ตอนที่ 244
ถึงกับโดนบุรุษเกี้ยวพา!
ตอนที่มู่ชิงเกอออกมาจากช่องว่าง จวนหลังเล็กที่อาศัยชั่วคราวก็คึกคักขึ้นมาแล้ว
โย่วเหอกับฮวาเยวี่ยกลับมาแล้ว เสวี่ยหยาเองก็กลับมาแล้วเช่นกัน มู่ชิงเกอกวาดตามองอยู่รอบหนึ่ง สิ่งเดียวที่ไม่พบคือเงาของหยวนหยวนและจิงไห่ ยังมีหยินเฉินที่ตามพวกเขาไป
“คุณชาย ท่านฝึกยุทธ์เสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” เมื่อเห็นมู่ชิงเกอ ใบหน้าของฮวาเยวี่ยก็เผยรอยยิ้มสดใส
มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยถามขึ้นว่า “จิงไห่ยังไม่กลับมาหรือ?”
ฮวาเยวี่ยพยักหน้าก่อนเอ่ยตอบว่า “ไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหน นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ยังไม่รู้จักกลับมาอีก”
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย “ข้าให้เขาออกไปทำธุระน่ะ”
ฮวาเยวี่ยแสดงสีหน้าเข้าใจ
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยกับนางว่า “จริงสิ ให้โย่วเหอเตรียมอาหารเพิ่มหนึ่งชุด”
พูดจบ นางก็เดินออกไป
ฮวาเยวี่ยกลอกตา เอ่ยพึมพำว่า “เตรียมอาหารเพิ่มหนึ่งชุด? จะมีแขกมาหรือ?”
มู่ชิงเกอเดินมาถึงกลางโถง มองดูพระอาทิตย์ทอแสงผ่านหมู่เมฆลับขอบฟ้า ลอบคำนวนเวลาที่หยวนหยวนและจิงไห่ออกไปเงียบๆ ในใจ ‘หยวนหยวนอุปนิสัยซุกซน แต่ก็ไม่ใช่คนที่หาเรื่องผู้อื่นก่อน ส่วนจิงไห่เคร่งขรึม แต่กลับคุมหยวนหยวนไม่ได้ แต่ว่ามีหยินเฉินแอบตามไป น่าจะไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น’
ครุ่นคิดอยู่ในใจรอบหนึ่ง มู่ชิงเกอถึงค่อยวางใจ
“นายน้อย” เสวี่ยหยาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอสงบสติอารมณ์หมุนตัวกลับมามองดรุณีใบหน้างดงามที่สวมอาภรณ์สีเรียบๆ หญิงงามรูปลักษณ์ผอมบางที่ตอนนี้มายืนอยู่ด้านหลัง ไม่เจอกันไม่กี่วัน นางกลับแลดูสง่างามขึ้นหลายส่วน พอสายตาสุกสกาวทอดมองมายังตนเอง เสวี่ยหยาก็พลันหลุบตาลงอย่างประหม่า “นายน้อย ไม่กี่วันมานี้ข้าไปสืบข่าวสามตระกูลของเมืองหลานอูเฉิงมาได้ชัดเจนแล้ว”
นางกลัวที่จะสบตากับมู่ชิงเกอ และยิ่งไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้ว่าช่วงเวลาที่มู่ชิงเกอไม่อยู่นั้น มันกลับกลายเป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกคิดถึงใครสักคนขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
การเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกครั้งนี้ทั้งแปลกหน้าทั้งทำให้นางหวาดกลัว ไม่รู้จะเผชิญหน้าเช่นไรดี
นางไม่มีปัญญาแม้แต่จะไปกะเกณฑ์ว่าความรู้สึกเช่นนี้เป็นสุขหรือทุกข์…แต่ถึงกระนั้น มู่ชิงเกอก็เคยกล่าวไว้อย่างเป็นจริงเป็นจังว่าไม่มีวันพรากพรหมจรรย์ไปจากนาง คำพูดประโยคนี้เคยฟังแล้วทำให้นางซาบซึ้ง แต่มาวันนี้กลับทำให้นางรู้สึกหมดหวัง
“ตรวจสอบได้ความว่าอย่างไร? พูดออกมาเถอะ” มู่ชิงเกอไม่ได้สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเสวี่ยหยา นางพุ่งความสนใจไปที่ตระกูลมู่
“ลูกพี่!”
“ครูฝึก!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงสดใสที่เปี่ยมด้วยพลังของสองเด็กหนุ่มแว่วมาแต่ไกลๆ ขัดจังหวะคำพูดของเสวี่ยหยา
นางปิดปากที่กำลังจะเอ่ย มองไปยังต้นเสียงพร้อมกับมู่ชิงเกอ
เมื่อนางมองเห็นหยวนหยวนที่เติบโตเป็นเด็กหนุ่ม ในแววตาก็เป็นประกายความสงสัยและยังตะลึงในความงาม ในใจคาดเดาฐานะของหยวนหยวน
“ลูกพี่ พวกเรากลับมาแล้ว” เพียงไม่กี่ก้าว หยวนหยวนก็กระโดดมาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ดวงหน้าจิ้มลิ้มรูปไข่ ประดับรอยยิ้มสดใสและแฝงความเอาใจ จุดสีแดงดุจทับทิมเพลิงตรงหว่างคิ้วของเขาโดดเด่นดึงดูดสายตา ราวกับมีเปลวเพลิงเคลื่อนไหวอย่างไรอย่างนั้น
“ครูฝึก พวกเรากลับมาแล้ว” จิงไห่เดินไปอยู่ข้างกายมู่ชิงเกออย่างซื่อๆ เอ่ยรายงานด้วยความเคารพ
แต่ว่า เมื่อเขามองดูท่าทางออดอ้อนของหยวนหยวนแล้ว ในแววตาก็เป็นประกายเลื่อมใสขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง
เขาเองก็อยากเป็นเหมือนอาจารย์อาเล็ก คลอเคลียอยู่ข้างอาจารย์แต่ว่าในใจกลับหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะบังอาจเช่นนี้
มู่ชิงเกอตีบนศีรษะของหยวนหยวนทีหนึ่ง หัวเราะให้ทั้งสอง “ไม่ได้ก่อเรื่องใช่หรือไม่?”
หยวนหยวนส่ายหน้าทันทีคล้ายกับสั่นกระดิ่งรัวๆ “ย่อมไม่มีอยู่แล้ว!”
จากนั้นก็หันไปทางจิงไห่ แยกเขี้ยวยิงฟันใส่จิงไห่ลับหลังมู่ชิงเกอ จิงไห่เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อรีบส่ายหน้าทันที เอ่ยตอบตัวสั่นไม่เป็นธรรมชาติ “ไม่มีขอรับ”
แก้มขี้นสีแดงระเรื่อของจิงไห่ รวมถึงท่าทีตัวแข็งทื่อขา ความมั่นใจ ทำให้มู่ชิงเกอหันเหสายตารู้ทันมองไปทางหยวนหยวน
หยวนหยวนรู้สึกสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ ละสายตามองไปยังเสวี่ยหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ เผยรอยยิ้มสดใสโบกมือก่อนเอ่ยทักทาย “เสวี่ยหยา ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
เสวี่ยหยานิ่งชะงักไป เอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจแกมสงสัย “เจ้ารู้จักข้า?”
ใบหน้าเกลี้ยงเหลาหมดจดของหยวนหยวนมู่ทู่ลงทันที เอ่ยอย่างผู้ที่โดนทำร้ายจิตใจ “เสวี่ยหยาลืมข้าแล้วหรือ?”
เวลานี้เอง หยวนหยวนก็เหลือบไปเห็นโย่วเหอและฮวาเยวี่ยที่เดินตามเสียงออกมา สีหน้าก็เปลี่ยนไป ยิ้มยิงฟันเอ่ยขึ้นว่า “ฮวาเยวี่ย โย่วเหอ!”
