ตอนที่ 266
งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ที่แตกต่างออกไป
ท้องฟ้าสว่างไสว เมฆขาวพลิ้วปลิวล่องลอย
ภายในกระโจมหลัก ในฉากม่าน ซือมั่วใช้มือค้ำศีรษะ นัยน์ตาสีอำพันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน มองหญิงสาวข้างกายที่กำลังหลับสนิท
ผ้าห่มคลุมลงต่ำ ทำให้ส่วนคอและไหล่ของนางเผยออกมาให้เห็น
เรือนร่างขาวเนียนที่อ่อนหวานนุ่มละมุน ลำคอเรียบเนียน แนวไหปลาร้าที่เด่นชัดต่างขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจของนาง
มองไป มองไป นัยน์ตาของซือมั่วก็เปลี่ยนเป็นลํ้าลึกขึ้น เขาโน้มกายลงไป จูบคอของนาง
ซอกคอที่อยู่ๆ เกิดอาการคันยุบยิบขึ้นมา ทำให้มู่ชิงเกอเบิกตากว้างในทันใด
ดวงตาคู่นั้นยังคงสดใสแต่เพิ่มความมึนงงเข้ามา
ภาพยามคํ่าคืนปรากฎขึ้นมาเป็นฉากๆ ในหัวของนาง ทำให้แก้มของนางแดงก่ำขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผู้ชายบางคนยังทำอะไรบางอย่างกับนางอยู่!
“ฟ้าสว่างแล้ว!” สองมือของมู่ชิงเกอยันไว้ที่หน้าอกของซือมั่ว คิดจะผลักเขาออก
ซือมั่วกลับพึมพำออกไปหนึ่งประโยคว่า “ไม่รีบ”
พูดแล้วก็เข้าครอบครองริมฝีปากของมู่ชิงเกอ ใบหน้าของมู่ชิงเกอหน้าแดงไปทั้งหน้า การเคลื่อนไหวของชายผู้นั้นได้ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลง ของร่างกายของเขาแล้ว
“เจ้า…อือ…” คำพูดของมู่ชิงเกอถูกซือมั่วกลืนลงไป ความป่าเถื่อนของเขาดูคล้ายกับถูกมู่ชิงเกอจุดขึ้นจนไม่สามารถข่มกลั้นไว้ได้
เขาสูบกลืนอย่างบ้าคลั่งเหมือนนํ้าป่าไหลบ่าที่พังทลา เขื่อนออกมา
มู่ชิงเกอหมดทางเลือกได้แต่ตามใจเขา
บทเพลงรักที่เพิ่งหยุดไปได้โม่นานได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง…
วูด วูด!
ท้องฟ้าสว่างจ้า เสียงสัญญาณดังขึ้นมาในทุ่งหญ้าอัสดง
มั่วหยางเดินมาถึงนอกกระโจมหลัก เขาลังเลไม่ได้เข้าไปใกล้ เพียงแต่ห่างออกมาระยะหนึ่ง แล้วร้องเข้าไปด้านในว่า “คุณชาย งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่จะเริ่มต้นแล้ว”
ภายในกระโจมหลักยังคงดำเนินการต่อ
เมื่อได้ยินเสียงของมั่วหยาง สองมือของมู่ชิงเกอก็จับไหล่ของซือมั่วไว้แน่น นัยน์ตาสดใสจดจ้องอย่างแค้นเคือง ตักเตือนอย่างไร้เสียง นางพยายามควบคุมนํ้า เสียงของตนเอง ทำให้ดูปกติหน่อย ถึงได้เอ่ยตอบมั่วหยาง “รู้แล้ว”
‘เสียงของนายน้อยดูปกติดี’
การค้นพบนี้ทำให้มั่วหยางลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา
แต่ในตอนที่มู่ชิงเกอเพิ่งจะพูดจบนั้น ซือมั่วก็ออกแรงอย่างกระทันหัน ทำให้นางควบคุมลมหายใจไม่ได้ เสียงร้องหลุดออกไป
เสียงนี้ดังออกไปนอกกระโจมทำให้มั่วหยางที่เตรียมตัวจะจากไปแผ่นหลังแข็งทื่อ
มือที่แนบอยู่ข้างตัวค่อยๆ กำเป็นกำปั้น มั่วหยางเงียบอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็รีบก้าวยาวไปจากกระโจมหลัก เกิดความกลัวว่าหากอยู่ต่อและจะทำให้ตัวเองใจสลาย
“เจ้าหาที่ตายหรือ!” มู่ชิงเกอจ้องซือมั่วอย่างแค้นเคือง
ซือมั่วไม่ได้หวาดกลัวเอ่ยว่า “ถ้าหากว่าเจ้ายังคิดจะร่วมการเปิดงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่อยู่ก็ให้ความร่วมมือกันดีๆ”
พูดจบแล้ว เขาก็ยื่นแขนยาวออกไป ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวพวกเขาทั้งสอง
องครักษ์เขี้ยวมังกรได้รอออกเดินทางอย่างเป็นระเบียบ ยืนอยู่บนลานฝึก แต่มู่ชิงเกอกลับยังไม่ได้ปรากฎตัวออกมา
องครักษ์เขี้ยวมังกรยืนพร้อมอาวุธไม่พูดไม่จา และก็ไม่ได้พูดคุยกันเพราะมู่ชิงเกอออกมาสาย
มั่วหยางยืนอยู่ด้านหน้ากลุ่ม เม้มปากแน่น รอคอยเช่นเดียวกัน
วูด วูด!
วูด วูด!
เสียงสัญญาณของงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ได้ดังขึ้นอีกครั้ง การแข่งขันจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้าแล้ว
ไป๋สี่เอ่ยอย่างสนุกสนานว่า “เจ้าเดาว่าชิงเกอจะลุกขึ้นมาได้หรือไม่?”
