Skip to content

พลิกปฐพี 249

ตอนที่ 249

นายท่านมั่วหึงแล้ว!

ตำหนักเทพ เมืองจินไห่

ไกลออกไปนอกปากทางเข้า มีกลุ่มคนต่อแถวยาว

บนใบหน้าของทุกคนล้วนแต่มีความศรัทธา อ่อนน้อม ถ่อมตัว แม้ว่าจะมีคนเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงดัง ต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ตอนที่มู่ชิงเกอนำเสวี่ยหยากับไป๋สี่มาถึงที่นี่นั้น ก็ถูกฉากนี้ทำให้ตกตะลึงไป

“ตำหนักเทพนี้ฟังดูแล้วก็เหมือนกับศาสนา ศาสนาหนึ่ง หรือว่าจะเป็นศาสนาจริงๆ งั้นหรือ?” ไป๋สี่เอ่ยออกมาอย่างแปลกใจ

เสวี่ยหยามองไปยังมู่ชิงเกอ เอ่ยขอคำแนะนำเสียงเบาๆ ว่า “นายน้อย”

มู่ชิงเกอมองไปที่นางแล้วพยักหน้า

หลังจากเห็นว่ามู่ชิงเกออนุญาติแล้ว เสวี่ยหยาก็จากไป ส่วนมู่ชิงเกอก็นำไป๋สี่ยืนอยู่ที่เดิม มองไปยังแถวยาวๆ นั่น พวกนางไม่ได้รีบจะเข้าไปภายในตำหนักเทพ

ตลอดเส้นทางที่มาก็สามารถเห็นได้ถึงความเจริญและความยิ่งใหญ่ของเมืองจินไห่แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นจากคำพูดของหานฉายไฉ่หรือจากข่าวที่จิงไห่สืบมาได้ ล้วนแต่ออกมาว่า เมืองจินไห่ที่เป็นเช่นนี้ หากเทียบรวมกับภายในเมืองหลักก็เป็นเมืองที่ถือว่าอ่อนแอที่สุด

ดูแล้วความแข็งแกร่งภายในโลกแห่งยุคกลางนั้นมู่ชิงเกอเพิ่งจะได้สัมผัสเพียงยอดของปลายภูเขานํ้าแข็ง

มีขุมกำลังมากมายที่ยังซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้อยู่

“เมืองจินไห่นี้ถือว่ามาถูกที่แล้ว” มู่ชิงเกอลูบเบาๆ ไปบนปลอกนิ้วหลิงหลงบนมือขวา เอ่ยเสียงเบาๆ

ไม่นาน เสวี่ยหยาก็กลับมาจากการสืบข่าว นางเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย ภายในตำหนักเทพมีจุดหนึ่งที่มีพลังจิตเข้มข้นมาก ให้คนได้เข้ามาฝึกปรือ โดยไม่ต้องเสียเงิน คนเหล่านี้ก็กำลังต่อแถวเพื่อเข้าไปฝึกฝน ที่ๆ พวกเราจะไปนั้นไม่ต้องต่อแถว สามารถใช้อีกทางเข้าไปได้เลย”

“สถานที่สำหรับให้คนฝึกฝนอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเบาๆ

การกระทำเพื่อสังคมเช่นนี้ในตอนที่นางได้ยินกลับรู้สึกเหมือนว่าจอมปลอมอยู่หลายส่วน? ที่นางเดินมาตลอดทางก็คุ้นเคยกับกฎการใช้ชีวิตบนโลกนี้แล้ว ถ้า หากบอกว่าให้บริการก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนจึงจะสามารถเข้าไปฝึกฝนได้ เช่นนั้นนางถึงจะรับได้หน่อย

ไม่ต้องแลกเปลี่ยน…

เหตุใดนางจึงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเลย?

นางมองไปทางกลุ่มคนที่กำลังต่อแถวแวบหนึ่ง นางก็พบว่าคนที่ต่อแถวอยู่เพื่อรอเข้าไปฝึกฝนนั้นล้วนแต่เป็นคนธรรมดา

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับแล้วเอ่ยถามว่า “อีกทางอยู่ที่ไหน?”

เสวี่ยหยาชี้ไปทางขวามือของพวกนาง “อยู่ทางนั้น”

มู่ชิงเกอพยักหน้า ให้เสวี่ยหยานำทาง ทั้งสามคนจากไปจากบริเวณที่คนต่อแถว มุ่งไปทางเข้าอีกทางหนึ่ง เดินตามผนังกำแพงสีขาวที่ยอดมีสีทองไปสักพัก ก็ปรากฏประตูโค้งที่มีขนาดใหญ่เท่ากับประตูเมืองปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกนาง

เสาประตูประดับตกแต่งไปด้วยผลึกแก้วที่สะท้อนแสงหลากสีสันแวววาวออกมาภายใต้แสงอาทิตย์ข้างประตู ยังมียามสวมชุดเกราะลีทองสองคนยืนเฝ้าอยู่ทั้งซ้าย และขวาท่าทางดูสงบและเคร่งขรึม

กลางประตูโค้งมีคนจำนวนไม่น้อยเดินผ่านไปมา แต่พวกเขาก็มองตรงไม่ได้เหลือบตามองมาแม้แต่นิดเดียว ยืนอยู่ข้างประตูแต่กลับไม่มองสำรวจรอบด้าน มองไปก็เหมือนกับเป็นเพียงรูปแบบเท่านั้น

มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ

ทั้งสามคนเดินเข้าไปข้างประตู ค่อยๆ รวมเข้าไปกับกลุ่มของฝูงชน เข้าไปในประตูโค้ง แน่นอนว่าตลอดเส้นทางนั้นสะดวกไม่มีใครเข้ามาถามอะไรกับพวกนาง

หลังประตู มีลานกว้างใหญ่อยู่ลานหนึ่ง รอบลานนั้น มีผนังกำแพงสูง บนผนังกำแพงแขวนธงของตำหนักเทพเอาไว้

ทั้งสามมองไปแวบหนึ่ง แล้วก็เดินไปข้างหน้าต่อ

ผ่านลานไป ก็เข้าสู่ทางเดินยาว ผ่านทางเดินยาวก็มีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ภายในสวนมีอาคารตั้งอยู่ แล้วก็ยังมีแท่นสูงสีขาวบริสุทธิ์ที่ก่อสูงขึ้นมาจากพื้น บนนั้นมีพลังจิตแผ่กระจายออกมา

“ไปดูกัน” มู่ชิงเกอมองเห็นคนจำนวนไม่น้อยที่เดินไปทางแท่นสูง จึงนำสองสาวเดินมุ่งไปทางนั้นด้วย เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินหยก เดินไปยังแท่นสูง พวกนางถึงได้มองเห็นว่าด้านบนนั้นมีแผ่นหินหยกขาวขนาดใหญ่ตั้งอยู่สองแผ่น บนนั้นมีอักษรสีทองสลักสะท้อนแสงวาววาบอยู่

ด้านหน้าของแผ่นหินหยกขาวทั้งสองแผ่นเต็มไปด้วยกลุ่มคน

ใต้แท่นสูงยังมีรูปปั้นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ดูเหมือนจะเป็นรูปสัตว์อสูรวิญญาณบางชนิด ท่าทางดูดุร้าย อ้าปากกว้างเงยหน้าขึ้นบนฟ้า ดูเหมือนกำลังคำรามด้วย ความโมโห

มู่ชิงเกอขึ้นไปบนแท่น ยืนอยู่บนแท่นสูง สายตาเปลี่ยนเป็นมองได้กว้างไกลขึ้น นางมองไปรอบด้าน สายตาตกไปอยู่ที่ลานทรงกลมที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ ภายในนั้นมีบันไดลงเป็นชั้นๆ ดูเหมือนลานแสดงแบบโรมันที่นางเคยเห็น ในทุกๆ ชั้น ล้วนแต่เต็มไปด้วยผู้คน ดูเหมือนว่ากำลังฝึกปรือพลัง มีคนลุกออกไปและเดินเข้ามาตลอดเวลา เติมเต็มช่องว่าง

“ที่นี่คงเป็นที่ๆ ให้ทุกคนได้ฝึกปรือพลังโดยไม่ต้องจ่ายเงินใช่หรือไม่?” ไป๋สี่มองตามสายตาของมู่ชิงเกอไป และก็มองเห็นลานนั้นเช่นกัน

มู่ชิงเกอพยักหน้า ถอนสายตากลับ “พวกเจ้าคิดว่าภายในเมืองเช่นนี้ คนที่จำเป็นต้องมาฝึกที่นี่นั้นจะเป็นใคร?”

