวเพลิงสีขาวห่อคลุมเอาไว้ มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นกับกลุ่มคน “ไปกันเถอะ”
เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ไม่ได้มีความจำเป็นให้นางต้องอยู่ต่อแล้ว
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งยังไม่ทันกลับไปถึงตระกูลเซิ่ง ก็สัมผัสได้ถึงไอพลังของพญาเพลิงด้านบนท้องฟ้าตระกูเล่อ เขาหันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะเห็นเข้ากับฉากภาพโชติช่วงที่ตระกูลเล่อพังครืนลงไปในพญาเพลิงสีขาว
คืนเดียว เพียงแค่คืนเดียว!
ดึงเก็บความตกตะลึงในใจกลับ เขาเร่งรีบรุดกลับไปที่ตระกูลเซิ่ง
“กลับมาแล้ว?” เซี่งเซวี่ยนที่รอมาหนึ่งคืน พอเห็นผู้อาวุโสของตระกูลตนกลับมา ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ของผู้นำตระกูล
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งคำนับไปทางเขาพลางเอ่ยขึ้น “ท่านประมุข ภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว!”
เซิ่งเซวี่ยนแววตากระจ่างวูบ พยักหน้าขึ้นเบาๆ ทันใดนั้น พลันพลิกฝ่ามือ เงาร่างที่รอคอยมาอย่างยาวนานก็พลันปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว พุ่งออกไปจากตระกูลเซิ่ง พวกเขาก็อาศัยจังหวะที่ตระกูลอื่นๆ ยังไม่ทันตั้งตัว ทำการยึดครองกิจการของตระกูลเล่อ
“ท่านผู้อาวุโสลำบากแล้ว” เซิ่งเซวี่ยนเอ่ยขึ้นกับผู้อาวุโสตระกูลเซิ่ง
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ “ท่านประมุข! คุณชายมู่ท่านนี้ไม่ใช่คนธรรมดา พวกเราตระกูลเซิ่งห้ามเป็นศัตรูกับเขาเด็ดขาด”
“หืม? ผู้อาวุโสเหตุใดถึงได้กล่าวเช่นนี้?” เซิ่งเซวี่ยนแววตาไหววูบ เอ่ยถามขึ้นอย่างจริงจัง
เขาก็ยังเข้าใจเกี่ยวกับมู่ชิงเกอไม่มาก แต่ว่าหลังจากได้พบปะพูดคุยแล้ว ก็รู้ว่าเขาที่อายุยังน้อยก็มีความสามารถอยู่บ้าง ตอนนี้ ผู้อาวุโสของตระกูลตนกลับยังมาเอ่ยประเมินเช่นนี้ออกมา นี่ก็ทำให้เขารู้สึกสงสัยขึ้นหลายส่วนนัก
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้น “อย่างอื่นข้าไม่ รู้แต่ที่แน่ใจก็คือเขาน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสำนักบัญญัติโอสถที่เขตภาคตะวันออก”
“เขายังหลอมโอสถได้?” เซิ่งเซวี่ยนนัยน์ตาทั้งสองข้างหรี่เล็กลง เอ่ยขึ้นอย่างตกตะลึง
ผู้อาวุโสตระกูลเซิ่งพยักหน้าอย่างมั่นใจ
เขาเป็นคนที่ได้กินโอสถที่มู่ชิงเกอหลอมเองมากับปาก ตลอดทางที่กลับมานี้อาการบาดเจ็บที่ตกค้างจากการต่อสู้กับเล่ออิ๋งก็ถึงกับหายดีแล้ว สามารถเห็นได้ถึงความร้ายกาจของโอสถเม็ดนี้
“ไม่เพียงเท่านี้ ใต้อาณัติของเขายังมีกลุ่มคนที่ดูร้ายกาจอีกจำนวนหนึ่ง ฝีมือการสังหารคนก็ไม่ธรรมดา โหดเหี้ยมและเด็ดขาด ลึกลับยากจะทำการคาดเดา” ผู้ อาวุโสตระกูลเซิ่งคิดถึงการลงมือเข่นฆ่าขององครักษ์เขี้ยวมังกรก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
เซิ่งเซวี่ยนสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไป เอ่ยขึ้น “ยังดีที่พวกเราตระกูลเซิ่งในตอนนี้ปฏิบัติกับเขาด้วยดีมาโดยตลอด”
ไม่ต้องพูดถึงข้ออื่น แค่สถานะของนักปรุงยา นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ตระกูลเซิ่งไม่กล้าไปล่วงเกิน ไม่เช่นนั้น มู่ชิงเกอขอแค่โบกมือขึ้นสักรอบ มอบโอสถลํ้า ค่าออกไป ก็คงจะมียอดยุทธ์จำนวนไม่น้อยที่จะขายชีวิตให้แก่เขา!