มู่ชิงเกอไม่เคยสายมาก่อน มาตอนนี้กลับยังไม่ปรากฎตัว รวมทั้งชายคนนั้นก็อยู่ แค่คิดก็รู้ว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น
หยินเฉินเหลือบมองนาง แล้วก็หันกลับมาไม่ได้ตอบคำถามของนาง
วูด วูด!
เสียงสัญญาณดังขึ้นอีก เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรอดไม่ได้ที่จะมองไปทางกระโจมหลักโดยไม่ขยับ
เสวี่ยหยากับเซวี่ยนหย่ายืนอยู่ด้วยกัน พวกนางก็มองไปทางกระโจมหลักเช่นเดียวกัน สายตาของทั้งสองล้วนแต่แปลกประหลาดเล็กน้อย เสวี่ยหยาก็ยิ่งดูแย่มากกว่า
ในที่สุด ภายใต้สายตาของทุกคน ม่านกระโจมหลักถูกเปิดออก มู่ชิงเกอเดินออกมา
นางไพล่มือไว้ด้านหลัง…
อย่างน้อยจากมุมมองของคนอื่นก็เป็นเช่นนั้น
ที่จริงแล้ว มือที่นางไพล่ไว้ด้านหลังกลับกำลังนวดเอวของตนเอง ในใจบ่นไม่หยุด ‘สมควรตาย! ชายคนนี้อดมานานเกินไปงั้นหรือ? นี่แทบจะไม่ผ่อนปรนเลย! น่าสงสารกระดูกของข้านัก’
หากไม่ใช่เพราะว่านางมีพลังฟื้นฟูที่เหนือกว่าคนธรรมดา คงจะลุกขึ้นมาไม่ได้แล้ว!
ใบหน้าของมู่ชิงเกอดูเคร่งขรึม ไม่ได้ดูเหนื่อยอ่อน ท่าทางเช่นนี้ทำให้ไป๋สี่ชะงัก กะพริบตา พึมพำว่า “หรือว่าข้าเดาผิด? นางล่าช้าเพราะว่าฝึกวิชางั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนแท่นนอกกระโจมหลัก กวาดสายตาที่ดูดุดันไปยังองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ยืนอย่างเป็นระเบียบ
ในตอนที่นางกวาดตามองไปนั้น ทุกคนก็คุกเข่าชันขาข้างเดียว ร้องขึ้นพร้อมกันว่า “คุณชาย!”
“อืม” มู่ชิงเกอรับคำ นางกวาดตามองไปยัง ‘กระต่าย’ ที่กำลังหลับอยู่นอกกระโจม นัยน์ตาวาววาบขึ้น ล้วงแหวนแม่ลูกที่ซือมั่วเคยมอบให้นางออกมา ตอนนี้แหวนแม่นั้นถูกนางสวมอยู่ส่วนแหวนลูก…
มุมปากของนางฉีกรอยยิ้มเย็นออกมา อาศัยเวลาที่โห่วหลับอยู่ โยนแหวนลูกไปสวมบนคอของโห่วอย่างไร้สุ้มเสียงโดยที่มันไม่รู้สึกตัว จากนั้นนางก็ขยับๆ กำไลบนมือของตน แล้วถึงได้ลงจากแท่นเดินไปยังลานฝึก
มู่ชิงเกอเดินไปถึงด้านหน้าขององครักษ์เขียวมังกร ยืนข้างมั่วหยาง
มั่วหยางมองนางแวบหนึ่งฉายแววบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
รู้สึกถึงสายตาของเขา มู่ชิงเกอถึงได้หันมองไป เอ่ยถามว่า “มีอะไรงั้นหรือ?”
มั่วหยางรีบถอนสายตากลับ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
วูด วูด!
เสียงสัญญาณดังขึ้นมาอีกครั้ง มู่ชิงเกอเงยหน้ามองท้องฟ้า ฝูงนกตื่นบินผ่านไป ดูเหมือนจะมาจากทางเทือกเขาซางหลาน
“ดูแล้ว พวกเราคงจะสายเล็กน้อย แต่ว่าไม่ต้องกลัว พวกเรามีเครื่องบินส่วนตัว” มู่ชิงเกอยกคิ้วขึ้น มุมปากเกิดรอยยิ้มขี้เล่นออกมา
บนทุ่งหญ้าอัสดง ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ มีเนินเขาที่ติดกับเทือกเขาซางหลาน
เสียงสัญญาณที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บรรดาสัตว์อสูรในเทือกเขาซางหลานตื่นขึ้น ล้วนพากันออกมาจากถํ้า มุ่งหน้ามายังทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่
ไกลออกไป ฝุ่นควันคลุ้งกระจายคลุมไปทั่วฟ้า เงามืดจากเทือกเขาซางหลานกำลังบีบใกล้ทุ่งหญ้าอัสดงเข้ามา
ในอีกมุม เหล่าหลิวเค่อรวมอยู่ด้วยกัน ท่าทีอหังการ กำไม้กำมือ
หลิวเค่อสองแสนกว่าคนรวมอยู่ด้วยกัน ดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามมาก แต่ว่าอีกด้าน สัตว์อสูรนานาชนิดที่วิ่งเข้ามาก็มีกองทัพสัตว์อสูรนับหมื่นนับแสนทำให้ดูยิ่งใหญ่กว่า
“งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่จะเริ่มขึ้นแล้ว เหตุใดจึงยังไม่เห็นคนของเขี้ยวมังกร?” ใต้ธงที่เขียนไว้ว่ากลืนจันทร์ ชายผู้กล้าวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งผยอง
เขาเป็นหัวหน้ากองกำลังหลิวเค่อระดับนภากลืนจันทร์ สำหรับกองกำลังเขี้ยวมังกรที่เพิ่งจะเข้าสู่ระดับนภาแล้ว เขาก็รู้สึกดูแคลนอยู่บ้าง
ข้างกายซ้ายขวาของเขาก็แบ่งเป็นหัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีและยักษ์วิถี
ทั้งสามต่างก็เป็นหัวหน้าของกองกำลังหลิวเค่อระดับนภา ดังนั้นจึงอยู่ด้วยกัน
หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคียิ้มเยาะเอ่ยว่า “อาจจะถูกงานยิ่งใหญ่นี้ทำให้หวาดกลัวไม่กล้ามาไปแล้ว”
“อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนวานนี้ตื่นเต้นมากไป เช้าวันนี้จึงลุกไม่ขึ้น” หัวหน้ากองกำลังยักษ์วิถีก็พูดขึ้นมา เสียงกลองในค่ำคืนเมื่อวาน ทำให้คนรู้สึกตื่นตะลึงก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนั้น พวกเขาจะยอมรับม้ามืดอย่างเขี้ยวมังกรให้มาร่วมแบ่งผลประโยชน์ด้วยกันกับพวกเขา
ทุกคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์ยิ้มเยาะ “ทุกครั้งที่งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่เปิดขึ้น ก็จะต้องต่อสู้กับเผ่าสัตว์อสูร ดูว่าใครฆ่าสัตว์อสูรมากกว่า หากเขี้ยวมังกรพลาดไปแล้ว ก็น่าเสียดายยิ่งนัก!”