อยู่ดีๆ นางก็ถามขึ้นมาทำให้ไป๋สี่กับเสวี่ยหยาล้วนแต่ชะงักไป

ในที่สุดเสวี่ยหยาก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาก่อน เอ่ยตอบว่า “น่าจะเป็นเหล่าคนธรรมดาที่ไม่มีตระกูลหนุนหลัง ชาวบ้าน หรือพวกหลิวเค่อ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า มีอำนาจของตระกูล ไม่ว่าจะตระกูลใหญ่หรือเล็กก็น่าจะไม่ขาดแคลนสถานที่ฝึกเช่นนี้ มีเพียงแต่กลุ่มคนที่ไม่มีฐานอำนาจถึงได้มีความจำเป็นในสถานที่เช่นนี้

“ข้ากล้าแน่ใจได้เลยว่าภายในตำหนักเทพจะต้องมีวิธีการฝึกที่เหมาะสมกับตัวเองให้แก่คนเหล่านี้อย่างแน่นอน” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็พูดขึ้น

“เพียงแต่ว่าเพื่ออะไรกัน?” ไป๋สี่เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ เป็นการทำเพื่อการกุศลจริงๆ นะหรือ?

“ตอนนี้ยังไม่รู้” มู่ชิงเกอตอบคำตอบที่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกเหนือความคาดหมายขึ้นมา

เห็นสายตาของพวกนางที่มองมายังตนเองอย่างตะลึงแล้ว มู่ชิงเกอก็ขบขันเอ่ยว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าจะรู้ไปทุกเรื่องหรืออย่างไรกัน? อะไรก็รู้ไปหมดงั้นหรือ? จากที่ข้าดู จุดมุ่งหมายที่จะทำเช่นนี้นั้นมีสองอย่าง อย่างแรกก็คือ ทำสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาก็เพื่อสะดวกในการคัดเลือกผู้รับใช้เทพ จากการแบ่งระดับของพวกเขาก็สามารถมองออกได้ว่าไม่ว่าอยู่ระดับไหนก็ล้วนแต่ทำเพื่อรับใช้เทพ ทั้งสามารถคัดเลือกคนที่เหมาะสม ทั้งสามารถได้รับชื่อเสียงที่ดีจากประชาชน ทำไมถึงจะไม่ทำ? อีกอย่าง ก็คือทั้งหมดนี้ก็เพื่อผลักดันชื่อเสียงของตำหนักเทพในหมู่ประชาชน แต่อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เชื่อเรื่องเทพ ดังนั้นการล้างสมองเช่นนี้เป็นอะไรที่ข้าคิดว่าดูหลอกลวงมากที่สุด”

นางเพิ่งจะหลุดพูด บางอย่างออกไป เสวี่ยหยาก็รีบเอ่ยเตือนในทันที “นายน้อยระวังคำพูดด้วย!”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เข้าใจความหมายของเสวี่ยหยา

ยืนอยู่ภายในตำหนักเทพ แต่กลับพูดนินทาตำหนักเทพ หากว่ามีคนได้ยินเข้า เกรงว่านางจะก่อปัญหาใหญ่แล้ว

“ไปเถอะ พวกเราไปทำเรื่องของพวกเรากัน” มู่ชิงเกอยิ้มออกมา มุ่งไปยังป้ายหินทั้งสองแผ่นนั้น

เสวี่ยหยามองออกไปรอบด้าน เมื่อพบว่าไม่มีคนสนใจในพวกนางแล้ว ถึงได้ถอนหายใจ ซึ่งนี่ก็ได้ทำให้นางถูกไป๋สี่หัวเราะเยาะ “เจ้าเปลี่ยนเป็นขี้กลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เสวี่ยหยามองนางแวบหนึ่ง นัยน์ตาของนางเปล่งประกายใสสะอาด “ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้เกิดปัญหาที่ไร้สาระกับนายน้อยก็เท่านั้น”

“เจ้าช่างจงรักภักดีจริงๆ” ไป๋สี่เอ่ยอย่างขบขัน พูดแล้วนางก็ตามมู่ชิงเกอไป

เสวี่ยหยายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง แล้วก็เดินตามพวกนางไป

เพียงแต่ว่า เพิ่งจะเดินไปก้าวหนึ่ง ก็มีมือข้างหนึ่งขวางอยู่ตรงหน้าของนาง นัยน์ตาของนางเกิดความระแวงระวังขึ้นชั่วขณะ มองไปยังคนที่มา

“แม่นาง เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียว มีอะไรต้องการให้ช่วยเหลือหรือไม่?” คนที่ขวางเสวี่ยหยาเอ่ยปากพูด นํ้าเสียงฟังดูเป็นมิตรมาก แต่ก็มาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเกินไป

เสวี่ยหยามองไปยังเขา ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นชายหนุ่มสวมชุดสีขาวรูปร่างสูงใหญ่ ชุดสีขาวดูเรียบง่าย แต่กลับทำให้เขาเผยกลิ่นไอที่ดูสูงส่งออกมา บนผ้าที่ทอด้วยฝีมือการทอชั้นสูง ทุกชายขอบ ทั้งขอบคอเสื้อ ขอบข้อมือล้วนแต่ถูกปักทออย่างประณีต เมื่อมองเห็นก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา แต่รูปลักษณ์ ของเขา…ภายใต้สายตาของเสวี่ยหยาที่อยู่กับมู่ชิงเกอทุกๆ วัน กับผู้ชายคนอื่นจึงดูหน้าตาธรรมดาไปหมด

นางกำลังพิจารณาดูคนที่มา คนที่มาก็กำลังมองดูนาง

ยิ่งมอง ความตกตะลึงในดวงตาก็ยิ่งลํ้าลึกขึ้น ดูสนใจมากยิ่งขึ้น ‘งาม งดงามจริงๆ! ผู้หญิงที่ดูสง่างาม สูงส่ง เย็นชาเช่นนี้ก็หาพบได้ยากยิ่งนัก’

“ข้าไม่ได้มาคนเดียว” เสวี่ยหยาถอนสายตากลับ ตอบไปสั้นๆ จบประโยค

นางเดินผ่านคนที่ขวางทางไปในทันที มุ่งหน้าไปยังป้ายหิน

ชายหนุ่มไม่ได้ขวางการจากไปของนาง แต่สายตากลับจ้องมองไปยังแผ่นหลังของนางตลอดเวลาอย่างอาลัยอาวรณ์

“ที่แท้ป้ายหินสองแผ่นนี้ก็คือทำเนียบชิงอิงกับทำเทียบฉูเฟิ่งนี้เอง” มู่ชิงเกอมองไปยังเนื้อหาบนแผ่นหิน แล้วก็เอ่ยออกมา

บนแผ่นหินขนาดใหญ่สองแผ่นนี้ แบ่งออกเป็นทำเนียบชิงอิงกับทำเทียบฉูเฟิ่ง ต้านล่างมีรายชื่อของคน ใต้ชื่อของทุกๆ คนล้วนแต่มีอักษรเล็กๆ แถวหนึ่ง เพื่อบอกคะแนนการรบล่าสุดของพวกเขา