จู่ๆ เด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มก็ตะโกนเรียกชื่อของตนเองออกมา สตรีสองนางก็พากันชะงัก มีอาการเดียวกันกับเสวี่ยหยา
เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนจำตนเองไม่ได้หยวนหยวนก็เบะปากหันหน้าไปมองมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอรู้สึกขบขัน ด้วยรู้ว่าเจ้าตัวน้อยกำลังเบี่ยงเบนประเด็น แต่ก็ยังคงคล้อยตามเขาเอ่ยอธิบายกับพวกนางทั้งสามคนว่า “เขาก็คือหยวนหยวน ช่วงนี้…อืม โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“เขาคือหยวนหยวน!” ฮวาเยวี่ยอุทานด้วยความตกใจรีบเอามืออุดปากตนเอง โย่วเหอเองก็มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อมองดูหยวนหยวนหลังการเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าต้องการจะหาเงาของเจ้าเด็กน้อยที่งดงามราวหยกสลักผู้นั้นจากบนตัวของเขา
เสวี่ยหยาเองก็มองพิจารณาด้วยความตกตะลึง ในใจก็ยอมรับเรื่องจริงนี้
“พวกเจ้าแสดงท่าทีใดกัน? คุณชายน้อยโตมาแล้วไม่รูปงามหรืออย่างไร?” หยวนหยวนเชิดหน้า สองมือยกขึ้นมาท้าวเอวอย่างภาคภูมิใจ
ท่าทางนั้น ช่างเหมือนกับ ‘หยวนหยวนน้อย’ ราวกับแกะ ทำให้สตรีทั้งสามนางนำเขาในตอนนี้ไปทับซ้อนกับรูปร่างท่าทางในตอนเด็ก
“พรืด!” ฮวาเยวี่ยฉีกยิ้ม “หล่อเหลา หล่อเหลายิ่งนัก!”
เมื่อได้ยินฮวาเยวี่ย เอ่ยเช่นนี้ หยวนหยวนก็พึงพอใจ
มู่ชิงเกอมองเขาทั้งขันทั้งฉุน ก่อนจะปรายตามองจิงไห่ “พวกเจ้าตามข้ามา”
พูดจบนางก็เอามือไพล่หลังหมุนตัวเดินนำเข้าไปด้านใน โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเดินตามไปอย่างไม่ลังเล เสวี่ยหยาก็เดินตามไป ทิ้งจิงไห่กับหยวนหยวนให้เดินรั้งท้าย
เด็กหนุ่มทั้งสองที่เพิ่งจะเป็นสหายต่อกัน ลอบส่งสายตาให้กัน
ความหมายของจิงไห่คือสารภาพผิด ส่วนความหมายของหยวนหยวนคือไม่ต้องหาเรื่องใส่ตน
สุดท้ายแล้วในขณะที่ก้าวผ่านธรณีประตู หยวนหยวนก็ส่งสายตาข่มขู่ยับยั้งการสารภาพผิดของจิงไห่ หลังจากเข้ามาในห้อง มู่ชิงเกอก็นั่งไขว่ห้างบนที่นั่ง ตำแหน่งประธาน พิงพนักเก้าอี้ข้อศอกเท้าลงบนขอบเก้าอี้ ปลายนิ้วคลึงบนปลอกนิ้วหลิงหลงบนนิ้วชี้ข้างขวา
“พูดมาสิ สิ่งที่พวกเจ้าเก็บเกี่ยวได้ในหลายวันที่ข้าไม่อยู่นี้ ไป๋สี่ได้กลับมาหรือไม่” มู่ชิงเกอเอ่ยปากถามอย่างราบเรียบ
จิงไห่และหยวนหยวนถูกนางพักไว้ชั่วคราว
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยส่งสายตาหากัน โดยโย่วเหอเป็นผู้เอ่ยตอบออกมาว่า “ไป๋สี่กลับมารอบหนึ่ง แต่ในตอนนั้นยังไม่มีข่าวคราว นางบอกว่าคืนนี้จะมาใหม่ ไม่กี่วันมานี้ พวกเราไปค้างแรมตามสถานที่พบปะของกลุ่มคนในเมือง เสาะหาข่าวคราวของตระกูลมู่และมู่ยี่ แต่ว่าหัวข้อนี้ราวกับเป็นสิ่งต้องห้ามของเมืองหลานอูเฉิง ทุกครั้งที่พวกเราพาดพิงถึงเรื่องของตระกูลมู่ในปีนั้น พวกเขาเหล่านั้นก็จะมีท่าทีเปลี่ยนไป ถ้าไม่เปลี่ยนหัวข้อก็จะเลี่ยงไม่เอ่ยถึง นี่เห็นได้ว่าอำนาจของตระกูลมู่ในเมืองหลานอูเฉิงในปัจจุบันนั้นมีมากมายเพียงใด”
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ จากนั้นนางก็เงยหน้ามองเสวี่ยหยา
เสวี่ยหยาเรียงลำดับ ความคิดก่อนเอ่ยตอบว่า “ความวุ่นวายภายในของตระกูลมู่ปีนั้น สายรองฆ่าล้างสายหลักจนเกลี้ยง เลือดนองเป็นสาย ภาพเหตุการณ์น่าสลดหดหู่ ทั้งยังสร้างภาพลักษณ์วางอำนาจ โหดเหี้ยม อำมหิตและเลือดเย็น ใจกลางเมืองหลานอูเฉิง ดังนั้นยี่สิบกว่าปีมานี้ในใจของชาวบ้านเมืองหลานอูเฉิง ในบรรดาสามตระกูลที่ผงาดโดดเด่นนั้น ตระกูลที่พวกเขาหวาดกลัวและไม่กล้าไปมีเรื่องด้วยที่สุดก็คือตระกูลมู่ ตระกูลเฉาและตระกูลลี่ว์ในช่วงยี่สิบกว่าปีมานี้ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ใหญ่ใดๆ ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน กลับกันยังให้ความรู้สึกอ่อนแอลง ตอนนี้มีประโยคหนึ่งที่บอกต่อๆ กันมาก็คือตระกูลมู่ ไม่สามารถไปมีเรื่องด้วยได้ แม้แต่บ่าวรับใช้ตระกูลมู่ยังสามารถวางอำนาจรังแกคนอื่นกลางตลาดได้ ประมุข ตระกูลมู่คนปัจจุบันเริ่มไม่สนใจเรื่องราวในตระกูลแล้ว มอบทุกอย่างให้นายน้อยมู่อี่วจัดการ มู่อี่ว์จัดการรวดเร็วเด็ดขาด ไม่เคยเยิ่นเย้อกระทำการมากความ เป็นคนเลือดเย็น เป็นผู้ที่มีศัตรูคู่ต่อสู้รุ่นเดียวกันน้อยนักในเมือง หลานอูเฉิง รายได้หลักของสามตระกูลใหญ่ในเมือง
หลานอูเฉิงคือเหมืองศิลาวิญญาณนอกเมือง เดิมทีเมืองหลานอูเฉิงมีเพียงเหมืองศิลาวิญญาณขั้นต่ำอยู่สองสาย ทั้งสามตระกูลต่างก็ต้องการเอามันมาเป็นของตน แต่ว่า เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาก็ได้ค้นพบเหมืองแร่แห่งหนึ่งที่อาจจะเป็นเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง พูดได้ว่าเรื่องเร่งด่วนของสามตระกูลใหญ่เมืองหลานอูเฉิงใน ขณะนี้คือการมีเอี่ยวในเหมืองที่สงสัยว่าเป็นเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางนี้”
“เหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง?” มู่ชิงเกอเอ่ยทวนซํ้า หรี่ตาทั้งสองข้างลง
เสวี่ยหยาพยักหน้า “ใช่แล้ว ตระกูลมู่คนที่รับผิดชอบ เรื่องนี้ในปัจจุบันคือมู่อี่ว์ส่วนตระกูลเฉาและตระกูลลี่ว์ที่รับผิดชอบเรื่องนี้คือผู้อาวุโสรองและผู้นำตระกูล”
สายตาที่หลุบตาลงของมู่ชิงเกอแฝงแววเจ้าแผนการ
นางเองก็รู้สึกสนใจเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าในขณะที่ช่วยมู่ยี่ออกมาจะสามารถได้ผลประโยชนใดได้บ้าง?