“ใครว่าไม่ใช่ละ?” หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีกวาดตามองไปยังด้านหลังกองกำลังหลิวเค่อ บนเนินเขามีคนของตระกูลใหญ่ยืนอยู่ นัยน์ตาฉายแววอิจฉาเอ่ยว่า “เกรงว่าคงทำให้เหล่าตระกูลที่มาเพราะเขี้ยวมังกรผิดหวังแล้ว”
“เขี้ยวมังกรล่วงเกินตระกูลอิ๋ง ข้าว่าพวกเขาคงผยองไม่ได้นาน” หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีเอ่ยอย่างมีความสุข
“ชิ ก็แค่กลุ่มพวกที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน กลับยังกล้าจะมานั่งตีเสมอพวกเรา” หัวหน้ากองกำลังยักษ์วิถีเอ่ยอย่างดูถูก
หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์ยิ้มเอ่ยว่า “งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะทำให้พวกเขาได้เห็นชัดเจนถึงความห่างชั้นกับพวกเรามิใช่หรือ?”
“พอดีเลย พวกเราก็สามารถตรวจดูได้ว่า พวกเขามีความสามารถแค่ไหน ถึงสามารถก้าวมาสู่กองกำลังหลิวเค่อระดับนภาได้ภายในเวลาครึ่งปี” หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคียิ้มเย็นเอ่ยออกมา
บนเนินเขา เหล่าตระกูลที่มารวมตัวกันที่นี่ จากที่นี่มองลงไป สามารถมองเห็นสนามรบได้อย่างชัดเจน
อิ๋งเจ๋อยืนอยู่ในนั้น จีเหยาฮั่วก็ยืนอยู่กับเขา ฝ่ายหลังยืดคอไปมา มองไปทั่วกองกำลังหลิวเค่อใต้เนินเขา แล้วก็เอ่ยถามอิ๋งเจ๋อว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นเขี้ยวมังกรอะไรนั้น? ไม่กี่วันมานี้ ความสนใจของข้าต่อพวกเขายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ! โดยเฉพาะคนที่เคยประมือกับเจ้า มู่ชิงเกอผู้นั้น”
อิ๋งเจ๋อนิ่งเงียบไม่พูดจา ใบหน้าเยียบเย็น มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
อีกทาง หานฉายไฉ่ก็กำลังรอคอย
ตระกูลหานมาที่นี่ เพื่อหาความร่วมมือ ก่อนมา หานฉายไฉ่ได้ยินถึงชื่อของ เขี้ยวมังกรก็เดาออกได้ในทันทีว่าเป็นมู่ชิงเกอ
อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง หากตระกูลหานคิดจะร่วมมือกับเขี้ยวมังกรก็ง่ายดายนัก
แต่ว่าหลังจากถึงทุ่งหญ้าอัสดงแล้ว จิตใจของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่การร่วมมือ แต่กลับคิดแต่จะเห็นแต่มู่ชิงเกอ
ข้างกายของเขามีหานอี้เหรินกับหร่วนชิงเหลียนยืนอยู่ด้วย
สาวงามสองคนยืนอยู่ด้วยกันพูดคุยกันไป แต่สายตาของหร่วนชิงเหลียนกลับไม่ได้ออกจากตัวของหานฉายไฉ่เลย แม้ว่าเขาจะไม่ได้เหลือบมองนางสักนิดก็ตาม
“พี่รอง ท่านมองหาอะไรอยู่?” อยู่ดีๆ หานอี้เหรินก็เอ่ยถามขึ้นมา
หานฉายไฉ่เพียงแต่ตอบว่า “ไม่มีอะไร”
บนเนินเขาที่หนึ่ง เจี่ยงเทียนเฮ่ากับเซิ่งอวี้หลียืนอยู่ด้วยกัน
พวกเขาเป็นตัวแทนของตระกูลเจี่ยงและตระกูลเซิ่ง จุดมุ่งหมายที่มาก็เหมือนกันคือหากองกำลังหลิวเค่อเพื่อร่วมมือ ส่วนอันดับแรกที่พวกเขาสนใจก็เหมือนกับคนอื่น ล้วนแต่เป็นเขี้ยวมังกร
“ได้ยินมาว่า ผู้หญิงคนนั้นออกจากตระกูลเซิ่งแล้วงั้นหรือ?” เจี่ยงเทียนเฮ่าเอ่ยกับเซิ่งอวี้หลีก่อน
นัยน์ตาของเซิ่งอวี้หลีฉายแววหวาดระแวงหันมองมา เอ่ยถามเสียงเข้มว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เจี่ยงเทียนเฮ่ากวาดตามองเขาแวบหนึ่ง “ไม่ต้องตกใจถึงขนาดนั้น ข้าพูดแล้วว่าบุญคุณความแค้นหว่างนางกับตระกูลเจี่ยงได้สิ้นสุดลงแล้ว คำพูดของข้าพูดไปแล้วไม่คืนคำ”
คำรับรองของเจี่ยงเทียนเฮ่า ทำให้ในใจของเซิ่งอวี้หลีปล่อยวางลงได้ ในที่สุดฉินอี้เหยาก็ยังจากไปอยู่ดี แต่ว่าเขาก็ยังไม่ยอมแพ้!