มู่ชิงเกอไม่ได้มองไปยังทำเนียบชิงอิงในทันที แต่กลับมองไปยังทำเนียบฉูเฟิ่งก่อน

บนทำเนียบฉูเฟิ่ง นางมองไปเห็นชื่อของคนที่นางคุ้นเคย เจี่ยงเทียนเฮ่า

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง สนใจไปที่ลำดับของเขาบนทำเนียบฉูเฟิ่ง อยู่ในลำดับที่ 38 ใส่ชื่อของเขา เขียนอักษรเล็กๆ ไว้แถวหนึ่งซึ่งมีเนื้อหาว่า ‘สองเดือนก่อน นอกเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ต่อสู้กับผู้กล้าไร้นาม แพ้ตัดขาของน้องชาย เก็บตัวทะลวงสู่ระดับสีเทาชั้นหกล้มเหลว’

เรื่องราวที่ดูคุ้นเคยทำให้มู่ชิงเกอเกิดความเข้าใจขึ้นมา

‘ผู้กล้าไร้นาม’ คนนั้นน่าจะเป็นตัวเอง และก็รู้ว่าที่แท้ เจี่ยงเทียนเฮ่าก็ล้มเหลวในการทะลวงสู่ระดับสีเทาชั้นหก

“แค่ก แค่ก เจี่ยงเทียนเฮ่านี่ก็ถือว่าโหดทีเดียว ถึงกลับตัดขาของน้องชายตนเอง”

ข้างกายของมู่ชิงเกอ มีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ทำให้นางหันไปมอง

“นั่นนะสิ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเขา พูดกันว่าเขาไม่เพียงแต่โหดกับคนรอบกาย แม้แต่กับตัวเองก็ยังโหด แม้แต่ประมุขตระกูลเจี่ยงก็ควบคุมไม่อยู่ บ้าขึ้นมาไม่สนแม้แต่สายเลือด”

“เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาต่อสู้กับคนอื่น แต่พอแพ้แล้วทำไมถึงต้องตัดขาของน้องชายตนเองด้วย?”

“เรื่องนี้ข้ารู้! ข้ามาจากเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง น้องชายของเจี่ยงเทียนเฮ่านั้นเป็นคนไม่เอาไหนที่มีชื่อของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ชอบรังแกผู้หญิง ทั้งยังชอบทรมานผู้หญิงจนทำให้แทบไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์หลังจากนั้นก็ถูกตามล้างแค้น ถูกผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความเป็นมาไม่แน่ชัดลอบฆ่า แต่น่าเสียดาย การลอบฆ่าครั้งนั้นล้มเหลว ทั้งยังถูกคนของตระกูลเจี่ยงหาเจอ เจี่ยงเทียนเฮ่าเสนอมาว่า ต่อสู้กับเขาครั้งหนึ่ง หากเขาชนะก็จะตัดมือขวาของผู้หญิงที่มาลอบฆ่าน้องชายของเขา ถ้าหากเขาแพ้ ก็จะตัดขาของน้องชายของเขาเพื่อจบเรื่องนี้”

คำพูดที่ออกมาจากคนผู้นี้ดึงดูดความสนใจจากคนที่อยู่รอบด้าน ส่วนมู่ชิงเกอก็ยืนอยู่เงียบๆ คอยฟังเช่นเดียวกัน

เสวี่ยหยาเข้ามาใกล้ๆ เห็นนางสนใจเรื่องอื่นก็ไม่ได้พูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ออกมา เพียงแต่สายตาลอบมองไปด้านหลัง ก็พบว่าชายหนุ่มเมื่อครู่ยังคงจ้องมองมาที่นาง ทำให้ในใจของนางเกิดความรู้สึกรำคาญ

“คนที่ทำให้เจี่ยงเทียนเฮ่าพ่ายแพ้นั้นเป็นผู้หญิงงั้นหรือ?” มีคนถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ

“แน่นอนว่าไม่ใช่ พูดถึงคนผู้นั้นก็ลึกลับมาก ข้ารู้เพียงแต่ว่า ตระกูลเล่อหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงถูกล้างตระกูลภายในคืนเดียวก็เกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น ซึ่งหลังจากเจี่ยงเทียนเฮ่ารู้เรื่องนี้แล้ว ก็ถึงได้ไปหาเพื่อประลองฝีมือ”

“คนผู้นั้นมีความสัมพันธ์อะไรกับผู้หญิงคนนั้นงั้นหรือ? เหตุใดจึงทำให้พวกเขาใช้นางเป็นเดิมพันในการต่อสู้ได้?” มีคนที่ยิ่งฟังก็ยิ่งสงสัยถามขึ้นมา

“นั่นเป็นเพราะผู้หญิงที่ลอบฆ่าน้องชายของเจี่ยงเทียนเฮ่านั้นมีความเกี่ยวข้องเป็นอย่างมากกับชายลึกลับคนนั้น ว่ากันว่าหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นลอบฆ่าเจี่ยงเทียนอี้ไม่สำเร็จแล้ว ก็ถูกคนของตลาดมืดจับตัวไปประมูล ชายลึกลับคนนั้นก็อยู่ในงานประมูลในคืนนั้นใช้เงินทองมากมายกดดันห้าตระกูลแห่งเมืองอวี๋สุ่ยเฉิงซื้อหญิงผู้นั้นกลับมา ยังมีคนพูดอีกว่าดูเหมือนพวกเขาจะรู้จักกันมาก่อน”

“อา—–!”

ผู้ชายกลุ่มหนึ่งถอนหายใจออกมา สายตาที่รู้กันระหว่างผู้ชายเช่นนั้นทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกทั้งอยากจะร้องไห้และหัวเราะ

เอาเถอะ นางยอมรับว่าเรื่องที่ถูกเล่าลือออกมานั้นมีความจริงถึงแปดในสิบส่วน โลกใบนี้ไม่มีความลับเลยจริงๆ

“คนลึกลับผู้นั้นเป็นใครกันแน่?” ในตอนนี้ก็มีคนเกิดความสนใจในคนลึกลับภายในเรื่อง

แต่น่าเสียดายที่ชายคนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องในเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง ก็ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง แสดงออกมาว่าตนเองก็ไม่รู้อย่างชัดเจน

มู่ชิงเกอดึงความสนใจกลับคืนมา ไม่ได้ไปสนใจเรื่องนี้อีก

นางมองไปยังทำเนียบฉูเฟิ่งต่อ ในตำแหน่งที่ห่างจากเจี่ยงเทียนเฮ่าไปไม่ไกลนัก ก็มีชื่อคนที่คุ้นเคยโผล่ขึ้นมาอีก

เซิ่งอวี้หลี!

นายน้อยตระกูลเซิ่งที่ชอบฉินอี้เหยาก็อยู่บนรายชื่อ เพียงแต่ว่า ลำดับของเขานั้นอยู่ไปถึงตำแหน่งที่ 107 คะแนนการรบล่าสุดของเขานั้นหยุดเคลื่อนไหวไป ตั้งแต่หนึ่งปีก่อน

‘เจี่ยงเทียนเฮ่ามีระดับพลังสีเทาชั้นห้า อยู่ลำดับที่สามสิบแปด เซิ่งอวี้หลีมีระดับพลังสีเทาชั้นสาม อยู่ลำดับที่ 107 ส่วนผู้หญิงแซ่ซางที่หานฉายไฉ่เคยพูดถึงนั้น มีระดับพลังสีเทาชั้นสี่ อยู่ลำดับที่ 126 บนทำเนียบฉูเฟิ่งของภาคตะวันตก ระดับพลังสีเทาชั้นสี่ ก็ยังต้องอยู่ลำดับที่ 126 พลังของรุ่นเยาว์ในภาคตะวันตกแข็งแกร่งยิ่งกว่าภาคใต้หลายเท่านัก’ มู่ชิงเกอสรุปอยู่ในใจ

เริ่มรู้ถึงความห่างของพลังโดยประมาณระหว่างภาคใต้และภาคตะวันตกแล้ว ภาคใต้ถูกเรียกว่าเป็นภาคที่อ่อนแอที่สุดในโลกแห่งยุคกลาง ดูแล้วก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล ทันใดนั้นบนทำเนียบฉูเฟิ่งก็มีชื่อของคนๆ หนึ่งหายไป คนที่มีลำดับอยู่หลังเขาก็ล้วนแต่เลื่อนขึ้นมาหนึ่งขั้น ในหลังรายชื่อของสิบกว่าคนที่เลื่อนลำดับ มีชื่อคนใหม่โผล่ขึ้นมาหนึ่งชื่อ