นิ้วมือที่วางบนพนักเก้าอี้ของมู่ชิงเกอเคาะอยู่หลายที จู่ๆ ก็หยุดมือและเงยหน้ามองเสวี่ยหยา “จากนี้ไป เจ้าจับตามองเรื่องของเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลาง ส่วนเรื่อง อื่นๆ ไม่ต้องสนใจ”
“เจ้าค่ะ นายน้อย”เสวี่ยหยาพยักหน้า เอ่ยอย่างจริงจัง
นางถอยหลังไปหนึ่งก้าว ลอบผ่อนลมหายใจแรงๆ อยู่ในใจ ราวกับว่ามีเพียงช่วงที่ช่วยมู่ชิงเกอทำงานนางถึงรู้สึกถึงคุณค่าของตนเอง ไม่ใช่เป็นแค่เพียงเจ้าของแผนที่เท่านั้น
หลังจากสั่งการเรียบร้อย มู่ชิงเกอก็ตวัดสายตามองมาที่หยวนหยวนกับจิงไห่
นางเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ “พูดออกมาเถอะ พวกเจ้าออกไปครั้งนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ไม่มีเสียหน่อย! ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น พวกเราเพียงแค่เดินเล่น จากนั้นซื้อเสื้อผ้าแล้วก็กลับมา” หยวนหยวนชิงตอบออกมาก่อนที่จิงไห่จะเอ่ยปาก
ทว่ามู่ชิงเกอกลับไม่ฟังที่เขาพูด แต่ส่งสายตาไปที่จิงไห่ “เสี่ยวไห่เจ้าว่ามาสิ”
จิงไห่ตัวเกร็ง มองหยวนหยวนโดยอัตโนมัติ ส่วนหยวนหยวนมีแววตาร้อนรนไม่สบสายตา แสร้งทำทีเป็นมองเครื่องประดับในห้องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จิงไห่อ้าปากพะงาบๆ ลอบมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง ก้มหน้าลงต่ำเอ่ยขึ้นแผ่วเบา “เรา…พวกเราทำร้ายคน”
“เสี่ยวไห่ เจ้า เจ้านี่มัน…” เมื่อเห็นว่าจิงไห่เปิดเผย หยวนหยวนก็โกรธจนแทบเต้นชี้หน้าเขาอย่างไม่รู้จะด่าว่าอย่างไรดี
จิงไห่แก้มแดงขึ้น เขาไม่ได้มองท่าทีโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงของหยวนหยวน เพียงแค่เอ่ยเบาๆ “อาจารย์อาเล็ก ข้าไม่อาจหลอกลวงท่านอาจารย์ได้”
หยวนหยวนโมโห ลมหายใจที่ออกมาจากโพรงจมูกแฝงความไม่สบอารมณ์
“เอาล่ะ ทำร้ายใคร? เหตุใดต้องทำร้าย?” มู่ชิงเกอเอ่ย ถามเสียงเรียบ ดับความโกรธในใจของหยวนหยวน เขาทำหูลู่ลงเอ่ยอ้อมแอ้มขึ้นว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร คิดไม่ถึงว่าจะมาเกี้ยวพาข้าคุณชายน้อย ยังจะชิงตัวข้าคุณชายน้อยเข้าจวน คุณชายน้อยย่อมไม่ปล่อยให้เขาสมปรารถนา!”
เอ๊ะ…
โย่วเหอตกตะลึงแกมประหลาดใจ
ฮวาเยวี่ยนิ่งงันรู้สึกประหลาดใจนัก
เสวียหยาเองก็เบิกตากว้าง
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยออกมาด้วยนํ้าเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ “มีคนต้องการชิงตัวเจ้าเข้าจวน?”
หยวนหยวนพยักหน้าเอาเป็นเอาตาย โผไปคุกเข่าแทบเท้ามู่ชิงเกอ สองมือเขย่าขานางเอ่ยด้วยนํ้าเสียงน่าเวทนา “ใช่แล้ว ใช่แล้ว! อีกนิดเดียวหยวนหยวนเกือบไม่ได้กลับมาพบหน้าลูกพี่แล้ว! คนชั่วพวกนั้น หยวนหยวนลงมือใส่พวกเขาไปครั้งหนึ่งก็ถือว่าปรานีมากแล้ว!”
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อยละสายตากลับไปมองที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลางดงามของหยวนหยวน เอ่ยขึ้นทีเล่นทีจริง “อืม ปรานีพวกเขาไปจริงๆ เจ้าน่าจะตามกลับไป จากนั้นจุดไฟเผาจวนเขาเสียเลย”
“จริงหรือ!” หยวนหยวนดวงตาเป็นประกาย หยั่งเชิงคำพูดนั้น
“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?” มู่ชิงเกอหรี่ตาลงทันที ส่งรอยยิ้มให้หยวนหยวน
หยวนหยวนเบะปาก ก้มหน้าเอ่ยอย่างน้อยเนื้อตํ่าใจ “ข้ารู้แล้ว ครั้งหน้าจะไม่มีเรื่องกับใครแล้ว ลูกพี่อย่าโกรธเลยนะ”
มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าน้อยๆ เอาขาที่ไขว้กันลง โน้มตัว ลงยื่นมือมาดันคางของหยวนหยวนให้ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลาหมดจดของหยวนหยวนเงยขึ้นมาสบสายตากับตนเอง
ดวงตาสุกสกาวแฝงความสุขุม เอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ไม่ใช่ ความหมายของข้าคือหากครั้งหน้าพบเหตุการณ์เช่นนี้อีก ลงมือให้หนักตามสบาย ฟ้าถล่มลงมายังมีข้าคอยค้ำยัน”
หยวนหยวนตะลึงงัน
จิงไห่ตื่นตกใจ ‘คำพูดของอาจารย์ช่างน่ายำเกรง! ความรู้สึกมีคนสนับสนุนเช่นนี้ช่างดีเหลือเกิน!’
“ลูกพี่ เช่นนั้นข้าจะไปเผาบ้านเขาเดี๋ยวนี้!” หยวนหยวน ดวงตาเป็นประกาย ผุดลุกขึ้นยืนเตรียมจะพุ่งออกไป
“กลับมา” เสียงเรียกอันแผ่วเบาของมู่ชิงเกอ ยับยั้งการก้าวขาของเขาที่กำลังเดินจากไป
หยวนหยวนหันกลับมามองหน้านาง สายตาเปี่ยมไปด้วยความไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอคลึงนิ้วมือ เอ่ยกับเขาว่า “เรื่องแบบนี้ ต้องจัดการทันทีในตอนที่เกิดเหตุ ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป เผาบ้านเอิกเกริกไปหน่อย แต่ว่าตอนที่เจ้ามีเรื่องกับนาง ไม่ระวังพลั้งมือหนักไปบ้าง เช่นกรีดใบหน้านาง ฉีกกระโปรงนาง…”
หยวนหยวนและจิงไห่ได้ยินแล้วแววตาไม่สดใส
โย่วเหอและฮวาเยวี่ย รวมถึงเสวี่ยหยาเองก็มีสีหน้าไปไม่เป็น
“คนที่เกี้ยวพาเขาไม่ใช่สตรี” ทันใดนั้นก็มีเสียงแว่วมาจากด้านนอกประตู ขัดจังหวะการสนทนาของมู่ชิงเกอ
เอ๊ะ!
มู่ชิงเกอชะงักคำพูดประโยคหลังไว้ในปาก
แสงสีเงินเป็นประกาย หยินเฉินปรากฏกายอยู่ข้างมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก มองหน้าเขาสลับกับมองหน้า หยวนหยวน ยิ้มทื่อๆ “คนที่เกี้ยวพาเจ้าเป็นบุรุษรึ? เจ้าถูกบุรุษเกี้ยวพา?”