“คนผู้นี้มีฐานะไม่ธรรมดา ไม่ใช่บุคคลที่ตระกูลเซิ่งจะไปล่วงเกินได้” ผู้อาวุโสเซิ่งพอกล่าวจบประโยค ก็ก้าวถอยออกไป
เซิ่งเซวี่ยนรั้งอยู่ในห้องเพียงลำพังครู่หนึ่ง ในตอนที่เซิ่งอวี้หลีนำคนกลับมา เขาถึงค่อยดึงเก็บความรู้สึกนึกคิดกลับ เริ่มต้นแผนการที่เป็นของตระกูลเซิ่งอย่างแท้จริง!
เมืองอวี๋สุ่ยเฉิงในตอนที่พื้นตื่นจากความมืด ในตอนที่ดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นมา เหล่าผู้คนที่ตื่นขึ้นมาก็พลันค้นพบว่าตระกูลเล่อที่ตั้งอยู่ในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็ได้หายไปแล้ว!
ทั่วทั้งตระกูลเล่อก็เหลือเพียงเศษซากปรักหักพัง รอยเลือด และก็ยังมีร่องรอยแปลกประหลาดที่เหมือนกับถูกเปลวเพลิงเผาไหม้
ข่าวสารก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ถูกส่งต่อกันไปในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง
ข่าวสารก็ถูกส่งเข้าไปยังตระกูลเจี่ยง ตระกูลวน ตระกูลถาน
ในตอนที่พวกเขาเร่งร้อนพาคนมาถึงตระกูลเล่อ และได้เห็นเข้ากับเศษซากเละเทะ ก็ล้วนแต่พากันตกตะลึง
“เป็นพญาเพลิง เป็นพญาเพลิงที่เผาทำลายทั้งหมด” หลังจากที่มีคนตรวจสอบรอยไหม้ก็ได้ผลสรุปนี้ออกมา
“เป็นพญาเพลิงชนิดใด?” แล้วก็มีคนถามต่ออย่างสงสัย ขึ้นในทันที คิดอยากจะใช้ข้อมูลของพญาเพลิงหาเบาะแสต่อไป
แต่ว่ากลับไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้
พญาเพลิงแต่เดิมนั้นก็ลึกลับอยู่แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางแยกแยะได้ว่าเป็นพญาเพลิงชนิดไหนที่ทำการแผดเผาที่แห่งนี้
“ไม่ถูกต้อง ก่อนที่จะวางเพลิง คนของตระกูลเล่อก็ได้ตกตายไปหมดแล้ว!” ก็มีคนกล่าวขึ้นอีก
การค้นพบนี้ก็ทำให้คนที่มาที่นี่ของทั้งสามตระกูลอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไป ในใจตื่นตระหนก ‘ใครกันที่มีความสามารถถึงขนาดนี้ภายในคืน คืนเดียวถึงกับกวาดล้างตระกูลเล่อไปได้อย่างไร้สุ่มเสียงเช่นนี้ได้’
“พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเมือคืนนอนหลับสนิทเป็นพิเศษ?”
“เจ้าก็เป็นเช่นนั้นรึ? ข้าก็เป็นเหมือนกัน”
“ข้าก็ด้วย!”
“พวกเราก็เช่นกัน”
“เดี๋ยวนะ…” มีคนส่งเสียงขึ้นขัดการพูดคุย รอจนทุกคนมองไปที่เขา เขาก็ส่งสายตามองไปรอบๆ เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “ทำไมถึงไม่พบคนของตระกูลเซิ่ง?”
ใช่แล้ว!
คนของตระกูลเซิ่งเล่า?
เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ตระกูลสามตระกูลอื่นๆ ล้วนแต่มาถึงแล้ว แต่ทำไมมีเพียงคนของตระกูลเซิ่งที่ยังไม่มา?