“อ้า! บนทำเนียบฉูเฟิ่งมีคนตกขั้นไปอีกแล้ว” ข้างกายมีเสียงถอนหายใจดังเข้ามา

นี่ทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

คนบนทำเนียบ หากว่าตายก็จะถูกลบชื่อ แล้วรายชื่อก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกัน หากมีคนใหม่เพิ่มเข้ามา ก็จะอิงตามพลัง ถูกใส่เข้าไว้ในลำดับรายชื่อ เมื่อถึงตรงนี้บนทำเนียบฉูเฟิ่งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เจี่ยงเทียนเฮ่าเปลี่ยนตำแหน่งไป ตำแหน่งของคนที่อยู่ ตำแหน่งด้านหน้าของเขา กลายเป็นลำดับที่ 37 ส่วนด้านหน้าของเขาก็มีชื่อเพิ่มขึ้นมา เพียงแต่…

“ไร้นาม? ใครกัน? ไม่ให้สุ่มให้เสียงก็ขึ้นมาจนถึงลำดับที่ 36 แล้ว?”

“เกิดชื่อแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน?”

“รีบดูว่าเขามีคะแนนการรบอะไร!”

เกิดการพูดคุยรอบด้าน นี่ก็ทำให้มู่ชิงเกอค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น

ในตอนนี้ ด้านล่างของ ‘ไร้นาม’ ก็มีตัวอักษรเล็กๆ ปรากฏอยู่ ‘สองเดือนก่อนหน้านี้นอกเมืองอวี๋สุ่ยเฉิง เอาชนะเจี่ยงเทียนเฮ่า เพราะว่าไม่รู้ชื่อ จึงต้องใช้ไร้นามแทนชั่วคราว หลังจากสืบรู้แล้วจะเปลี่ยนตามหลัง’

ทุกคนตกตะลึง มู่ชิงเกอก็เข้าใจเช่นเดียวกัน ตัวเองถึงกับขึ้นทำเนียบแล้ว! ทั้งยังใช้ชื่อว่าไร้นาม

คำว่า ‘ไร้นาม’ ถูกตั้งเป็นประเด็นพูดคุย แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า ‘ไร้นาม’ คนนั้นยืนอยู่ในหมู่ของพวกเขา มู่ชิงเกอเงยหน้ามองท้องฟ้าบนตำหนักเทพ แต่ในใจกลับรู้สึกมืดครึ้ม

‘ตำหนักเทพนั้นเป็นองค์กรอย่างไรกันแน่? ถึงได้มีความสามารถในการสืบข่าวถึงขนาดนี้ สามารถสืบคะแนนการรบของคนเหล่านี้และรู้ถึงความเป็นความตายของพวกเขาได้อย่างไร?’ ในใจของมู่ชิงเกอเกิดความสงสัย กองกำลังเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ นางกล้าพูดได้เลยว่า หากว่านางไม่ได้มาจากทวีปหลินชวนแล้ว เกรงว่าต้องสืบเรื่องนี้จนชัดเจนไปนานแล้ว บนแผ่นหินก็บอกแล้วว่ายังคงตามหานางต่อ เกรงว่าอีกไม่นาน สถานะของนางก็คงจะถูกเปิดเผย

‘ดูท่า หากไม่อยากมีชื่อเสียงก็ต้องถ่อมตัวสักหน่อยแล้ว’ มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว นางไม่สนใจหากคนเหล่านั้นจะรู้ว่านางมาจากทวีปหลินชวน แต่กลับไม่สบายใจหากมีคนคอยจับตาดูนางทุกฝีก้าว

ก็เหมือนที่นางพูดกับหานฉายไฉ่ว่านางไม่ได้อยากจะอยู่ในทำเนียบชิงอิงหรือว่าทำเนียบฉูเฟิ่ง!

ถอนสายตากลับจากท้องฟ้า มู่ชิงเกอก็เดินไปทางฝั่งของทำเนียบชิงอิง ทำตัวเป็นว่าประเด็น ‘ไร้นาม’ ของฝั่งทางทำเนียบฉูเฟิ่งไม่เกี่ยวข้องกับนาง

เสวี่ยหยากับไป๋สี่เดินอยู่ด้านหลังของนาง รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ไม่ดีของนางแล้วจึงล้วนแต่เงียบไม่พูดอะไรออกมา

ส่วนคนที่จ้องมองเสวี่ยหยาคนนั้น เมื่อเห็นพวกนางเดิน

ไปทางทำเนียบชิงอิงก็นำลูกน้องเดินตามไป บนทำเนียบชิงอิง มีชื่อคนเพียงหนึ่งร้อยคน รูปแบบก็เป็นเช่นเดียวกันกับทำเนียบฉูเฟิ่ง ล้วนแต่มีคะแนนการรบล่าสุดของพวกเขาอยู่ใต้ชื่อ เพียงแต่ว่าคนบนนั้น มู่ชิงเกอไม่รู้จักเลยสักคน ทำเนียบชิงอิงเป็นการรวมเอาผู้กล้าทั้งหมดของทั้งห้าภาคมาแล้วคัดเลือก ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในพลังระดับสีเงิน และอายุอยู่ระหว่างยี่สิบถึงสี่สิบปีเท่านั้น ถ้าหากว่าตอนที่มู่ชิงเกอทะลวงระดับแล้วไม่ได้กดให้พลังอยู่ในระดับพลังสีเทาชั้นหก นางในตอนนี้ก็คงจะอยู่ในมาตรฐานของทำเนียบชิงอิงแล้ว เพียงแต่ถึงจะมีคะแนนการรบที่สวยงามมา ก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้อยู่บนทำเนียบ

เพิ่งเข้ามาภายในโลกแห่งยุคกลางไม่ถึงปีก็สามารถมีชื่อบนทำเนียบชิงอิงได้นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เพียงแต่น่าเสียดายที่มู่ชิงเกอไม่สนใจ

“คุณชายท่านนี้…” อยู่ๆ ก็มีเสียงเอ่ยทักขึ้นมา

มู่ชิงเกอหันกายกลับไปมองคนที่ปรากฏตัวขึ้น บนใบหน้าที่ดูหล่อเหลามีรอยยิ้มอย่างมีมารยาท แต่ว่า ท่าทางบนหว่างคิ้วมักทำให้คนรู้สึกถึงความยึดมั่นถือมั่น ความรู้สึกเช่นนี้..

ก็เหมือนกับตอนที่นางพบจิ่งเทียนครั้งแรก เพียงแต่ว่า ความหยิ่งและมั่นใจของคนๆ นี้หากเทียบกับจิ่งเทียนแล้วก็เพิ่มความรู้จักสำรวมเก็บงำอยู่บ้าง

“คุณชายคือ…” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถามออกไป นางไม่ได้สนใจไปยังเสวี่ยหยาที่ยืนอยู่ข้างหลังของนาง ว่าเผยท่าทางที่ดูเหมือนรำคาญออกมา

“อา! ข้าชื่อว่าจิงฟ่งอวี่ ขอถามชื่อของคุณชาย?” จิงฟ่งอวี่ถูกรูปลักษณ์ของมู่ชิงเกอทำให้ตกตะลึง พริบตาเดียว ก็รู้สึกสติหลุด ความสนใจก่อนหน้านี้ของเขาล้วนอยู่ที่ร่างของเสวี่ยหยา เพียงแต่เห็นนางเดินอยู่ข้างกายของคุณชายชุดสีแดง คนหนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเดินเข้ามาดู คุณชายชุดสีแดงคนนี้กลับมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ ผู้หญิงที่ตัวเองถูกใจก่อนหน้านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นด้อยลงมามาก