ใบหน้ารูปไข่ของหยวนหยวนขึ้นสี ส่งเสียง ‘ซือ’ ก่อนจะไปนั่งขดตัวตรงมุมห้อง
พรืด!
“อุบ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” มู่ชิงเกอเงยหน้าหัวเราะเสียงดังอย่างไม่ไว้หน้า
เวลานั้นภายในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่พยายามอดกลั้น
จิงไห่ยืนอยู่ตรงนั้นสีหน้าเก้อเขินใจหนึ่งอยากจะไปปลอบหยวนหยวนแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรดี
หัวเราะไปได้สักพัก ก็มีนํ้าตาเล็ดออกมาจากหางตาของมู่ชิงเกอ
หยวนหยวนลุกพรวดขึ้นมาอย่างโมโห หันหลังมาบอก “ข้าคุณชายน้อยจะไปเผาบ้านเขาตอนนี้เลย!”
“เจ้ารู้หรือว่าเขาคือใคร? บ้านช่องอยู่แห่งใด?” มู่ชิงเกอหยุดหัวเราะ รวบรวมสติอารมณ์มองหน้าหยวนหยวน
หยวนหยวนท้อแท้ทันที แววตาสังหารกลับทวีความรุนแรง
“ข้ารู้” หยินเฉินพูดขึ้นทันควัน
สายตาของมู่ชิงเกอและหยวนหยวน รวมถึงคนอื่นๆ มอง ไปที่เขาพร้อมกัน
หยินเฉินเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบท่ามกลางสายตาของทุก คนที่มองมา “คุณชายน้อยตระกูลมู่ มู่หง”
ตระกูลมู่อีกแล้ว!
มู่ชิงเกอสายตาเย็นชา เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า
“ดีสิ! ตระกูลมู่ใช่ไหม?” ไอสังหารในแววตาหยวนหยวน ไม่ลดน้อยลง กัดฟันกรอดเตรียมจะหันหลังไปล้างแค้น ชำระหนี้แค้นที่โดนหมิ่นให้สิ้นซาก
“หยุดเดี๋ยวนี้” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ยับยั้งการพุ่งตัวของหยวนหยวน
หยวนหยวนหันกลับมา กระทืบเท้ามองมู่ชิงเกออย่างขัดใจ “ลูกพี่ ความโกรธนี้ข้ากลืนลงไปอย่างง่ายดายไม่ได้จริงๆ!”
ถูกบุรุษเกี้ยวพาก็ช่างเถอะ ยังทำให้เขาถูกผู้คนหัวเราะเยาะ แค้นนี้หากไม่ชำระไม่ต้องมาเรียกเขาว่า พญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวน
“เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม ใจเย็นลงก่อน” มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาสุกสกาวกวาดตามองเขา ความใจร้อนของหยวนหยวนถูกกดลงมาในทันใด
มู่ชิงเกอมองไปที่หยินเฉิน ราวกับรอให้เขาเล่าเรื่องราวทั้งหมด
หยินเฉินเม้มปากเอ่ยขึ้นว่า “หลังจากที่หยวนหยวนกับจิงไห่ออกไป มู่หงผู้นั้นประกาศว่าจะเผาร้านเสื้อผ้านั้นทิ้ง และจะจับตัวหยวนหยวนกลับไปให้ได้ภายในวันนี้ ข้าตามไปใช้มนตราสะกดวิญญาณทำให้เขาลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ว่าผู้คนในเหตุการณ์มีมากมาย หากคิดจะตรวจสอบขึ้นมา เรื่องนี้คงปิดไว้ได้ไม่นาน”
เวลานี้เองเสวี่ยหยาก็เลิกคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “มู่หง คุณชายน้อยที่อายุน้อยที่สุดในรุ่นนี้ของตระกูลมู่ และเป็นน้องชายของมู่อี่ว์บุตรชายคนเล็กที่ประมุขตระกูลมู่รักใคร่ เอ็นดู เขาถือกำเนิดขึ้นหลังจากที่ตระกูลมู่สายรองช่วงชิงอำนาจสำเร็จ ไม่รู้เรื่องเหตุการณ์ในปีนั้น ใช้ฐานะคุณชายน้อยสกุลมู่ และฐานอำนาจของตระกูลมู่วางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่วเมืองหลานอูเฉิง ได้ยินมาว่า…”
เสวี่ยหยามองดูสีหน้าไม่สู้ดีของหยวนหยวน ก่อนเอ่ยว่า “เขาฝักใฝ่ในบุรุษ ขณะเดียวกันก็ลุ่มหลงในสตรี บรรดาหนุ่มน้อยและสาวน้อยในเมืองหลานอูเฉิงที่ถูกเขารังแก นับได้เป็นร้อย”
“เจ้าผีราคะ!” หยวนหยวนเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาหันไปมองหน้าจิงไห่ เอ่ยกับจิงไห่ว่า “เสี่ยวไห่ เมื่อครู่พวกเราลงมือเบาเกินไป!”
พูดจบ เขาก็หันไปเอ่ยกับมู่ชิงเกอ “ลูกพี่! ภัยร้ายนี้ไม่ควรปล่อยไว้ทำร้ายคนอื่น”
มู่ชิงเกอหัวเราะนิ่งๆ มองแวบเดียวก็รู้ถึงความคิดของเขา “เอาล่ะ ก่อนจะออกเดินทางจะหาโอกาสให้เจ้าได้แก้แค้นก็แล้วกัน” ในเมื่อมู่หงหาเรื่องหยวนหยวน เช่นนั้นนางก็ไม่เกี่ยงที่จะขจัดภัยร้ายเพื่อปวงประชา
เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังตามหามู่ยี่ไม่พบ ไหนจะเรื่องเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางที่ยังไม่มีเบาะแส ก็เลยยังไม่สะดวกที่จะจู่โจม
ได้รับการรับประกันจากมู่ชิงเกอ ความโกรธในใจของหยวนหยวนถึงได้บรรเทาลง
“เอาล่ะ กินข้าวกันก่อน” มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืน ประโยคเดียว ประกาศข้อสรุปของการปรึกษาหารือ
รอจนนางจากไปแล้ว หยวนหยวนจึงกระโดดมาอยู่ตรงหน้าหยินเฉิน เอ่ยอย่างแยกเขี้ยวยิงฟัน “ดีนี่! เจ้าหยินเฉิน เสียดายที่ข้าเรียกเจ้าพี่ใหญ่ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะลอบตามข้าคุณชายน้อย!”
หยินเฉินมองเขานิ่งๆ แวบหนึ่ง “เป็นคำสั่งจของชิงเกอ กลัวว่าเจ้าจะก่อเรื่องยุ่ง”
พูดจบเขาก็เดินผ่านหยวนหยวนไปอย่างช้าๆ ทำเอาเขาโกรธจนแทบเต้นอยู่ตรงที่เดิม
“อาจารย์อาเล็ก ไปกินข้าวเถอะ” จิงไห่มาหยุดตรงหน้าหยวนหยวน เอ่ยปากพูดกับเขา
หยวนหยวนหายใจแรงๆ ด้วยความโกรธ เอ่ยกับจิงไห่ว่า “เสี่ยวไห่ เจ้าว่าข้าคุณชายน้อยมีอะไรวางใจไม่ได้กัน?”