เจี่ยงเทียนเฮ่าที่ยืนอยู่ในกลุ่มคนทันใดนั้นก็หมุนกายจากไป
ความเคลื่อนไหวของเขาก็ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ
“นายน้อยเจี่ยง ท่านจะไปที่ใด?” มีคนเอ่ยถามขึ้น
“แย่งสมบัติ!” เจี่ยงเทียนเฮ่าเอ่ยเสียงกระด้างออกมาประโยคหนึ่ง
พอกล่าวจบ เขาก็ออกไปจากตระกูลเล่ออย่างรวดเร็ว
เขาหลังจากจากไป ฝูงชนก็พลันกลายเป็นเข้าใจอะไรขึ้นมา
ใช่แล้ว! ตระกูลเล่อล่มสลาย แต่ว่าทรัพย์สินของตระกูลเล่อพวกนั้นก็ยังอยู่! ของที่ตอนนี้ไม่มีเจ้าของ ไม่ว่าใครจะได้มันไปมันก็จะกลายเป็นของคนคนนั้น
ทันใดนั้น พวกเขาก็เหมือนกับจะเข้าใจขึ้นมาว่าทำไมถึงไม่เห็นคนของตระกูลเซิ่งที่นี่
หลังจากนึกถึงข้อนี้แล้ว ในแววตาของคนตระกูลวนกับตระกูลถานก็พลันปรากฏเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา ออกไปจากตระกูลเล่ออย่างรวดเร็ว
วันนี้ แต่เดิมก็เป็นวันสำคัญที่ใช้แข่งขันจัดอันดับของแต่ละตระกูล
แต่ว่าเพราะเหตุพลิกผันของคืนคืนเดียว กลับทำให้ทุกผู้ทุกคนลืมวันวันนี้ไป แต่เป็นเปิดฉากแก่งแย่งอีกฉากหนึ่งในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้น ก้าวช้าไปก็คือก้าวช้าไป
การตอบสนองที่ฉุกละหุกของตระกูลอื่นๆ จะไปเปรียบกับตระกูลเซิ่งที่ก้าวนำไปก่อนและมีการเตรียมการไว้ได้อย่างไร?
ขุมกำลังของอีกสามตระกูลในตอนที่รุดไปถึงกิจการของตระกูลเล่อ ด้านบนก็ได้แขวนอยู่ด้วยธงของตระกูลเซิ่งแล้ว กลายเป็นถิ่นฐานของตระกูลเซิ่ง…
มู่ชิงเกอในตอนนี้ก็ได้มาเยือนตระกูลเซิ่งอีกครั้ง มาเพื่อรับตัวฉินอี้เหยา
เรื่องวุ่นๆ ที่กำลังเกิดในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงก็เหมือนกับว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนาง ความวุ่นวายหรือการแย่งชิง ก็ล้วนแต่ไม่สามารถทำให้นางหวั่นไหวหรือสนใจได้แม้แต่น้อย
ในตอนที่มาถึง มู่ชิงเกอก็พูดออกไปตรงๆ ว่าต้องการพบเซิ่งซูซู
แต่ว่าในท้ายที่สุดคนที่มารับนางเข้าไปในจวนกลับเป็นเซิ่งอวี้หลี
“คนด้านนอกต่างวุ่นวายกันอึกกระทึกครึกโครม นายน้อยเซิ่งกลับมานั่งว่างอยู่ในจวน นี่ก็ช่างทำให้คนแปลกใจนัก” พอได้พบหน้า มู่ชิงเกอก็เอ่ยหยอกเย้าออกไป
เซิ่งอวี้หลีคิ้วเรียวยกสูงขึ้น เอ่ยขึ้นแย้มยิ้ม “ตระกูลเซิ่งก็ได้ส่วนมากไปแล้ว ผลประโยชน์เล็กยิบย่อยพวกนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ”
“ดูท่าตระกูลเซิ่งก็เริ่มที่จะจัดการได้เรียบร้อยแล้ว” มู่ชิงเกอพยักหน้าขึ้นเบาๆ
ชิงโอกาสได้ก่อนคนอื่น แทรกมือได้ทันเวลา จัดการตนให้มั่นคง เสริมความแข็งแกร่งของตระกูล นี่ก็ถือเป็นเส้นทางที่ชาญฉลาดที่สุด
ดูแล้วพวกผู้อาวุโสและพวกรุ่นเยาว์ของตระกูลเซิ่งก็ไม่นับว่าเลอะเลือน
“คุณชายมู่วันนี้ที่มาก็เพราะมาพบซูชู?” เซิ่งอวี้หลีอยู่ๆ ก็เอ่ยถามลองเชิงขึ้นมา
มู่ชิงเกอจ้องมองไปทางเขาสายตาหนึ่ง “ตามจริงแล้ว ข้ามารับคน”
รับคน!