คุณชายชุดสีแดงตรงหน้าดุจดั่งเปลวไฟราวกับสุราร้อนแรง หว่างคิ้วที่ดูห้าวองอาจนั้นก็ดึงดูดคน ยิ่งไม่ต้องพูด ถึงรูปลักษณ์ของเขาที่งดงามจนหาที่เปรียบไม่ได้ ยากที่จะแยกออกว่าเป็นชายหรือหญิง

ในนาทีนั้นจิงฟ่งอวี่ก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเองถูกโจมตีอย่างรุนแรง เกือบจะตกลงไปแล้ว ดีที่เขาได้สติขึ้นมาได้ทัน เตือนตัวเองว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นผู้ชาย นี่ถึงไม่ได้ถลำลึกลงไป

“มู่ชิงเกอ” มู่ชิงเกอคิดว่าชื่อของตัวเองไม่ได้มีอะไรจะต้องปิดบัง เพียงแต่ชื่อของจิงฟ่งอวี่นี้ทำให้นางคุ้นๆ เหมือนจะเคยพบเจอมาจากที่ไหน

ในตอนที่สายตาของนางกวาดมองไปบนทำเนียบชิงอิง ก็ไปหยุดอยู่ที่ชื่อของคนลำดับที่ 27 คนที่อยู่ลำดับที่ 27 บนทำเนียบชิงอิง ชื่อว่า ‘จิงฟ่งอวี่’ ชื่อเหมือนกันกับคนตรงหน้าเช่นนั้น…คนเดียวกันงั้นหรือ?

“ที่แท้ก็เป็นคุณชายจิง” มู่ชิงเกอเอ่ย แซ่จิงนี้ทำให้นางเกิดความสนใจ เพราะว่าหานฉายไฉ่เคยบอกนางว่า อาจารย์ทะลวงสวรรค์ในภาคกลางก็คือตระกูลจิง ตระกูลนี้มีความสามารถที่จะสื่อสารกับสัตว์อสูรวิญญาณ สัตว์เทพและสัตว์มหาเทพได้ ส่วนลูกศิษย์ของนางก็แซ่จิงเช่นเดียวกัน

เพียงแต่หานฉายไฉ่เคยบอกว่า ตามปกติแล้วคนของตระกูลจิงจะไม่ออกจากภาคกลางไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เหตุใดจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้?

“เอ? คุณชายมู่ร้จักข้าด้วยหรือ?” น้ำเสียงของมู่ชิงเกอทำให้ในใจของจิงฟ่งอวี่รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่เขาก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยพูดขึ้นมาว่า “คุณชายมีแซ่มู่ แต่จากที่ข้ารู้มา ดูเหมือนว่าภายในบรรดาตระกูลใหญ่จะไม่มีแซ่มู่เลย”

“ตระกูลมู่เดิมก็เป็นเพียงแค่ตระกูลเล็กๆ ไม่มีค่าพอให้จดจำ” มู่ชิงเกอเอ่ย แต่ก็ไม่ได้มีอารมณ์ที่ดูอดสูหรือตํ่าต้อยเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้จิงฟ่งอวี่ยิ่งสงสัย รู้สึกว่าการพูดและท่าทางของเขาไม่ได้ดูเหมือนว่ามาจากตระกูลเล็กที่ไร้ชื่อเสียงเลย “สำหรับชื่อของคุณชายจิง…” สายตาของมู่ชิงเกอเหลือบไปมองบนทำเนียบชิงอิง แล้วก็ชี้มือไป

จิงฟ่งอวี่หันไปตามทิศที่มือชี้ไปแล้วก็เข้าใจในทันที เขาหัวเราะและเอ่ยว่า “เป็นเพียงแค่ชื่อเสียงที่ไม่มีประโยชน์เท่านั้น”

แต่หว่างคิ้วของเขาก็เผยความได้ใจและภูมิอกภูมิใจออกมา แต่เดิมเขาคิดที่จะใช้การพูดคุยเพื่อใกล้ชิดกับเสวี่ยหยาเท่านั้น แต่ว่าหลังจากที่ได้พูดคุยกับมู่ชิงเกอแล้ว ก็ค่อยๆ ลืมเรื่องของเสวี่ยหยาไป จนกระทั่งเมื่อมองเห็นไป๋สี่ที่ดูสง่าและสูงส่ง นัยน์ตาของเขาก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วก็ค่อยเอาความสนใจมาอยู่บนตัวของมู่ชิงเกอ

“คุณชายจิงเรียกข้า…” มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ ท่าทางเช่นนี้ทำให้จิงฟ่งอวี่จิตใจหวั่นไหวมากยิ่งขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอาลัยอาวรณ์กับผู้ชายคนหนึ่ง และก็เป็นเพราะผู้ชายคนหนึ่งทำให้สติหลุดเพียงเพราะ รอยยิ้มเดียว และก็รู้สึกว่าในใจสับสนวุ่นวาย

“อา ข้าเห็นคุณชายสนใจในทำเนียบชิงอิงจึงเดินเข้ามาถาม” เมื่อถูกถามถึงจุดมุ่งหมายที่มา จิงฟ่งอวี่จึงตอบไปอย่างส่งๆ

คำพูดแก้ตัวเช่นนี้เหตุใดมู่ชิงเกอจะฟังไม่ออก? เพียงแต่ว่า นางก็ไม่ได้ไปเปิดโปง เพียงแต่ยิ้มๆ หลุบตาลง

จิงฟ่งอวี่จ้องมองนาง นัยน์ตาฉายแวววาววาบ เอ่ยปากเชิญ “หากว่าคุณชายมู่ไม่มีธุระอะไรต่อ ไม่สู้พวกเราไปหาที่นั่ง ข้าคุ้นเคยกับบรรดาคนบนทำเนียบชิงอิงอยู่บ้าง สามารถเล่าให้คุณชายมู่ฟังได้”

เดิมทีมู่ชิงเกอคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อได้ยินคำพูดประโยคหลังของเขาแล้ว ก็เปลี่ยนความคิด “เช่นนั้นก็ขอรบกวนแล้ว”

“ไม่รบกวนๆ!” เมื่อได้ยินมู่ชิงเกอยอมตกลง นํ้าเสียงของจิงฟ่งอวี่ก็สูงขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

พวกมู่ชิงเกอทั้งสามคนตามจิงฟ่งอวี่จากไป

ในขณะที่เดิน นางก็มองไปยังอาคารของตำหนักเทพเหล่านั้น ในใจลอบเอ่ยว่า ‘คงต้องมาอีกทีพรุ่งนี้เสียแล้ว’

วันนี้แต่เดิมนางคิดว่าหลังจากทำความเข้าใจกับ ทำเนียบชิงอิงและทำเนียบฉูเฟิ่งแล้วก็จะสามารถไปสืบเรื่องประวิดิศาสตร์ของโลกแห่งยุคกลางแล้วก็ยังมีเรื่อง ราวของภาคใต้ต่อ

“นายน้อย คนผู้นั้นมีความคิดแอบแฝง” บนเส้นทาง เสวี่ยหยาเข้ามากระซิบที่ข้างหูของมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ เอ่ยตอบไปว่า “ข้ามีขอบเขตของข้า”

เสวี่ยหยาทำได้เพียงพยักหน้า เดินตามไปด้านหลังของเขา

จิงฟ่งอวี่นำพวกนางออกมาจากตำหนักเทพ เดินไปยังร้านนํ้าชาที่อยู่นอกตำหนักเทพไปไม่ไกล ร้านนํ้าชานี้มีขนาดใหญ่มาก ไม่ใช่รูปแบบของร้านค้าทั่วไป แต่เป็นเหมือนสวนอันแสนสงบท่ามกลางเมืองอันคึกคัก

จิงฟ่งอวี่ดูเหมือนว่าจะเป็นขาประจำของที่นี่ นำทางพวกมู่ชิงเกอทั้งสามคนไปหลังร้านอย่างคุ้นเคย ไม่ต้องใช้คนนำทาง ส่วนบ่าวในร้าน เมื่อมองเห็นเขามาแล้ว ก็ไปจัดเตรียมอุปกรณ์ชงชา อาหารว่างและนํ้าชาที่เขาชอบในทันที