จิงไห่มองดูเขาแวบหนึ่ง กลอกสายตายิ้มแหยๆ รีบร้อนเดินจากไปเอ่ยบอกเขาว่า “อาจารย์อาเล็ก ข้าขอตัวไปดูก่อนว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่”
“เฮ้! เจ้ากลับมานี่นะ!” หยวนหยวนตะโกนเสียงดัง
หลังจากทานอาหารเสร็จ รอจนกระทั่งความมืดมิดยามรัตติกาลคืบคลาน ไป๋สี่ก็ยังไม่ปรากฏตัว
มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงระเบียงใต้ชายคา ทอดสายตาฝ่าความมืดมิดยามราตรีอยู่เนิ่นนานไม่เอ่ยวาจา หยินเฉิน เดินมาข้างกายนางเอ่ยเบาๆ “ไม่สู้ให้ข้าไปดูเสียหน่อย” มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “ด้วยความสามารถของไป๋สี่ไม่มีทางเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย นางไม่ปรากฏตัวตามแผน เป็นไปได้ว่าข้อมูลที่พวกเราต้องการมีเบาะแส แล้ว”
ดวงตาสีเลือดของหยินเฉินเป็นประกาย พยักหน้ารับ เขาต้องยอมรับว่าการวิเคราะห์ของมู่ชิงเกอนั้นมีเหตุมีผล
อีกอย่างด้วยความสามารถของเจ้าอสรพิษจอมตะกละแล้ว แม้ว่าจะพบกับเป้าหมายที่น่ากลัวเพียงใด สู้ไม่ได้ก็ยังหนีได้ไม่จำเป็นที่เขาต้องเป็นกังวล
“เช่นนั้นพวกเราต้องรอต่อไปหรือไม่?” หยินเฉินเอ่ยถาม มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปาก หมุนกายกลับห้อง “ไม่รอแล้ว เมื่อถึงเวลาที่นางต้องมาเดี๋ยวนางก็มาเอง แยกย้ายกันกลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”
ส่งสายตามองมู่ชิงเกอเดินจากไปแล้ว หยินเฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงไม่นานเขาก็ละสายตามองไปทางห้องของจิงไห่
ภายในห้องแสงของตะเกียงส่องสว่างรำไร เงาร่างของทั้งสองคนสะท้อนบนหน้าต่าง
เงาคนสองคนเอนเอียงเข้าหากันกระซิบกระซาบส่องทาบอยู่บนหน้าต่าง เดี๋ยวขยับใกล้กันเดี๋ยวออกห่างกัน หลังจากหยวนหยวนทานอาหารเสร็จก็เดินเบียดเข้าไปในห้องของจิงไห่ บอกว่าจะอาศัยห้องเดียวกับเขา
เด็กหนุ่มสองคนถือว่าสนิทกันดี มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ไปก้าวก่ายอะไร
ยืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง หยินเฉินก็หันหลังเดินจากไป
กลางดึกมู่ชิงเกอนั่งสมาธิฝึกพลังยุทธ์อยู่บนเตียง เมื่อการฝึกของนางค่อยๆ เข้าสู่ความลํ้าลึกระดับหนึ่ง นางก็เข้าสู่ห้วงความฝันนั่นอีกครั้ง
นางในความฝันฝึกพลังยุทธ์ตามคนร่างสีทองอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง
จากนั้นท่ามกลางการจับตามองของตนเอง ร่างก็ระเบิดแหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ!
เมื่อมู่ชิงเกอตื่นจากความฝัน นอกจากมีสีหน้าซีดขาว แล้วก็เริ่มปรับสภาพรับกับภาพฝันนี้ได้แล้วริมฝีปากทั้งสองเม้มเข้าหากัน ในแววตาฉายแววสงสัย
ความรู้สึกของนางบอกว่าตนเองไม่มีทางฝันเช่นนี้ได้โดยไม่มีสาเหตุแน่ๆ แต่ว่านางยังไม่กระจ่างแจ้งว่าภาพฝันนี้ต้องการบอกอะไรกับตน…
‘เคล็ดวิชาเทวะ ไม่สามารถฝึกพลังยุทธ์โดยพลการ? หรือว่าเตือนให้นางทราบถึงอันตรายในการฝึกเคล็ดวิชาเทวะนี้?’เคล็ดวิชาเทวะตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษตระกูลมู่ ที่ตัวของเสวี่ยหยามีเบาะแสของเคล็ดวิชาเทวะ สิ่งของเหล่านี้เป็นตัวนำให้นางเข้าใกล้กับเคล็ดวิชาเทวะ คัมภีร์การฝึกพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดไปทีละก้าว หรือว่าเพียงแค่บอกให้นางอย่าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้?
เหตุผลนี้บอกออกมา ตัวมู่ชิงเกอเองก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้!
“ต้องมีอะไรที่ข้ายังไม่รู้อีกแน่ๆ หรือว่าเบาะแสที่ไม่ได้สังเกต” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เอ่ยกับตนเองเสียงขรึม
ทันใดนั้นเองก็มีเงาสีขาวสายหนึ่งผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง พุ่งตรงมายังมู่ชิงเกอ
นางช้อนสายตาขึ้น สายตาจ้องมองไปยังแสงกะพริบสีขาวไม่ได้หลบ
แสงสีขาวตกลงบนตัวนาง กลายเป็นเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นหน้าตาพริ้มเพราสู่อ้อมกอดนางในทันใด เรียวแขนเสลาทั้งสองข้างโอบคอนางไว้ราวกับงูโอบรัดอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าเล็กหน้าตาสะสวยอิงอยู่บนบ่าของนาง บ่นโอดครวญขึ้นว่า “ชิงเกอ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อร่างกายถูกอสรพิษสีขาวโอบรัด มู่ชิงเกอก็ได้แต่มุมปากกระตุกอย่างจนปัญญา
บางทีอาจเป็นเพราะอสรพิษแก้สัญชาตญาณการโอบรัดไม่หาย ไป๋สี่ถึงชอบที่จะคลอเคลียบนร่างของนาง โอบรัดนางเช่นนี้ จากที่ไม่เคยชินก็ค่อยๆ กลายเป็น
ความเคยชินไปเสียแล้ว
“ลำบากเจ้าแล้ว” มู่ชิงเกอว่ายิ้มๆ แม้จะรู้ว่าไป๋สี่ไม่มีทางเป็นอะไรแต่เมื่อเห็นว่านางกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยตาตนเอง มู่ชิงเกอถึงได้วางใจอย่างแท้จริง
“รู้ว่าลำบากข้าก็ดีแล้ว” ไป๋สี่ตวัดสายตามองนางแวบหนึ่ง ในนํ้าเสียงแฝงความออดอ้อน
ทันใดนั้นขาของนางก็ไปถูกกระดิ่งข้างเอวมู่ชิงเกอ เกิดเสียงกังวานไพเราะดังขึ้นมา
“เอ!” ไป๋สี่มองเห็นเป็นเรื่องสนุก แขนเรียวก็เลื่อนจากบ่าของมู่ชิงเกอ ยื่นมือไปหมายจะคว้ากระดิ่ง
ทว่านางยังไม่ทันได้สัมผัส มืออีกข้างหนึ่งก็วางบนกระดิ่งดึงหลบมือนาง
ไป๋สี่เงยหน้าขึ้นมองแววตาขบขันของมู่ชิงเกอ บ่นกระปอดกระแปด “ขึ้งก”
เมื่อนางพูดจบ กระดิ่งที่มู่ชิงเกอกุมเอาไว้ก็ดังขึ้นมาสองครั้ง ราวกับว่าเป็นปฏิกิริยาตอบรับของเสียงกระดิ่งเมื่อครู่นี้ ทำเอาใบหน้ามู่ชิงเกอกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
สายตาของไป๋สี่ก็ฉายแววหยอกล้อ
“อะแฮ่ม เข้าเรื่องเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยท่าทีจริงจัง เวลาเดียวกันก็หลุดพ้นจากการ ‘โอบรัด’ ของไป๋สี่
ณ สถานที่แห่งหนึ่ง มีรกเทียมมังกรพยัคฆ์วายุหกปีกคันหนึ่งเคลื่อนที่ไปบนท้องฟ้า ฝั่งซ้ายและขวาของตัวรถมีเงาสีดำสองร่างขนาบอยู่ ในตัวรถมีกลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ มีเงาร่างของคนรูปงามที่ยากจะจินตนาการถึงผู้หนึ่งเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวขาดหาย
บนฝ่ามือของเขามีกระดิ่งวิจิตรประณีตใบหนึ่ง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…” เสียงเพรียกหาด้วยความคิดถึง ออกมาจากริมฝีปากของเขา คิดถึงสุดคะนึงหา ความรักใคร่ลึกซึ้ง
ในเมืองหลานอูเฉิง เรือนที่มู่ชิงเกอพักอาศัยอยู่ชั่วคราว นางมองดูไป๋สี่ที่นอนเอกเขนกบนเตียงตนเอง “คืนนี้ได้เรื่องว่าอย่างไรบ้าง?”