สองคำนี้พอหลุดออกมา ก็ทำเอาเซิ่งอวี้หลีทันใดนั้นหยุดเท้าลง ยืนนิ่งอยู่กับที่
มู่ชิงเกอก็มองไปทางเซิ่งอวี้หลีอย่างครุ่นคิด ปิดริมฝีปากสนิท ไม่กล่าววาจา
“คุณชายมู่จะไปจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงแล้วรึ?” ผ่านไปอึดใจหนึ่งเซิ่งอวี้หลีถึงค่อยกล่าวขึ้น
มู่ชิงเกอพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ก่อนหน้าข้าก็พูดเอาไว้แล้วว่าหากกวาดล้างตระกูลเล่อเสร็จก็จะจากไป ตอนนี้เรื่องสำคัญก็ได้สำเร็จแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องจากไป”
เซิ่งอวี้หลีเผยรอยยิ้มฝืนๆ ออกมา เอ่ยขึ้นแววตาหลุกหลิก “ซูซูกับแม่นางฉินถูกชะตากันมาก คุณชายมู่น่าจะพำนักอยู่ที่ตระกูลเซิ่งสักหลายวัน รอให้พวกนางทั้งสองพูดคุยเที่ยวเล่นกันสักหน่อยหนึ่ง พักผ่อนจนพอแล้วก็ค่อยจากไป”
มู่ชิงเกอมองไปทางเซิ่งอวี้หลีอย่างนึกแปลกใจ
นางไม่มีทางเชื่อว่าเซิ่งอวี้เป็นเพราะกลัวว่าเซิ่งซูซูจะเสียใจหากฉินอี้เหยาจากไป ถึงได้กล่าวคำพูดประโยคนี้
“ถ้าหากนางต้องการรั้งอยู่ ข้าก็จะไม่ฝืนใจ” มู่ชิงเกอตอบกลับไป
ในความเป็นจริง แน่นอนว่านางไม่มีอำนาจอะไรจะไปกะเกณฑ์การตัดสินใจของฉินอี้เหยา
“จริงงั้นรึ?” แต่ว่าคำพูดของนางกลับทำให้เซิ่งอวี้หลีเผยสีหน้ายินดีขึ้นมา
การตอบสนองของเขาก็ทำให้นัยน์ตาทั้งสองของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลง เอ่ยขึ้นอย่างหยอกเย้า “นายน้อยเซิ่งทำไมถึงได้ดีใจเช่นนี้กัน?”
“ไม่! ไม่มีอะไร” เซิ่งอวี้หลีหลบสายตาของมู่ชิงเกอ ต่อจากนั้น หลังจากที่เขาพามู่ชิงเกอไปถึงห้องโถงแล้ว ก็เดินออกไปตามเซิ่งซูซูด้วยตัวเอง
แต่ว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาจะเป็นอะไรนั้น ก็มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้
ในตอนที่เซิ่งอวี้หลีหาตัวเซิ่งซูซูพบ เซิ่งซูซูกับฉินอี้เหยาก็กำลังรับสำรับเช้าอยู่ด้วยกัน เซิ่งอวี้หลีเรียกเซิ่งซูซูออกไปนอกห้อง พาไปยังที่ไร้ผู้คน ก่อนจะเอ่ยถามนาง “ซูซูเจ้าชอบแม่นางฉินหรือไม่?”
เซิ่งซูซูถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าพี่ชายถามนางเรื่องนี้ทำไม แต่ก็ยังพยักหน้าตอบไปตามความจริง
เซิ่งอวี้หลีเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยขึ้นกับนาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเจ้าอยากให้นางรั้งอยู่ที่เมืองอวี๋สุยเชิงเป็นเพื่อนเจ้าหรือไม่? นางยังเคยช่วยเหลือเจ้าเอาไว้พวกเราตระกูลเซิ่งก็ยังไม่ได้ตอบแทนนางอันใด ไม่สู้เจ้าเอ่ยปากเชิญ ให้นางพักอยู่ที่นี่ช่วงเวลาหนึ่ง?”