เขารู้แล้วว่าฉินอี้เหยาเคยรักคนมาคนหนึ่ง ตอนนี้ต้องการเวลาเพื่อลืม
ดังนั้นไม่ว่าจะนานแค่ไหน เขาก็จะรอ
แต่เขากลับไม่รู้ว่าฉินอี้เหยาที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดเวลานั้น ตอนนี้ก็อยู่ในกองกำลังหลิวเค่อสองแสนกว่าคนนี้
“เสวี่ยอู่ เหตุใดนางถึงยังไม่ปรากฎตัวอีก? หรือพวกเราไม่ควรไปหานางเร็วขนาดนี้ น่าจะรอจนงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่จบแล้วค่อยไปนาง?” ซางอี้เฉินเอ่ยออกมาอย่างเป็นกังวล
สายตาของซางเสวี่ยอู่ก็ฉายแววกังวล นางค่อยๆ ส่ายหน้า
ไม่ควรไปหาก็ไปหามาแล้ว ตอนนี้มาเสียใจย้อนหลังจะได้อะไรขึ้นมา?
เสียงกลองศึกของตระกูลมู่ดังก้องอยู่ในหัวของนางไม่หยุด นางกับซางอี้เฉินล้วนแต่เคยฟังเรื่องราวเกี่ยวกับกองทัพตระกูลมู่มาโดยตลอด แต่เล็กจนโตพวกเขาก็ รู้สึกนับถือชื่นชมเหล่าทหารที่ปกป้องชาติบ้านเมืองเหล่านั้น
เมื่อคืนวานได้ยินเสียงกลองศึกของกองทัพตระกูลมู่เป็นครั้งแรก ทำให้นางดูคล้ายกับได้เห็นตระกูลมู่ที่อยู่ห่างไกลถึงหลินชวน ว่าแข็งแกร่งกล้าหาญขนาดไหน ปกป้องบ้านเมืองอย่างไร
“อี้เฉิน ถ้าหากว่ามีโอกาส ข้าอยากไปดูที่ตระกูลมู่จริงๆ” ซางเสวี่ยอู่เอ่ยออกมา
ซางอี้เฉินชะงัก เข้าใจในความคิดของนางในทันที เขาพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าก็อยากไป ในใจมีความรู้สึกหนึ่งอยู่ตลอดว่าการใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญเช่นตระกูลมู่ถึงจะ เหมาะกับข้า!”
สองพี่น้องสบสายตากันยิ้ม ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
“นางจะปรากฎตัวออกมาไหม?” ซางอี้เฉินเอ่ยถาม
ซางเสวี่ยอู่มีความเชื่อมั่นขึ้นในพริบตา ตอบอย่างมั่นใจว่า “มา!”
เขี้ยวมังกรไม่ปรากฎตัวออกมานาน ทำให้เหล่าหลิวเค่อ เริ่มพูดคุยกัน แต่ว่ากองทัพสัตว์อสูรกลับไม่ได้รอคอย
พริบตาเดียว กองทัพของเหล่าสัตว์อสูรก็ได้บุกมาจนถึงตรงกลางของทุ่งหญ้าอัสดงแล้ว
หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์กระโดดลงจากหลังสัตว์อสูรวิญญาณ หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีและยักษ์วิถีก็ตามลงไป ภายในลานล่าสัตว์ขนาดใหญ่ ขี่อยู่บนหลังของสัตว์อสูรวิญญาณไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร กลับกันอาจจะทำให้ถูกแว้งกัดเพราะได้รับอิทธิพลจากเผ่าสัตว์อสูร พวกเขาไม่ได้มีความใกล้ชิดกับเผ่าสัตว์อสูรอย่างตระกูลจิง สัตว์อสูรวิญญาณที่ขี่ก็ได้รับการฝึกให้เชื่องมาแล้ว
หัวหน้ากองกำลังใหญ่ทั้งสามถืออาวุธของตนเอง ไปอยู่ที่หน้ากองทัพของหลิวเค่อด้วยกัน
พวกเขามองไปยังเผ่าสัตว์อสูรนับล้านแล้วก็ชูอาวุธในมือสูงขึ้น ตะโกนออกมาว่า “ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
กองทัพหลิวเค่อที่หลั่งไหลดุจนํ้าเริ่มทำการโจมตี
เผ่าสัตว์อสูร เผ่ามนุษย์ หนึ่งล้านต่อสองแสน!
สงครามครั้งนี้มีความเสี่ยงแต่ก็มีโอกาสมากมาย มีความเป็นไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด
เหล่าตระกูลที่มาที่นี่สามารถรับรู้ได้ว่าอะไรคือการฆ่าล้าง สามารถรับรู้ได้ถึงพลังของหลิวเค่อ เผชิญหน้ากับเผ่าสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้ มีรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยที่สีหน้าซีดขาว สองขาอ่อนแรง ส่วนเหล่าหลิวเค่อกลับกล้าหาญสามารถบุกตะลุยเข้าไป!