“คุณชายมู่ เชิญทางนี้” จิงฟ่งอวี่เปิดประตูเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง เอ่ยปากเชิญมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอก้าวเข้าไปด้านใน มองการตกแต่งด้านในห้อง ห้องนี้ไม่ใหญ่มาก แต่การตกแต่งกลับดูหรูหรา ด้านหลังยังมีแท่นริมน้ำ ด้านบนมีม่านกั้น พร้อมกับวางฟูกที่นั่งเอาไว้ มีกระถางควันหอมส่งกลิ่นหอมลอยออกมา บรรยากาศของฉากภาพอันงดงาม ฉากดอกบัวพลิ้วไปกับสายลม งดงามจนไม่อยากละสายตา

มู่ชิงเกอถูกจิงฟ่งอวี่นำมาที่นั่งแล้วนั่งลง ส่วนตัวเขาก็นั่งอยู่ตรงกันข้ามกันกับมู่ชิงเกอ

เสวี่ยหยากับไป๋สี่แยกกันนั่งลงข้างหลังของมู่ชิงเกอทั้งซ้ายและขวา ส่วนคนที่เขานำมาด้วยทั้งสองคนก็ล้วนแต่นั่งอยู่ด้านหลังของเขาเงียบๆ ซ้ายขวาเช่นกัน

ไม่นาน ก็มีสาวใช้รูปร่างงดงามเข้ามา คุกเข่าอยู่ระหว่างทั้งสองคนชงชาและจุดกำยานหอมให้พวกเขา

สาวใช้อีกคนถือกู่เจิ้งเข้ามา นั่งลงอีกข้าง พรมนิ้วลงบนกู่เจิ้ง เกิดเสียงกู่เจิ้งขึ้นภายในห้อง

“คุณชายมู่หากสนใจคนบนทำเนียบชิงอิง ที่จริงแล้วควรสนใจเพียงแค่คนห้าคนก็พอ” จิงฟ่งอวี่เอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอยิ้มๆ รอคำพูดต่อไปของเขา

จิงฟ่งอวี่เห็นว่าสามารถดึงความสนใจของมู่ชิงเกอได้ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพูดไปตามตรงเอ่ยต่อว่า “คนห้าคนนี้ ก็คือลำดับหนึ่งถึงห้าบนทำเนียบชิงอิง แบ่งเป็นอันดับหนึ่งตระกูลเว่ย เว่ยมั่วลี่แห่งภาคกลาง อันดับสอง ตระกูลจี จีเหยาฮั่วแห่งภาคเหนือ อันดับสามตระกูลเหยา เหยาชิงไห่แห่งภาคตะวันออก อันดับสี่ตระกูลอิ๋ง อิ๋งเจ๋อแห่งภาคตะวันตก อันดับห้าตระกูลซี ซีเซียนเสวี่ย แห่งภาคกลาง”

คนทั้งห้าคนนี้ เป็นรายชื่อที่มู่ชิงเกอเคยเห็นในทำเนียบชิงอิงมาก่อนหน้านี้ในตอนนั้นนางยังสงสัยว่าในภาคใต้ ถึงกับไม่มีสักคนที่สามารถขึ้นไปถึงลำดับหนึ่งในห้าได้ ส่วนภาคกลางกลับมีถึงสองคน

“คนทั้งห้าคนนี้ ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะ ที่น่ากลัวก็คือ พวกเขาอัจฉริยะก็แล้วไปแต่กลับล้วนแต่มีความเร็วในการฝึกพลังที่บ้าคลั่งมาก ภายในคนทั้งห้า คนที่มีอายุมากที่สุด ก็คือเว่ยมั่วลี่ ที่อายุสามสิบปีแล้ว ที่อายุน้อยที่สุดก็คือซีเซียนเสวี่ย เพิ่งจะยี่สิบสองปี แต่ระดับพลังของพวกเขา ล้วนแต่อยู่เหนือระดับพลังสีเงินชั้นสี่ขึ้นไปทั้งหมด ลือกันว่าเว่ยมั่วลี่ได้ทะลุระดับพลังชั้นสีเงินเข้าสู่ระดับพลังสีทองแล้ว”

ท่าทางที่ดูผยองและภาคภูมิใจของจิงฟ่งอวี่ หายไปอย่างหมดจดในตอนที่พูดถึงคนทั้งห้า

ระดับพลังสีเงินขั้นสี่!

ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้ง คนที่อยู่ลำดับหนึ่งถึงห้าบนทำเนียบชิงอิง อายุล้วนแต่พอๆ กับนาง แต่ระดับพลังกลับสูงกว่านางหลายขั้น ความกดดันโผล่ออกมาชั่วขณะ

“ห่างจากเวลาที่ลำดับบนทำเนียบชิงอิงจะเปลี่ยนแปลงอีกปีครึ่ง และก็ไม่รู้ว่าลำดับชื่อของห้าคนนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกหรือไม่” จิงฟ่งอวี่เอ่ยออกมา

“คุณชายจิงก็อยู่บนทำเนียบชิงอิง และก็เป็นผู้กล้ารุ่นเยาว์ของโลกแห่งยุคกลาง แต่ทว่า คุณชายจิงไม่ใช่ว่าอยู่ภาคกลางมิใช่หรือ? เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่ภาคใต้ ได้?” มู่ชิงเกอเอ่ยไปงั้นๆ พูดจบแล้ว นางก็ยกชาตรงหน้าขึ้นมาวางแนบริมฝีปาก แล้วเป่า จากนั้นก็จิบเล็กน้อย

จิงฟ่งอวี่ชะงัก หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “มีเรื่องต้องจัดการ”

เขายังไม่ได้ไร้สติจนพูดจุดมุ่งหมายที่ตนเองมาภาคใต้ออกมาให้มู่ชิงเกอฟังทั้งหมด มิเช่นนั้น เขาก็คงไม่รู้จะมองหน้ากับคนอื่นๆ ในตระกูลได้อย่างไร

เขาตอบไปส่งๆ มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ไล่ถามต่อ เพียงแต่วางจอกชาลง ยิ้มออกมา เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นไม่ทราบว่า ตระกูลจิงมีญาติสายรองในภาคใต้หรือไม่?”

นี่เป็นการถามแทนจิงไห่ เพราะว่าแซ่จิงของเขานี้ดูพิเศษมาก

“ญาติสายรองงั้นหรือ? จะมีได้อย่างไร?” จิงฟ่งอวี่เอ่ยปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด

เขามองมู่ชิงเกออย่างสงสัยและเอ่ยว่า “เหตุใดคุณชายมู่ จึงถามเช่นนี้? หรือว่าพบคนที่อ้างว่าเป็นคนตระกูลจิงในภาคใต้มาหลอกลวงงั้นหรือ?”

“อ้างชื่อหลอกลวง?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเกิดความสงสัยขึ้น

จิงฟ่งอวี่พยักหน้า “ภายในโลกแห่งยุคกลางนั้น สถานะอาจารย์ทะลวงสวรรค์ของตระกูลจิงไม่ใช่ความลับอะไร ดังนั้นจึงมีบรรดาคนต่ำช้าแอบอ้างชื่อของตระกูลจิง หลอกลวงคนภายนอก บอกว่าสามารถช่วยพวกเขาฝึกสัตว์อสูรให้เชื่องได้ เพียงแต่ว่า ที่พวกเขาใช้นั้นคือวิชาชั้นต่ำ ทำให้สัตว์อสูรวิญญาณไม่มีสติไม่อาจจะต่อต้านได้ ซึ่งไม่ได้ทำให้มันเชื่องจริงๆ หลังจากเอารางวัลจากไปแล้ว สัตว์อสูรก็ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา หากโชคดีสัตว์อสูรก็บ้าคลั่งหนีไป หากโชคร้ายก็ถูกสัตว์อสูรวิญญาณล้างแค้นก็มี”

“ถึงกับมีเรื่องเช่นนั้นด้วยงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอรู้สึกแปลกใจจริงๆ นางคิดไม่ถึงว่าภายในโลกแห่งยุคกลางก็มีการต้มตุ๋นหลอกลวงเช่นนี้อยู่ด้วย นางอดไม่ได้ที่จะเหนื่อยใจกับคนเหล่านี้จริงๆ กล้าปลอมเป็นคนตระกูลจิง ก็ไม่กลัวตายเลยรึไง?