“จริงงั้นรึ! ช่างดียิ่งนัก” เซิ่งซูซูร้องเรียกขึ้นอย่างดีใจ แต่ต่อจากนั้นก็กลายเป็นปากห้อยท่าทางห่อเหี่ยวขึ้นมา ส่ายหน้าเอ่ยขึ้น “พี่สาวเหยาคงจะไม่รั้งอยู่ ไม่ง่ายที่นางจะได้พบกับคุณชายมู่อีกครั้ง แล้วจะยอมแยกจากกันอีกได้อย่างไร นอกเสียจากว่าคุณชายมู่จะรั้งอยู่ด้วย”
คำพูดของน้องสาวก็ทำให้สีหน้าของเซิ่งอวี้หลีนิ่งชะงักไป
เขายกรอยยิ้มห่อเหี่ยวขึ้นมา ถามขึ้นอ้ำๆ อึ้งๆ “แม่นางฉินเคยบอกเจ้าหรือว่านางกับคุณชายมู่มีความสัมพันธ์เช่นไรต่อกัน?”
เซิ่งซูซูพยักหน้า แต่กลับเอ่ยขึ้นภายใต้ใบหน้ารอคอย ของพี่ชายอย่างตั้งใจว่า “แต่ข้าก็ตอบตกลงนางไปแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครคนอื่นอีกฟัง แม้แต่พี่ชายก็บอกไม่ได้!”
“เจ้าช่างใจร้ายนัก! เสียแรงที่พี่เอ็นดูเจ้า” เซี่งอวี้หลีกลายเป็นร้อนใจ
เซิ่งซูซูหันไปแลบลิ้นให้เซิ่งอวี้หลี เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “ท่านพี่ ข้าทำไมรู้สึกว่าท่านสนใจพี่สาวเหยายิ่งนัก?”
ทันใดนั้นเอง นางก็ร้องเรียกเสียงดังขึ้นมาเหมือนกับเข้าใจสิ่งใด “อา! ท่านไม่ใช่อยากให้นางมาเป็นพี่สะใภ้ของข้านะ?”
“เจ้า! เจ้าอย่าได้พูดไร้สาระ เบาเสียงหน่อย” พอความในใจของเซิ่งอวี้หลีถูกเปิดโปง ใบหน้าก็กลายเป็นแดงก่ำ ราวกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะมีความรักเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น มีท่าทีหลุกหลิกกระวนกระวายใจ
เซิ่งซูซูก็ไม่เคยเห็นพี่ชายของตนแบบนี้มาก่อน อดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มขำขึ้น
หลังจากแอบขำเสร็จแล้ว นางก็เอ่ยขึ้นมาอย่างลำบากใจ “แต่ว่าคนที่พี่สาวเหยาชอบเป็นคุณชายมูนะ!”
พอกล่าวจบ ก็ทำหน้าเห็นใจมองไปยังพี่ชายของตน
เซิ่งอวี้หลีเก็บความรู้สึกในใจกลับ ใบหน้าเผยรอยยิ้มขืนๆ
เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่าในใจของฉินอี้เหยามีเพียงมู่ชิงเกอ? เพียงแต่ความรักสิ่งๆ นี้ ถ้าหากสามารถควบคุมได้ไหนเลยจะยังเรียกว่าความรักอีกเล่า
เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองมีความรู้สึกใดกับฉินอี้เหยา เพียงแต่ตอนแรกที่ได้พบ นางก็ได้ประทับเงาลงบนหัวใจของตนแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ขจัดไม่ออก
พอได้พบ พอได้เห็น เงาร่างนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ถ้าหากมีวันหนึ่งจะไม่ได้พบเจอกับนางอีก เซิ่งอวี้หลีก็รู้ว่าตัวเองจะต้องสูญเสียดวงใจดวงหนึ่งไป
ดังนั้น ถึงจะรู้ว่ามันไร้ยางอายไปบ้าง แต่เขาก็ยังหวังว่าน้องสาวของตนจะสามารถรั้งฉินอี้เหยาเอาไว้ได้
ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน อย่างน้อยก็ต้องมีโอกาสให้เขาได้บ่งบอกความในใจกับนาง
“ซูซู ช่วยพี่หน่อยนะ” เซิ่งอวี้หลีก็เป็นครั้งแรกที่เอ่ยขอร้องกับน้องสาว
เซิ่งซูซูทอดถอนใจออกมา เอ่ยถามขึ้น “เป็นคุณชายมู่ ต้องการมารับคนใช่หรือไม่?”