ความแตกต่างเช่นนี้ก็เป็นเพราะหลิวเค่อไม่มีรากฐาน เช่นตระกูลใหญ่ สามารถคงอยู่ในโลกแห่งยุคกลางได้ ก็หมายความว่าต้องมีความกล้ามาก
นกที่ถูกเลี้ยงในกรงทองไม่มีทางเทียบได้เลยกับนกอินทรีที่เติบโตมาท่ามกลางลมพายุ
“น่า…น่ากลัวเหลือเกิน” ซางจื่อหลันจับแขนของซางเหย่ ร่างกายสั่นสะท้าน นัยน์ตาของนางสะท้อนท่าทางที่ดูดุร้ายของเหล่าสัตว์อสูรที่พุ่งเข้ามา ทั้งร่างของนางสั่นไม่หยุด
สีหน้าของซางเหย่ก็ไม่ได้ดีไปกว่านางสักเท่าไหร่ แต่หากเทียบกับซางจื่อหลันแล้ว อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้ชายต้องยืนหยัดหน่อย
ศิษย์ของตระกูลซางคนอื่นๆ สีหน้าก็ยิ่งซีดขาว ล้วนแต่หลบอยู่ด้านหลังของผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสสามกวาดตามองท่าทางของคนไม่กี่คน ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง จนถึงตอนที่มองไปยังซางเสวี่ยอู่สองพี่น้องแล้วก็ค่อยพยักหน้าอย่างชื่นชม
“กล้าหาญจริงๆ! ข้าก็อยากจะลงไปต่อสู้เช่นนั้นบ้าง” ซางอี้เฉินมองกลุ่มมนุษย์ที่พุ่งเข้าไปหาเผ่าสัตว์อสูร ชั่วขณะนั้นก็เกิดความฮึกเหิมขึ้นมา
ซางเสวี่ยอู่กวาดตามองเขาแวบหนึ่ง ส่งสายตาไปห้ามปราม
ซางอี้เฉินเพียงแต่เอ่ยว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว ข้าไม่ทำโดยพลการหรอก”
ได้รับคำรับรองจากเขาแล้ว ซางเสวี่ยอู่ถึงได้ถอนสายตากลับ
“ภาพยังคงดูกล้าหาญจริงๆแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่มางานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ แต่ข้าก็ยังคงรู้สึกทึ่งกับงานล่าสัตว์ครั้งใหญ่ครั้งนี้อยู่ดี” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างชื่นชม
อิ๋งเจ๋อเอ่ยว่า “ในเมื่อชอบเหตุใดจึงไม่ลงไปลองเองล่ะ?”
จีเหยาฮั่วชะงัก เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ข้าเป็นถึงนายน้อยของตระกูลจี จะลงไปร่วมรบกับเหล่าคนชั้นต่ำพวกนี้ได้อย่างไร?”
คำตอบของเขาทำให้อิ๋งเจ๋อยิ้มเยาะออกมา
“พี่ไฉ่ ท่านกลัวหรือไม่?” หร่วนชิงเหลียนพุ่งมาข้างหน้าของหานฉายไฉ่ด้วยหน้าตาที่ดูหวาดกลัว มือเล็กดึงแขนเสื้อของเขา
หานฉายไฉ่ดึงแขนเสื้อตัวเองกลับอย่างไร้เยื่อใย มองนางอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างไร้อารมณ์ว่า “กลัวก็กลับไป”
พวกรักสวยรักงามก็ยังเป็นพวกรักสวยรักงาม ไม่อาจจะเทียบกับมู่ชิงเกอได้
คำพูดของเขาทำให้หร่วนชิงเหลียนหน้าซีดไป ไม่รู้จะทำ อะไรยืนชะงักอยู่ที่เดิม
หานอี้เหรินรีบก้าวเข้ามา พยุงหร่วนชิงเหลียนแล้วเอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “พี่รอง เหตุใดท่านถึงพูดกับชิงเหลียนเช่นนี้? ยังไม่กล่าวขอโทษนางอีก?”
“ไม่ ไม่ ไม่ต้อง เป็นข้าไม่ดีเอง รบกวนพี่ไฉ่” หร่วนชิงเหลียนรีบพูด
นัยน์ตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่ฉายแววดูแคลน เอ่ยกับหานอี้เหรินว่า “อย่ามารบกวนธุระของข้า”
หานอี้เหรินกระอัก จ้องมองหานฉายไฉ่แวบหนึ่ง แล้วก็พาหร่วนชิงเหลียนจากไป
ทั้งสองมุมของทุ่งหญ้าอัสดงเกิดฝุ่นคลุ้ง ปกคลุมไปทั่วฟ้า ในบริเวณอันกว้างใหญ่ของทุ่งหญ้าอัสดง ในที่สุด กองกำลังของหลิวเค่อก็ปะทะเข้ากับกองกำลังของเผ่าสัตว์อสูร
คนหนาแน่นแล้วก็ยังมีเผ่าสัตว์อสูรพัวพันเข้าด้วยกันทำให้ชุลมุนจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
บริเวณกลางสนามรบในทุ่งหญ้าอัสดง กลายเป็นสมรภูมิเดือด
แสงดาบวาววาบ เลือดพุ่งกระฉูด
เผ่าสัตว์อสูรร่างกองลงกับพื้นไม่หยุด เผ่ามนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นเกียรติของหลิวเค่อเป็นการรวมตัวของพวกเขา และดูเหมือนจะมีแค่เปื้อนเลือดถึงเหมาะสมกับสถานะของพวกเขา พวกเขาเป็นหลิวเค่อ ไม่มีตระกูลสนับสนุน มีเพียงพึ่งดาบของตนเองอาบเลือด เพื่ออยู่ต่อ!