ไป๋สี่ยิ้มพราว เอ่ยด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง “ข้าออกโรงด้วยตนเอง ย่อมต้องได้เรื่อง”
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกาย เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าหาเบาะแสของมู่ยี่เจอแล้วหรือ?”
ภารกิจหลักของนางคือตามหามู่ยี่
ขอเพียงเจอตัวมู่ยี่ นางก็สามารถยืนยันระยะเวลาที่นางจะอาศัยอยู่ที่เมืองหลานอูเฉิงได้
ไป๋สี่พยักหน้าและส่ายหน้า
ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ข้าไม่เคยพบมู่ยี่มาก่อน ดังนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าคืนนี้คนที่มู่อี่ว์ ไปเจอมาใช่เขาหรือไม่ แต่ว่ามู่อี่ว์ขังเขาไว้ยังสถานที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่ง จงใจทรมาน ดูท่าแล้วเกลียดคนผู้นี้เข้ากระดูก” ไป๋สี่กล่าว
มู่ชิงเกอแววตาเคร่งขรึม
นางเองก็ไม่เคยพบมู่ยี่มาก่อน แต่ว่าฟ่งอวี๋เฟยมอบของให้มาสิ่งหนึ่ง หากคนผู้นั้นเป็นมู่ยี่ย่อมต้องจำของสิ่งนั้นได้แน่ๆ
มู่ชิงเกอครุ่นคิดอยู่ในใจ เอ่ยกับไป๋สี่ว่า “เจ้าพบเขาที่ไหน? แล้วตอนนี้เขาเป็นเช่นไรบ้าง?”
ไป๋สี่เอ่ยตอบ “ไม่รู้ว่าวันนี้คุณชายน้อยตระกูลมู่ถูกใครจัดการมา พกบาดแผลกลับเข้าตระกูล หลังจากเริ่มมืด ข้าคิดจะกลับมารายงานเจ้า แต่ว่าหลังจากที่มู่อี่ว์ผู้นั้น ไปพบน้องชายตนเองแล้ว ก็เกิดเปลี่ยนเส้นทางออกจากตระกูลมู่มุ่งหน้าไปสวนรกร้างแห่งหนึ่ง”
“สวนรกร้าง?” เกิดความไม่เข้าใจใจแววตาของมู่ชิงเกอ ในใจคาดเดา ‘หรือว่ามู่ยี่จะถูกกักขังอยู่ในสวนรกร้างแห่งหนึ่ง?’
ส่วนที่ว่ามู่หงถูกใครทำร้ายมานี้น นางรู้อยู่แก่ใจ
ไป๋สี่พยักหน้า
“หลังจากที่เขาเข้าไปยังสวนรกร้างแล้ว ข้าเพิ่งได้รู้ว่าในสวนมีการเฝ้ากวดขันอยู่ไม่น้อย ส่วนคนผู้นั้นที่ไม่แน่ใจว่าใช่มู่ยี่หรือไม่ก็ถูกเขาขังไว้ในคุกใต้ดินด้านล่างพื้นสวน สถานที่แห่งนั้นมืดอับไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน อับชื้นส่งกลิ่นเหม็น แม้แต่ข้ายังทนไม่ไหว ก็ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นทนได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าจะไม่ถูกกลิ่นเหม็นพวกรมจนตาย” ไป๋สี่พูดไปพะอืดพะอมไป
มู่ชิงเกอถามต่อไปว่า “สถานการณ์ของคนผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
หานฉายไฉ่เคยบอกว่ามู่ยี่ถูกตัดเส้นเอ็น มือและเท้า ทำลายพลังยุทธ์ถ้าหากคนผู้นั้นเป็นเช่นนี้แล้วละก็ ความน่าจะเป็นว่าเป็นมู่ยี่ก็เป็นไปได้สูง
“สถานการณ์อย่างไร? ยังไงก็สภาพซังกะตาย ทั่วทั้งร่างสกปรก กลิ่นเหม็นหืน ผมเผ้าหนวดเครายาวบดบังรูปหน้า ผ่ายผอมราวก้างปลา ผิวหนังซีดขาว ใช่แล้ว! คล้ายว่าแขนขาเขาจะพิการ กระดูกข้างในคล้ายกับถูกหักเป็นท่อนๆ ข้าอยู่ค่อนข้างไกลไม่อาจยืนยันได้” ไป๋สี่เอ่ยตามที่เห็น
หักกระดูกแขนขาเป็นท่อนๆ!
มู่ชิงเกอแววตาเคร่งขรึม ลอบกล่าวว่าผู้ลงมือด้วยมาตรการนี้คงใจคอโหดเหี้ยมอำมหิต
“ตอนที่มู่อี่ว์ไปพบเขา ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเลยหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
ไป๋สี่หวนคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มี พอเขาเข้าไปก็คว้าแส้หนังที่แช่อยู่ในนํ้าแช่พริก ฟาดใส่คนผู้นั้นไม่ยั้ง แต่ว่าคนผู้นั้นก็ดวงแข็งใช่ย่อย คิดไม่ถึงว่าถูกทรมานถึงเพียงนี้กลับไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ ปล่อยให้มู่อี่ว์ฟาดตามใจ”
ดวงตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอหรี่ลง ครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘ถ้าหากเป็นมู่ยี่จริงๆ เขาถูกทรมานถึงเพียงนี้ ตนเองต้องช่วยเขาแก้แค้นหรือไม่’
นางส่ายหน้าน้อยๆ
ตระกูลมู่เมืองหลานอูเชิง ไม่ใช่ตระกูลโต้วและตระกูลไป่เมืองไหอวี่เฉิง และก็ไม่ใช่ตระกูเล่อเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง
เมืองหลานอูเชิงเป็นเมืองที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ของเขตภาคใต้ อำนาจของตระกูลก็ห่างชั้นไม่อาจนำตระกูลเล็กๆ เหล่านี้ไปเทียบได้ ยังไม่ต้องไปพูดถึงว่าตอนนี้นางมีความสามารถช่วยมู่ยี่แก้แค้นหรือไม่ ลำพังสถานการณ์ในตอนนี้ ตระกูลมู่สายหลักถูกฆ่าล้างเหลือเพียงมู่ยี่ ส่วนตัวมู่ยี่นั้นก็กลายเป็นคนไร้ค่า พลังยุทธ์ถูกทำลาย ถึงแม้นางจะมีฝีมือรักษาคนป่วยใกล้ตายให้กลับมาเป็นปกติได้หลังจากช่วยมู่ยี่ออกมาแล้วสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ทำให้เขาสามารถกลับมาฝึกพลังยุทธได้ แต่เขาก็คงไม่สามารถฟื้นคืนพลังยุทธ์ได้ในเวลาอันสั้น นับประสาอะไรจะไปต่อกรกับตระกูลมู่ที่ผู้คนถูกผลัดเปลี่ยนแต่ขุมกำลังยังคงเดิม?