เซิ่งอวี้หลีพยักหน้าท่าทางเจ็บปวดใจ
เซิ่งซูซูก็มองไปทางเซิ่งอวี้หลีอย่างเห็นใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างอับจนหนทาง “ท่านพี่ ข้าไม่สามารถหลอกลวงพี่เหยาได้ เพราะข้ารู้ว่านางที่รอคอยคุณชายมู่มานั้นก็ผ่านความลำบากมามากมายเพียงใด แต่ว่า ข้าก็จะเอ่ยเชิญนางให้รั้งอยู่ นี่ก็ต้องดูการตัดสินใจของพี่สาวเหยาแล้ว”
“ขอบใจมากซูซู” เซิ่งอวี้หลียิ้มขื่นขึ้น
การตัดสินใจของฉินอี้เหยายังมีความหวังอยู่รึ?
เซิ่งอวี้หลีจากเซิ่งซูซูไปอย่างเศร้าสร้อย ส่วนเซิ่งซูซูก็ทำได้เพียงมองส่งแผ่นหลังของพี่ชายตนจากไป หลังจากนั้นก็ค่อยวกกลับไปหาฉินอี้เหยา บอกเรื่องที่มู่ชิงเกอมารับนาง
เคร้ง—–!
ในตอนที่เซิ่งซูซูยืนอยู่ตรงหน้าฉินอี้เหยา บอกนางว่ามู่ชิงเกอมารับนางแล้ว ช้อนตักนํ้าแกงในมือของนางก็พลันร่วงตกลงไปในถ้วย เกิดเป็นเสียงก้องกังวานขึ้น
นางยังนึกว่า…นึกว่ามู่ชิงเกอหลังจากพานางมาไว้ที่นี่แล้ว ก็จะหันหลังจากไป ลืมเลือนเรื่องเกี่ยวกับนาง
“พี่เหยา ท่านไม่เป็นไรนะ?” เซิ่งซูซูเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง
ฉินอี้เหยาพลันได้สติ มองไปทางเซิ่งซูซู นางนั้นยิ้มไม่ค่อยเป็น ทำได้เพียงใช้ความรู้สึกในแววตาบอกออกไปว่าตนเองกำลังตกใจ
“ซูซู ช้าคงต้องไปแล้ว”
เซิ่งซูซูเอ่ยขึ้นอย่างทอดถอนใจ “ข้าก็รู้ว่าท่านจะต้องจากไปกับเขาอย่างไม่ลังเล ไม่คิดจะรั้งอยู่สักหน่อยเลยรึ? อย่างน้อยก็ให้ท่านชัดเจนถึงความรู้สึกที่มีกับเขา” เฮ้อ…
ท่านพี่ช่างน่าสงสารนัก
ฉินอี้เหยาชันกายขึ้น ส่ายหน้าเบาๆ “เขาไม่ชอบรอนาน”
พอกล่าวจบ นางก็เตรียมจะเดินจากไป
เซิ่งซูซูเรียกนางเอาไว้ “พี่เหยา ท่านที่หลับหูหลับตาทุ่มเทเพียงนี้จะสามารถได้ในสิ่งที่ท่านต้องการจริงๆ หรือ? ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่บุรุษ แต่ก็ยังรู้ว่าถ้าหากข้าเป็น บุรุษ แล้วในใจมีหญิงสาวนางหนึ่งอยู่ละก็ ไม่ว่าอย่างไร ก็จะต้องพานางไปไว้ที่ข้างกาย ไม่มีทางยอมปล่อยให้จากไปไหน ท่านแน่ใจนะว่าในใจเขามีท่าน? ถ้าหากในใจเขาไม่มีท่าน ท่านจากไปกับเขาก็จะถูกนับว่าเป็นอะไร? กลับกลายเป็นพลาดในสิ่งที่เป็นของของท่าน…”
“ซูซู!” ฉินอี้เหยาเปิดปากขัดคำพูดของเซิ่งซูซู นางก้มหน้าลง เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา “ข้าที่อยู่ต่อหน้าเขาแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ได้มีเกียรติอะไรมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ว่าข้าที่อยู่ในใจเขาจะเป็นอย่างไรในตอนนี้ข้าก็เพียงแค่อยากจะอยู่ข้างกายเขา ถึงแม้จะแค่วันเดียวก็ไม่เป็นไร”
“พี่เหยา…” เซิ่งซูซูมองไปทางฉินอี้เหหยาอย่างตะลึงงัน
ฉินอี้เหยายกมุมปากโค้งขึ้นให้นาง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างไม่ลังเล…