เผ่าสัตว์อสูรที่ถูกไล่ให้ออกมานั้นไม่ได้เก่งกาจมากมายอะไร ส่วนมากก็อยู่ระดับสีม่วงขั้นต้น ขั้นกลาง มีส่วนน้อยที่เข้าสู่ขั้นสูง แล้วก็ระดับสีเทา
แต่ว่ากลับมีจำนวนมากกว่า ผิวหนังหนากว่า อาวุธของเผ่ามนุษย์ยากที่จะแทงเข้าได้
ภายในสนามรบ มีภาพที่สัตว์อสูรสี่ห้าตัวรุมหลิวเค่อคนเดียวจำนวนไม่น้อย
และก็มีเพียงคนที่อยู่ดิ้นรนที่นี่ อาบเลือดถึงได้มีสิทธิ์เป็นหลิวเค่อที่แท้จริง
ไม่มีคนถอย ไม่มีคนหนี ในชั่วเวลานี้พวกเขาเป็นแค่หลิวเค่อ ไม่มีการแบ่งระดับ แม้ว่าจะเป็นหัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์ร้อยอัคคี หรือยักษ์วิถีก็เช่นเดียวกันที่
ต่อสู้อยู่หน้าสุด ส่วนในตอนที่พวกเขาร่ายรำดาบนั้น ก็ปรากฎแสงสีทองวาววาบ ล้วนแต่เป็นผู้เยี่ยมยุทธระดับสีทอง!
พวกเขาสามคนดูเหมือนว่าจะแบ่งเบาภาระส่วนใหญ่ไป บวกกับยอดฝีมือของกองกำลังต่างๆ ระดับสีเทา ระดับสีเงิน ล้วนแต่สู้ตายกับกองทัพสัตว์อสูรนับล้าน
เพียงแต่ว่าสถานการณ์เช่นนี้ก็ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะว่ากำลังของคนมีจำกัด ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับสัตว์อสูร ส่วนพลังจิตก็มีเวลาที่จะใช้หมด
งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่เริ่มต้นขึ้น ไม่ใช่เพื่อฆ่าเผ่าสัตว์อสูรให้หมด แต่เพื่อท้าทายขีดความสามารถของตนเอง
“ไม่ถูกต้อง! เผ่าสัตว์อสูรครั้งนี้ดูดุร้ายเป็นพิเศษ แม้ว่าระดับจะเหมือนกับเมื่อก่อน แต่พวกมันกลับดูดุร้ายและบ้าคลั่งกว่า” หัวหน้ากองกำลังยักษ์วิถีใช้ดาบตัดร่างสัตว์อสูรยักษ์ตนหนึ่ง แล้วก็เอ่ยกับหัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์ที่อยู่ข้างๆ
หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์ก็ดูเหมือนจะค้นพบว่าไม่ถูกต้องแล้วเช่นกัน เขาฆ่าสัตว์อสูรข้างกาย แล้วก็เอ่ยกับหัวหน้ากองกำลังยักษ์วิถีว่า “หากว่าดูไม่ดีก็ให้ถอยทันทีเถอะ”
หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีก็หันมาในเวลานี้ ทั้งสามคนส่งสายตาหากันเล็กน้อย
“เหตุใดเขี้ยวมังกรที่น่าตายนั้นยังไม่ปรากฎตัวอีก? ยังเหมาะสมที่จะเป็นกองกำลังระดับนภาอยู่อีกหรือ? ดูคนของพวกเราล้วนแต่ต่อสู้อยู่ข้างหน้า!” หัวหน้ากองกำลังร้อยอัคคีเอ่ยออกมาอย่างโกรธแค้น
นัยน์ตาของเขาฉายแววเยียบเย็น ในใจคิดไปถึงว่า ‘หากเขี้ยวมังกรไม่ปรากฎตัว แต่กลับทำให้คนอื่นต้องลำบาก เขาจะต้องไปหา คิดบัญชีกับเขี้ยวมังกรแน่นอน!’
“หันมาใส่ใจกับการต่อสู้ก่อนเถอะ” หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์เอ่ยเตือน
บนเนินเขา คนของตระกูลต่างๆ ล้วนแต่มีท่าทีแตกต่างกันมองการศึกที่ไม่เกี่ยวกับพวกเขาในครั้งนี้
“ครั้งนี้ดูเหมือนว่าฝั่งหลิวเค่อจะทนได้ไม่นานแล้ว” จีเหยาฮั่วเอ่ย
อิ๋งเจ๋อมองเขาอย่างไม่พอใจ เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่เย็นชาว่า “หลิวเค่อแพ้แล้วมีประโยชน์อะไรกับเจ้า?”
จีเหยาฮั่วหยักไหล่ ไม่พูดอะไร
การต่อสู้บนทุ่งหญ้าอัสดงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นไม่นานเท่าไหร่ แต่กลับดุเดือดมาก กลางอากาศเริ่มมีกลิ่นเลือดคละคลุ้ง
มีเหล่ารุ่นเยาว์ของบางตระกูล ล้วนแต่อดทนไม่ได้ อาเจียนออกมา
แม้แต่ซางอี้เฉินก็ไม่แตกต่าง เขาเกาะไหล่ของซางเสวี่ยอู่อาเจียน กลิ่นคาวเลือดนี้ทำให้เขารู้สึกแย่จริงๆ ส่วนซางเสวี่ยอู่ก็ดีกว่าเขานิดหน่อย แต่ก็สีหน้าก็เริ่มซีดขาวแล้ว
ศิษย์ตระกูลซางคนอื่นๆ ก็ยิ่งย่ำแย่กว่า
ไม่ได้มีแต่เพียงตระกูลซาง ดูเหมือนว่าทุกตระกูลล้วนแต่เป็นเช่นเดียวกัน
อย่าพูดถึงแต่รุ่นเยาว์เลย แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนที่มีภาวะความเป็นผู้ใหญ่เพียงพอยังเป็นเช่นเดียวกันหมด การฆ่าล้างเช่นนี้ไม่ได้มีให้เห็นได้บ่อยๆ
แกว๊ก!
เสียงร้อง ดังชัดเจนของนกดังขึ้นอย่างกะทันหัน
เสียงนกร้องนี้ทำให้คนบนเนินเขาล้วนแต่เงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า
กลุ่มเมฆดำขนาดใหญ่เคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วจากที่ไกลออกไป และค่อยๆ ทำให้ทุกคนเห็นลักษณะที่แท้จริงของเมฆดำนั่น
“อสูรเวหา!”
“สวรรค์! เป็นอสูรเวหา!”
“งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่มีอสูรเวหาด้วยงั้นหรือ?”