“เช่นนั้นตระกูลจิงไม่ไปจัดการหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

จิ่งฟ่งอวี่ยิ้มเย็น เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “จะไม่จัดการได้อย่างไร? ชื่อเสียงของตระกูลจิงไม่อาจจะด่างพร้อยได้ ตระกูลจิงส่งคนกลุ่มหนึ่งออกมาจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ ทันทีที่พวกเราได้ข่าวว่ามีพวกต้มตุ๋นเหล่านี้ปรากฏตัว ก็จะส่งคนออกมาสืบหาความเคลื่อนไหวก่อน จากนั้นก็จะจับกลับไปที่ตระกูลเพื่อจัดการ”

พูดจบเขาก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่ได้พบคนเช่นนี้หรือไม่? หากว่าพบแล้วก็สามารถบอกข้าได้ข้าจะระบายความแค้นให้”

“ไม่มี” มู่ชิงเกอยิ้มๆ ส่ายหน้า

“เช่นนั้น…” จิงฟ่งอวี่ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ดูเหมือนจะเดาไม่ออกว่าในเมื่อมู่ชิงเกอไม่ได้พบเจอคนแซ่จิงแล้วทำไมถึงได้ถามคำถามเมื่อครู่ออกมา

“ข้าถามไปเฉยๆ ก็เท่านั้น” มู่ชิงเกอตอบส่งๆ ไป

ในเวลานี้ อยู่ดีๆ ก็มีคนเข้ามาจากด้านนอกอย่างกะทันหัน ทำลายบรรยากาศด้านใน

คนที่มานั้นจิงฟ่งอวี่รู้จัก ดังนั้นคนสองคนที่อยู่ด้านหลังของเขาจึงไม่ได้ห้าม ท่าทางของคนๆ นั้นดูเคร่งขรึมมาก คุกเข่าลงข้างจึงฟ่งอวี่กระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูเขา หลังจากจิงฟ่งอวี่ฟังเขาพูดจบก็ยืนขึ้นในทันที “พรึ่บ!” สีหน้าเปลี่ยนไป

หลังจากสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ถึงได้เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่ ข้ามีธุระต้องจากไปแล้ว หากว่าท่านไม่รีบ ก็สามารถอยู่ดื่มชาที่นี่ต่อได้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดข้าจัดการเอง รอข้าจัดการธุระเสร็จแล้ว ก็จะนัดเวลาพบกับคุณชายมู่อีก”

“ในเมื่อคุณชายจิงมีธุระเช่นนั้นก็เชิญตามสบายเถิด” มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ย

จิงฟ่งอวี่พยักหน้า หันกายนำคนจากไป

เพิ่งจะเดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน หันกายกลับมาเอ่ยถามมู่ชิงเกอว่า “เช่นนั้นข้าจะสามารถไปหาท่านได้ที่ไหน?”

ประโยคนี้ทำให้มู่ชิงเกอชะงัก เสวี่ยหยาก็ชะงัก

ที่มู่ชิงเกอชะงักก็เพราะตอนแรกนางคิดว่าที่จิงฟ่งอวี่บอกว่าครั้งหน้าค่อยนัดกันอีกนั้นเป็นเพียงแค่พูดตามมารยาท แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับจริงจัง

ส่วนเสวี่ยหยาที่ชะงักนั้นเป็นเพราะจุดมุ่งหมายในเริ่มแรกของจิงฟ่งอวี่นั้นก็คือนาง เหตุใดตอนนี้จึงเกิดความสนใจกับนายน้อยของนางขึ้นมาได้?

ในระหว่างที่จิงฟ่งอวี่รอคำตอบ มู่ชิงเกอก็ยิ้มๆ เอ่ยว่า “ช่วงนี้ข้าล้วนแต่หาข้อมูลอยู่ภายในตำหนักเทพ”

จิงฟ่งอวี่พยักหน้าเอ่ยว่า “ดี รอข้าทำธุระเสร็จแล้วจะไปหาท่านที่ตำหนักเทพ”

จากนั้นเขาก็นำคนจากไป

ท่าทางที่ดูรีบร้อนนั้น ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นแล้วจริงๆ

หลังจากที่จิงฟ่งอวี่ไปแล้ว มู่ชิงเกอก็เอ่ยกับสาวใช้สองคนของร้านนํ้าชาว่า “พวกเจ้าก็ออกไปเถอะ”

สาวใช้ทั้งสองยืดกายคำนับแล้วก็ถอยออกไป

เหลือแต่มู่ชิงเกอ เสวี่ยหยาและไป๋สี่สามคน ซึ่งบรรยากาศดูสงบกว่าก่อนหน้านี้มาก

มู่ชิงเกอมองไปยังทิวทัศน์ของสายนํ้า จิบชา ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่

ไม่นาน นางก็เอ่ยกับเสวี่ยหยาว่า “เจ้ามีความในใจงั้นหรือ?”

เสวี่ยหยาเงยหน้าขึ้นมามองนาง คิดแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้จิงฟ่งอวี่นั้นมาหาข้า ดูท่าทางแล้วอยากจะพูดคุย แต่ว่าหลังจากนั้นข้าก็รู้สึกว่าเขาสนใจในตัวนายน้อย ข้าไม่รู้ว่านี่ดีหรือร้าย”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะมีฉากก่อนหน้านี้อยู่ด้วย คำพูดของเสวี่ยหยาทำให้การคาดคะเนของมู่ชิงเกอต่อจิงฟ่งอวี่เปลี่ยนเป็นไม่ชัดเจนขึ้นมา

เดิมนางคิดว่าจิงฟ่งอวี่ถือว่าเป็นคนของตระกูลใหญ่ที่นิสัยดูไม่เลวร้ายคนหนึ่ง ที่ถึงแม้จะมีฐานกำลังเป็นตระกูลใหญ่ มีชื่ออยู่บนทำเนียบชิงอิง แต่ว่าเขาก็มี มารยาทที่ถูกบ่มเกลามาเป็นอย่างดี ไม่ได้ทำตัวเกเร นิสัยไม่ดี

ท่าทางการพูดการจาของเขาก็ไม่ได้มีความดูแคลนต่อคนนอกหรือคนภาคใต้เลย และก็ยังมีความจริงใจในการสร้างความสัมพันธ์กับนาง

แต่ว่า คำพูดของเสวี่ยหยาทำให้บนตัวของเขาเพิ่มเติม สัญลักษณ์ ‘ต้องการสานความสัมพันธ์’ ขึ้นมา นี่ทำให้มู่ชิงเกอไม่เข้าใจแล้วว่าเขาเป็นคนที่คบได้หรือว่ามีเป้าหมายอื่นกันแน่

“ไป๋สี่ ความสามารถของคนตระกูลจิงที่สามารถใกล้ชิดกับเผ่าสัตว์อสูรได้ เหตุใดเขาจึงไม่ได้มีปฏิกิริยาที่ชัดเจนกับเจ้าเลย?” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามขึ้นมา

ไป๋สี่เอ่ยอย่างดูแคลนออกมา “ความสามารถแค่นั้นของเขา จะสามารถมองทะลุสถานะของข้าได้อย่างไร? และข้าก็ไม่ได้จะเป็นเพราะเช่นนั้นจะไปสนิทกับเขาด้วย ในความเป็นจริง สำหรับสัตว์อสูรที่มีเจ้าของแล้ว ความสามารถของตระกูลจิ่งก็ไม่มีประโยชน์ทั้งยังมีสัตว์มหาเทพ สัตว์เทพที่มีพลังกล้าแกร่งและสายเลือดสูงส่งก็จะไม่ได้อยากใกล้ชิดกับตระกูลจิงเกินไป ความสามารถของพวกเขา ก็เพียงแต่ใช้ได้กับพวกสัตว์อสูรธรรมดาก็เท่านั้น”