‘ดูท่า คงต้องช่วยคนออกมาให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยคิดหาวิธีส่งกลับไปที่หลินชวน ส่วนเรื่องแก้แค้นก็ปล่อยให้ฟ่งอวี๋เฟยไปเปลืองสมองต่อเถอะ’ มู่ชิงเกอตัดสินใจอยู่ในใจ
ถึงอย่างไร นางกับมู่ยี่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน ที่มาช่วยเขาก็มีสาเหตุมาจากฟ่งอวี๋เฟย
ข้อตกลงนี้ไม่ได้รวมถึงว่าต้องแก้แค้นแทนมู่ยี่
“ไป๋สี่ เจ้ายังจำสถานที่ตั้งของสวนรกร้างนั้นได้หรือไม่?” มู่ชิงเกอเงยหน้าเอ่ยถาม
ไป๋สี่พยักหน้า เอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องอยากไปเห็นกับตาตนเอง ดังนั้นข้าได้ทำสัญลักษณ์ไว้ตลอดเส้นทางแล้ว”
มู่ชิงเกอส่งสายตาแฝงรอยยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ฉลาดจริงๆ!”
“ไปตอนนี้เลยหรือไม่?” ไป๋สี่เอ่ยถาม
มู่ชิงเกอแววตาเคร่งขรึม พยักหน้า “ไปตอนนี้เลย”
ไป๋สี่พามู่ชิงเกอมุ่งหน้าไปยังสวนรกร้าง เป้าหมายในครั้งนี้เพียงเพื่อให้มู่ชิงเกอยืนยันว่าผู้ที่ถูกมู่อี่ว์คุมขังไว้ใช่มู่ยี่หรือไม่
ส่วนวิธีการช่วยคนนั้น จำเป็นต้องคิดวางแผนให้รอบคอบ
เพราะว่ามู่ชิงเกอไม่ได้ต้องการช่วยคนเพียงอย่างเดียว ยังต้องการเหมืองศิลาวิญญาณขั้นกลางที่ค้นพบในเมืองหลานอูเฉิง รวมถึงโอกาสในการแก้แค้นระบายโทสะของหยวนหยวน
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี ไป๋สี่พามู่ชิงเกอมาถึงด้านนอกของสวนรกร้าง
นางแปลงร่างเป็นงูตัวน้อยเลื้อยรัดเกาะอยู่บนบ่าของมู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นเบาๆ “ด้านหน้านั่นก็คือสวนรกร้าง ด้านในมีคนคุ้มกันนับสิบ นอกจากคนผู้หนึ่งที่มีระดับพลังขั้นสีเทาขั้นหนึ่งแล้ว ที่เหลือล้วนแต่เป็นพลังขั้นสีม่วงขั้นสูงสุด ข้ารู้สึกว่าที่มู่อี่ว์แตรียมคนเหล่านี้ไว้ไม่ใช่เพื่อกันคนนอกมาที่นี่ แต่ป้องกันคนด้านในหนีออกมา”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว “คนที่ถูกคุมขัง ถูกหักแขนขาไปแล้วจะหนีไปได้อย่างไร?”
คำถามที่ย้อนถามกลับนี้ยากสำหรับไป๋สี่ นางคิดแล้วคิดอีกก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าหากป้องกันคนนอกเข้าไป จำนวนคนพวกนี้ค่อนข้างต่ำไปอยู่บ้าง คนระดับพลังชั้นสีเทาชั้นสองมาเล่นๆ ก็สามารถทำลายการป้องกันได้แล้ว ดังนั้นข้าจึงคิดว่าน่าจะเป็นการป้องกันคนด้านในหนีออกมามากกว่า ส่วนที่ว่าเพราะอะไรทั้งที่รู้ดีว่าคนด้านในถูกหักแขนขาไปแล้ว ยังต้องเตรียมการไว้อย่างเอิกเกริกเช่น นี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าในใจของมู่อี่ว์กังวลว่าเขาจะหนีออกไปได้?”
มู่ชิงเกอลังเลตัดสินใจไม่ได้ชั่วขณะ เอ่ยกับไป๋สี่ว่า “มู่อี่ว์ที่เจ้าสัมผัสได้เป็นคนเช่นไร?”
ไป๋สี่ติดตามอยู่ข้างกายมู่อี่ว์มาหลายวัน มองดูท่าทีของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น และก็ได้เห็นท่าทีของเขาเมื่ออยู่ลับหลังผู้อื่น “ต่อหน้าผู้อื่น เขาคือนายน้อยที่ใครๆ ก็บอกว่าร้ายกาจฉลาดหลักแหลม แต่ว่าพออยู่ลับหลังผู้อื่นข้าพบว่าเขาเป็นคนมีปมด้อย”
“มีปมด้อย?” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความสงสัย
ไป๋สี่ส่งเสียงรับคำ “ใช่มีปมด้อย เมื่ออยู่ลับหลังผู้คน ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีจิตใจชั่วช้า อีกทั้งจิตใจคับแคบ ไม่ชอบพ่ายแพ้ให้กับผู้อื่น ความหวาดระแวงสูง” “ช่วงหลายวันมานี้ เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับเหมืองศิลาวิญญาณระดับกลางจากปากของเขาหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามขึ้นในทันใด
ไป๋สี่พยักหน้า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าได้ยินมา!”
“เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง” มู่ชิงเกอจับจ้องไปยังสวนรกร้างในความมืด นางยุติบทสนทนาลอบเข้าไปเงียบๆ
ช่วงเวลาผลัดเวรที่มีเพียงแค่เวรยามระดับพลังชั้นสีม่วงระดับสูงและระดับพลังชั้นสีเทาชั้นหนึ่ง สำหรับมู่ชิงเกอแล้วไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง
มีไป๋สี่นำทาง นางสามารถหลบหลีกสถานที่ซึ่งมีเวรยามเฝ้าอยู่มาถึงทางเข้าคุกใต้ดินได้อย่างง่ายดาย “ลงไปทางภูเขาจำลองนี้ มีทางเดินใต้ดินที่สามารถเดินผ่านได้เพียงคนเดียว คนที่มีระดับพลังสีเทาขั้นหนึ่งเฝ้าอยู่ด้านในนี้แหละ” ไป๋สี่เอ่ยข้างหูมู่ชิงเกอเบาๆ
มู่ชิงเกอหันหน้าไปมองและเอ่ยกับนางว่า “ควบคุมพิษงูของเจ้าแล้วทำให้เขาสลบไปได้หรือไม่?”
“ได้แน่นอน” ไป๋สี่เข้าใจความหมายในคำพูดของมู่ชิงเกอทันที
นางเลื้อยลงมาจากบนบ่าของมู่ชิงเกอ เข้าไปตามทางมืดๆ มู่ชิงเกอยืนรออยู่ตรงทางเข้า เพียงไม่นานไป๋สี่ก็เดินนวยนาดออกมา ลูบผมสลวยบนศีรษะตนเองเบาๆ ส่งยิ้มให้กับมู่ชิงเกอ แลบลิ้นเลียริมฝีปากสีแดงเบาๆ “ไปกันเถอะ”
มู่ชิงเกอยิ้มขัน เดินตามหลังไป๋สี่ไป
ทางเดินใต้ดินคับแคบเสียจริง หากคนที่อ้วนหน่อยเข้ามา เกรงว่าจะต้องเบียดเสียดไปกับกำแพงทางเดินทั้งสองฝั่ง
เดินตามไป๋สี่ มู่ชิงเกอมองเห็นเวรยามระดับพลังสีเทาขั้นหนึ่งที่สลบอยู่บนพื้น บนข้อมือของเขาปรากฏรอยเขี้ยวงู มู่ชิงเกอกับไป๋สี่สบตายิ้มให้กัน เดินเข้าไปข้างในต่อ
ไป๋สี่เอ่ยขึ้นยิ้มๆ “ในสวนรกร้างเช่นนี้ ถูกงูกัดก็ถือเป็นเรื่องสมควรตามเหตุผล” มู่ชิงเกอเอาแต่ยิ้มไม่ได้ว่าอะไร ไม่นาน พวกนางก็เดินมาถึงหน้าประตูเหล็กที่ปิดสนิท มองดูกุญแจล็อคบนนั้น ไป๋สี่ก็ขมวดคิ้วขึ้น “ข้าไม่มีลูกกุญแจ”
“ในตัวของเวรยามล่ะ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
“เอ๊ะ…ข้าลืมไปค้นเลย” ไป๋สี่เพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนจะเอ่ยขึ้น นางเคยแต่เปิดศึกฆ่าฟันโดยที่ไม่ต้องมาพูดสงบศึก เคยมีประสบการณ์บุกคุกช่วยคนเสียที่ไหนกัน?