“จบสิ้นกัน อสูรเวหาปรากฎตัว พวกเราจะทำอย่างไรกันดี? พวกมันอาจจะโจมตีพวกเรา!”
บนเนินเขา คนของตระกูลใหญ่ล้วนแต่พากันตกตะลึง มองไปยังอสูรเวหานับร้อยบนท้องฟ้า ท่าทางที่ดูดุร้ายเช่นนั้นทำให้พวกเขาตกใจจนเกือบจะนั่งกองลงกับพื้น และก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่นั่งลงพร้อมกับหว่างขาที่เปียกแฉะ
การปรากฎตัวของอสูรเวหา ทำให้คนของบรรดาตระกูลต่างๆ บนเนินเขา ทยอยหยิบอาวุธของตนเองออกมา
แต่เหล่าอสูรเวหาเหล่านั้นกลับไม่สนใจพวกเขา กระพือปีกบินข้ามหัวพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว พุ่งไปยังสนามรบบนทุ่งหญ้าอัสดง
“บนนั้นมีคน!” ในที่สุดก็มีคนสายตาแหลมคมพบว่าบนหลังของอสูรเวหานั้นมีคนขี่อยู่
ทุกคนค่อยๆ เงยหน้า เพ่งมองอย่างละเอียด “เป็นเขี้ยวมังกร!”
“เป็นเขี้ยวมังกรมาแล้ว!”
เขี้ยวมังกร!
เขี้ยวมังกร!
เขี้ยวมังกร!
คำนี้ปรากฎอยู่ในใจของทุกคน ทำให้สายตาของพวกเขามองตามออกไป
ส่วนบนหลังของอสูรเวหาที่อยู่ด้านหน้าสุด ชุดสีแดงที่ร้อนแรงดุจเปลวเพลิง พริบตาเดียวก็ดึงดูดสายตาของทุกคน
มู่ชิงเกอ!
‘เขายังไม่ตายจริงๆ!’ อิ๋งเจ๋อมองเงาร่างนี้ออกในพริบตา เมื่อได้ยืนยันด้วยตัวเองว่าเขายังไม่ตาย อิ๋งเจ๋อก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
มุมปากของเขาฉีกออกเล็กน้อย คู่มือที่น่าสนใจขนาดนี้จะตายง่ายๆ ได้อย่างไร?
ในตอนที่เงาร่างของมู่ชิงเกอปรากฎนั้น นัยน์ตาของหานฉายไฉ่ก็เปล่งประกายออกมา นัยน์ตาของสองพี่น้อง ตระกูลซางก็ฉายแววยินดี
‘เป็นเขา!’
นัยน์ตาของเซิ่งอวี้หลีกับเจี่ยงเทียนเฮ่าหดตัวลง
เมื่อได้เห็นคนที่เคยเอาชนะตนเองได้อีกครั้ง อารมณ์อยากต่อสู้ในนัยน์ตาของเจี่ยงเทียนเฮ่าก็ลุกโชนขึ้น
คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่จดจำมู่ชิงเกอได้ในเวลานี้ล้วนแต่เชื่อแล้วว่าเขายังไม่ตาย ส่วนในตอนนี้ที่เขี้ยวมังกรขี่อสูรเวหาบินเข้ามา ทำให้ความสงสัยในใจของพวกเขา ลุกขึ้นมาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
อสูรเวหาค่อยๆ เข้าไปใกล้ใจกลางของสนามรบ ดึงดูดความสนใจของเหล่าหลิวเค่อ
พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองอสูรเวหาที่บินอยู่กลางอากาศ
“ว้าว ต้องเท่ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ให้ตายสิ พวกเราสู้เป็นสู้ตายอยู่ที่นี่ตั้งนาน พวกนี้เพิ่งจะมา!”
“บัดซบ! เขี้ยวมังกรมาแล้ว ครั้งนี้พวกเราคงต้องลงแรงมากกว่าเดิมแล้ว!”
ความสามารถในการรบของเขี้ยวมังกรในตำนาน วันนี้สามารถเห็นได้ด้วยตาตนเอง ถือว่าคุ้มค่าแก่การรอคอย
หวังว่าความสามารถในการรบของเขี้ยวมังกรจะไม่แพ้เสียงกลองศึกของพวกเขา
หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์ร้อยอัคคี ยักษ์วิถีมองไปยังเขี้ยวมังกร
ส่วนกลางอากาศ มู่ชิงเกอก็ยกคันธนูขึ้นมา เอ่ยกับมั่วหยางที่อยู่ข้างกายว่า “เอาลูกศรมา!”
มั่วหยางรีบส่งลูกศรไปให้ในทันที ห้านิ้วของมู่ชิงเกอกางออก หยิบเอาลูกศรสี่ดอกวางพาดบนธนูพร้อมกัน นางกระโดดลงจากหลังอสูรเวหาของมั่วหยาง ดึงสายธนู เล็งไปยังสัตว์อสูรยักษ์สี่ตัว ปล่อยมือออก พลังระดับสีเงินพุ่งไปยังเป้าหมายที่ต่างกัน
สวบ สวบ สวบ สวบ!
สี่สัตว์อสูรยักษ์หัวทิ่มลงกับพื้น ทำให้คนบนพื้นตกใจ ส่วนเวลานี้ มั่วหยางก็หยิบลูกธนูออกมาสี่ดอก โยนไปให้มู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอพลิกมือกลับไปรับ แล้วก็วางพาดอีกครั้ง ดึงสายยิงธนู ครั้งนี้ลูกศรทั้งสี่ที่ออกไปก็ฆ่าสัตว์อสูรไปได้อีกสี่ตัว พริบตานั้น ทุกๆ คนไม่ว่าจะเป็นหลิวเค่อในสนามรบหรือ ว่าบรรดาตระกูลต่างๆ บนเนินเขา ก็ล้วนแต่จ้องมองเงาร่างสีเลือดที่กำลังยิงธนูอย่างองอาจของเขา สองดอกสุดท้ายที่ถูกยิงออกจากมือของมู่ชิงเกอ แบ่งออกเป็นซ้ายขวา ปลายศรแหลมคมฉาบไปด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่ง ยิงทะลุหัวของสัตว์อสูรตัวหนึ่ง ได้ชีวิตมัน มา แต่ก็ไม่หยุด ลากร่างมันไปต่อกวาดเป็นทางไป ทำให้สัตว์อสูรถูกแยกเป็นสองทาง ลูกศรสองลูกก็เช่นเดียวกันเอาชีวิตมาได้สี่ชีวิต!