มู่ชิงเกอพยักหน้า เข้าใจความสามารถของตระกูลจิงขึ้นมาบ้างว่าไม่ใช่จะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินถึงขนาดนั้น

“ตระกูลจิงมาเมืองจินไห่เพื่อทำอะไรกันแน่?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววครุ่นคิด

ในใจของนางเกิดความรู้สึกว่าที่ตระกูลจิงมาที่นี่ กับการปรากฏตัวของซือมั่วดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกัน

ที่เสมียนของสมาคมการค้าเอ่ยถึงคนที่มาจากภาคอื่น หากว่าไม่เหนือความคาดหมายก็น่าจะหมายถึงตระกูลจิง

“ความสามารถของตระกูลจิงก็คือการทำให้สัตว์อสูรเชื่อง หรือว่าที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อช่วยตำหนักเทพของภาคใต้ทำให้สัตว์เทพหรือสัตว์มหาเทพเชื่อง?” เสวี่ยหยาเอ่ยเดาออกมา

มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ยว่า “มีความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่แน่ใจ”

คิดครู่หนึ่งแล้วมู่ชิงเกอก็เอ่ยว่า “บนโลกนี่ไม่มีอะไรที่เป็นความลับ ในเมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ เพื่ออะไรนั้นไม่ช้าไม่เร็วก็จะต้องรู้เอง”

“ชิงเกอ เมื่อครู่ที่เจ้าถามเรื่องสายรองของตระกูลจิงในภาคใต้ก็เพื่อเจ้าเด็กจิงไห่ใช่หรือไม่?” อยู่ดีๆ ไป๋สี่ก็ถามขึ้นมา

มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้น “ข้าก็แค่ถามไปงั้นๆ เอง”

ทันใดนั้นไป๋สี่ก็เอนตัวล้มลงบนตัวของมู่ชิงเกอ พิงตัวนาง ทำตัวใกล้ชิด มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เสวี่ยหยาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมามองยังนาง

สองแขนของไป๋สี่โอบอยู่บนไหล่ของมู่ชิงเกอ ในก่อนที่มู่ชิงเกอจะผลักนางออก ก็กระซิบที่ข้างหูของนางว่า “จิงฟ่งอวี่คนนั้นรู้สึกอะไรบางอย่างกับเจ้า หรือว่าเจ้ามองไม่ออก?”

มู่ชิงเกอแข็งทื่อขึ้นมา ใบหน้ามืดทะมึน นางกัดฟันเอ่ยออกมาว่า “ตอนนี้ข้าเป็นผู้ชาย!”

ไป๋สี่กลับหยักไหล่เอ่ยว่า “แต่ก่อนข้ายังได้ยินมาว่า หยวนหยวนถูกเจ้าคนไม่เอาไหนแซ่มู่คนนั้นท้าทายมารอบหนึ่ง” ดูเหมือนนางกำลังพูดว่า มีบางคนชอบ ความงามและไม่สนใจเพศว่าชายหรือหญิง

“นั้นเป็น…”

คำพูดของมู่ชิงเกอยังไม่ทันได้พูดออกมา สีหน้าของไป๋สี่ก็เปลี่ยนไปชั่วขณะ นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีม่วงทอง ท่าทีเปลี่ยนเป็นดูระมัดระวังขึ้น

พริบตาเดียว ทั้งร่างของนางก็ถูกแยกออกไปจากมู่ชิงเกอ มีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นโยนนางไปในนํ้า

เสียงไป๋สี่ตกนํ้าทำให้มู่ชิงเกอได้สติขึ้นมา

เสวี่ยหยารีบยืนขึ้น เตรียมจะไปช่วย

แต่ไม่ต้องรอให้นางลงมือ ก็มีเงาร่างลีดำสายหนึ่งพุ่ง ผ่านผิวบ่อนํ้าไป คว้าเอาไป๋สี่พุ่งไกลออกไป ส่วนด้านหลังของนางก็เกิดลมเย็นวาบ พร้อมกันนั้นนางก็หายไปจากจุดเดิมที่ยืนอยู่

อยู่ดีๆ ไป๋สี่กับเสวี่ยหยาก็หายตัวไป ทำให้มู่ชิงเกอชะงักอยู่ที่เดิม

เงาร่างสีดำสายหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า ปรากฏเข้ามาในสายตานาง นางหันไปมองเห็นซือมั่วที่มีสีหน้าดำคลํ้า ท่าทางดูขึงขัง กำลังเดินมาที่นางด้วยสีหน้าที่ดูไม่พอใจ

“กูหยากับกูเย่พาพวกนางไปไหนกัน?” มู่ชิงเกอเอ่ยปากถามออกมาในทันที

ซือมั่วกัดฟันยิ้มเย็นออกมาแล้วเอ่ยกับนางว่า “คุณชาย เป็นคนที่รักหยกถนอมบุบผาจริงๆ อย่างไร? ปวดใจกับสาวงามทั้งสองของตนเองงั้นหรือ?”

คำพูดของซือมั่วทำให้มู่ชิงเกอชะงัก บ่นว่า “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?”

“อ้อ? ข้าพูดเหลวไหลงั้นหรือ?” เงาร่างของซือมั่วแวบมาถึงข้างกายของมู่ชิงเกอ มือหนึ่งกอดนางแน่น อีกมือก็เชยคางของนางขึ้นมาให้ใกล้แค่คืบ แล้วถามว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์เป็นผู้ชายนั้นสนุกมากใช่หรือไม่? เจ้าลืมไปหมดแล้วงั้นหรือว่าเจ้านั้นเป็นผู้หญิง? ต้องการให้ข้าเตือนเจ้าสักหน่อยหรือไม่?”

กลิ่นอายแห่งความอันตราย กระจายออกมาจากตัวของซือมั่ว โอบล้อมมู่ชิงเกอเอาไว้

ซือมั่วที่เป็นเช่นนี้เป็นสิ่งที่มู่ชิงเกอไม่คุ้นเคย นางกะพริบตา ทันใดนั้นก็พบปัญหา เข้าใจความผิดปกติของชายคนนี้แล้ว มู่ชิงเกอก็อดไม่ได้ ที่จะหัวเราะออกมา พรืด!

สีหน้าของซือมั่วยิ่งเปลี่ยนเป็นดำทะมึนยิ่งขึ้น

มู่ชิงเกอหัวเราะจนน้ำตาซึม ถึงได้ควบคุมความขบขันนี้ได้ ชี้ไปทางซือมั่วแล้วเอ่ยว่า “ที่แท้เจ้ากำลังหึงงั้นหรือ? เจ้าถึงกับหึงไป๋สี่?”

มุมปากของซือมั่วกระตุก นิ่งเงียบ ท่าทางที่ดูอึดอัดนั่นเมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาของมู่ชิงเกอกลับรู้สึกว่าดูน่าเอ็นดูนัก อดไม่ได้ที่จะใช้สองมือโอบใบหน้าของเขาและก็จูบไปบนริมฝีปากที่เย็นเล็กน้อยนั้นของเขา

การจูบในครั้งนี้ทำให้นัยน์ตาของซือมั่วเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมาชั่วขณะ ละลายน้ำแข็งของเขา เพียงแต่ว่า ยังไม่ทันรอให้เขาเพิ่มความลึกล้ำของจูบนี้ ปีศาจน้อยเจ้าเสน่ห์ในอ้อมอกก็จบการจูบเบาๆ นี้ลง

“ขออีกครั้งได้หรือไม่” ซือมั่วเอ่ยความต้องการที่ไม่สิ้นสุดออกมา นัยน์ตาสีอำพันฉายแววแง่งอน

มู่ชิงเกอยิ้มขึ้นมา ปลายนี้วไล้ไปที่ขอบคางของของซือมั่ว ผ่านรอยเคราสีเขียวบางๆ ใต้คางของเขา หรี่ตาลง แล้วเอ่ยว่า “คิดอยากจะได้ความโปรดปรานจากข้านั้นไม่ง่ายหรอกนะ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!