“ช่างมันเถอะ” มู่ชิงเกอหันหลังกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ
ควานหาในอากาศธาตุครู่หนึ่งก็กำปิ่นอันหนึ่งไว้ในมือ ปิ่นนั้นสีแดงสดราวอัคคี และก็ดูคล้ายโลหิต ด้านบนแกะสลักดอกไม้ที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน งดงามดั่งดอกไม้ที่เพิ่งเด็ดออกมาใหม่ๆ
เมื่อ เห็นปิ่นนี้ มู่ชิงเกอก็ชะงักไปชั่วขณะ
นี่เป็นของขวัญวันปักปิ่นที่ซือมั่วมอบให้นางตอนที่ปักปิ่น แต่ว่านางเคยถูกเขาบังคับให้สวมใส่ในคืนนั้นเพียงครั้งเดียว จากนั้นก็ถูกนางทิ้งไว้ในช่องว่างตลอดมา
ตอนแรกนางมองเห็นแต่ทำเป็นไม่เห็นความในใจของบุรุษผู้นั้น พอวันนี้คิดขึ้นมา มองดูของขวัญชิ้นเดิมที่อยู่ในมือเหมือนนางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเขาในตอนนั้น
“ชิงเกอ เจ้าเป็นอะไรไป?” เห็นนางนิ่งไปไม่ขยับตัวอยู่นานไป๋สี่จึงส่งเสียงถาม มู่ชิงเกอตื่นจากภวังค์ไม่ได้เอ่ยอธิบายอะไร เพียงแต่ปิ่นหยกโลหิตในมือนางกลับหายไป แทนที่ด้วยปิ่นทองยาวอันหนึ่ง นางนำปิ่นทองด้านเรียวแหลมสอดเข้าไปในรูกุญแจ หมุนไปมาอยู่สองสามที ไป๋สี่ก็ได้ยินเสียงดัง ‘กริ๊ก’
กลอนประตูถูกเปิดออก
มู่ชิงเกอเก็บปิ่นทอง ดึงสลักประตูออกจากนั้นผลักบานประตูเข้าไป เอ่ยบอกไป๋สี่ว่า “ไปกันเถอะ”
ไป๋สี่มองปิ่นทองในมือด้วยความประหลาดใจ “ชิงเกอ เจ้าเก่งกาจจริงๆ!”
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก ทักษะการสะเดาะกลอน น่าจะเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐาน
ของทหารหน่วยรบพิเศษ
ไม่ใช้ไปนานเข้า นางก็เริ่มเลือนหายไปหลายส่วน
นึกถึงในปีนั้น แม้ว่านางจะเปิดตู้นิรภัยที่ต้องใส่รหัสก็ใช้เวลาแค่เพียงสามวินาทีเท่านั้น
ทั้งสองเดินเข้ามาในคุกใต้ดิน กลิ่นเหม็นเน่าอับชื้นก็โช เข้ามา แม้ว่าไป๋สี่จะเคยมาแล้วหนึ่งรอบก็ยังไม่คุ้นชินอยู่ดี
แม้ว่างูจะชอบที่อับชื้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะชอบที่ที่มีกลิ่นเหม็น
มู่ชิงเกอเองก็ขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากไว้แน่น
หลังจากได้เกิดใหม่ก็เพียบพร้อมด้วยอาภรณ์และอาหารชั้นเลิศ ทำให้ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายลดลง
หากไม่ใช่เป็นเพราะตามหามู่ยี่ นางก็ไม่ปรารถนาจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักนาทีเดียว
“เขาอยู่ข้างในนี้แหละ” ไป๋สี่กล่าว เดินนำทางอยู่ด้านหน้า ลงไปตามบันไดพามู่ชิงเกอเข้าไปในคุกใต้ดิน
หลังจากเดินลงบันไดมา คุกใต้ดินก็อยู่ในสายตาของมู่ชิงเกอ
‘นี่มันคุกใต้ดินที่ไหนกัน? เห็นชัดว่าเป็นห้องลับที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อคุมขังใครผู้หนึ่ง!’ มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยความตกใจอยู่ในใจ ที่นี่คือห้องลับห้องหนึ่ง บริเวณรอบๆ ไม่มีแสงสว่าง มีเพียงตะเกียงที่แขวนไว้อยู่หนึ่งดวง
โซ่บนกำแพงตรึงคนผู้หนึ่ง สองแขนถูกดึงรั้งเอาไว้ แขนทั้งสองข้างถูกแขวน ชายเสื้อร่นลงมา เผยให้เห็นหนังหุ้มกระดูกผ่ายผอมราวก้างปลา บาดแผลบนร่าง กายพาดทับสลับกันไปมา แผลเก่าแผลใหม่ มองไม่เห็นผิวหนังสภาพดีอีกแล้ว ผมเผ้าหนวดเคราเป็นดงเช่นที่ไป๋สี่บรรยาย ทั้งยาวทั้งหนา ไม่ได้ดูแลมานานปีเริ่มเหนียวเกาะตัวสยายกองกับพื้นบดบังใบหน้าของเขา ชุดที่เดิมน่าจะเคยเป็นสีขาวของเขามาบัดนี้กลับเป็นสีดำอมแดง ที่ส่วนขาทั้งสองข้างปรากฏรอยเลือดซิบๆ คุกเข่าลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง บนน่องขายังมีรอยแผลสองรอย เขาคอตกแทบจะไม่มีเสียงลมหายใจ ราวกับว่าตายไปตั้งนานแล้ว
หากไม่ใช่เพราะมู่ชิงเกอยังสัมผัสได้ถึงชีพจรที่สับสนวุ่นวายของเขาคงอยู่ เกรงว่าคงจะคิดว่าเขาเป็นคนตายคนหนึ่ง
ในห้องลับ ยังมีอุปกรณ์สำหรับทรมานแขวนไว้เป็นจำนวนมาก บนนั้นมีคราบเลือดทิ้งไว้ เกรงว่าจะเคยนำมาใช้บนร่างคนครบทุกอันแล้ว
“เขานั้นแหละ” ไป๋สี่กล่าว
มู่ชิงเกอก้าวไปหาเขาทีละก้าว เมื่อมาอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็คงแน่นิ่งไม่ไหวติง
ความเงียบสงบนี้แฝงความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก มู่ชิงเกอปรายตามองเขาช้าๆ ละเลยกลิ่นเหม็นที่ออกมาจากตัวเขา เอ่ยปากถามขึ้นว่า “เจ้าใช่มู่ยี่หรือไม่?”
ถึงอย่างนั้น คนผู้นั้นก็ไม่ได้ตอบ
คล้ายกับไม่ได้ยินสิ่งที่มู่ชิงเกอกล่าว และก็ไม่รู้ว่านางยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
รออยู่พักหนึ่ง มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามอีกครั้ง “เจ้าใช่มู่ยี่หรือไม่?”
คนผู้นั้นยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นเคย
มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งสองข้างลง เอ่ยเสียงเคร่งขรึมจริงจัง “เจ้ารู้จักฟ่งอวี๋เฟยหรือไม่?”
ฟ่งอวี๋เฟยสามพยางค์นี้ราวกับเสียงอัสนีบาต ทำเอาไหล่ทั้งสองข้างของคนผู้นั้นสั่นไหว ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้าง แต่ว่าเขายังไม่ยอมเอ่ยปากพูดเช่นเคย
ปฏิกิริยาตอบสนองเพียงเล็กน้อยนี้ตกอยู่ในสายตาของมู่ชิงเกอ นางย่อตัวลงช้าๆ คลำเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากในอก ส่งไปตรงหน้าเขาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งว่า “ของสิ่งนี้ เจ้ารู้จักหรือไม่?”