มู่ชิงเกอโยนคันธนูในมือ ชูมือขึ้นบนอากาศ ออกคำสั่งว่า “ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงคำสั่งดังออกมา องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งห้าร้อยคนก็ดุจดั่งหมาป่าที่หิวโหยได้หลุดออกจากกรง ทยอยพากันกระโดดลงมาจากหลังของอสูรเวหา ลงไปในกองกำลังของเผ่าอสูรเริ่มฆ่าล้าง
พวกเขาฆ่าล้างอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจว่าตนเองจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ไกลออกไปบนเนินเขา ทุกคนต่างตกตะลึง
ในสนามรบกลางทุ่งหญ้าอัสดง เหล่าหลิวเค่อก็ตกตะลึง
เขี้ยวมังกร ในพริบตานั้น ในสายตาของพวกเขา มันดูเหมือนว่าจะยิ่งกว่าเผ่าสัตว์อสูรเสียอีก ความดุดันป่าเถื่อนของพวกเขาทำให้พวกเขากลายเป็นกำลังสำคัญใน การรบ
มู่ชิงเกอพลิกตัวลงมาจากอากาศ มั่วหยางรีบตามไปเอ่ยกับนางว่า “สามคนนั้นคือ หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์ ร้อยอัคคี และยักษ์วิถี”
คำพูดของเขาเพิ่งจะหลุดออกไป หัวของทั้งสามก็หันมาในทันที สีหน้าดูไม่พอใจ
“เหตุใดพวกเจ้าเขี้ยวมังกรถึงเพิ่งมา?” หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์เอ่ยด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว
“ตื่นสาย” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบ
นางเอามือวางไว้บนปาก เป่าปากออกมาเป็นเสียงสดใส อสูรเวหาที่อยู่บนอากาศเหล่านั้น เริ่มพุ่งลงใช้กรงเล็บจับสัตว์อสูรวิญญาณขึ้นมา ลอยไปกลางอากาศ จากนั้นก็ปล่อยลง โยนพวกมันลงมาจากที่สูงให้ตกลงมาตาย
มู่ชิงเกอควบคุมพวกมันได้อย่างไร? อย่าลืมว่านางยังมีขลุ่ยอสูรที่แย่งมาจากสำนักหมื่นอสูร
อสูรเวหาของเหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกร กลับสามารถเข้าร่วมรบได้ด้วย ฉากนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยตกตะลึง อ้าปากค้าง
แม้แต่ผู้นำใหญ่ทั้งสามก็ล้วนแต่ชะงัก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
มู่ชิงเกอกลับไม่ได้ชักช้า แสงสีเงินในมือปรากฎออกมา ทวนหลิงหลงอยู่ในมือ เริ่มการฆ่าล้างของนาง
นางไม่ได้ใช้พลังจิต แต่กลับใช้วิชาทวนเมื่อวานวาดออกไป อาศัยกำลังของร่างกาย เก็บเอาชีวิตของเผ่าสัตว์อสูร
“นาง…นางไม่กี่ปีมานี้ผ่านมาอย่างไรกัน?” บนเนินเขา ซางอี้เฉินมองเงาร่างในชุดสีแดงนั้นอย่างตะลึง พึมพำเอ่ยออกมา
ปฏิกิริยาของมู่ชิงเกอในสนามรบ การออกมืออย่างดุดัน เด็ดขาด ล้วนแต่กำลังบอกเขาว่านางไม่ได้พบภาพเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“เกรงว่าคงเป็นเช่นนั้น” ซางเสวี่ยอู่ถอนหายใจออกมา นัยน์ตาฉายแววซับซ้อน
ซางอี้เฉินพึมพำเอ่ยว่า “ถ้าหากนางข้ามผ่านการฆ่าล้างมา ถึงได้เดินทางมาถึงที่นี่ ข้าก็คิดหาเหตุผลให้นางยอมรับพวกเรา ให้อภัยท่านแม่ไม่ออกจริงๆ เทียบกับนาง แล้วพวกเราโชคดีกว่ามาก”
“ใช่แล้ว” คำตอบของซางเสวี่ยอู่ดูขมขื่น
นางกำกระบี่ในมือ ดูเหมือนว่ากำลังลังเลอะไรอยู่
การเข้าร่วมของมู่ชิงเกอทำให้องครักษ์เขี้ยวมังกรเพิ่มความกล้าหาญเข้าไปอีก นี่ก็คือคุณชายที่พวกเขาใช้ชีวิตเข้าปกป้อง ผู้ซึ่งไม่เคยอยู่ด้านหลัง มองดูพวกเขาต่อสู้ แต่จะร่วมสู้ไปกับพวกเขา ร่วมเป็นร่วมตาย!
ฉินอี้เหยาที่กำลังต่อสู้ค่อยๆ หมดแรง
นางมองเห็นมู่ชิงเกอ และก็มองเห็นองครักษ์เขี้ยวมังกร ฉากที่มู่ชิงเกอยิงธนูนั้น ทำให้นางนํ้าตาซึม มีความทรงจำมากมาย ที่ผ่านสายตามาแล้วไม่อาจลืมได้
ทันใดนั้น กระบี่ในมือของนางก็หัก อาวุธของนางหลุดออกจากมือ
มีกรงเล็บสัตว์อสูรแหลมคมสายหนึ่ง พุ่งตรงเข้ามาที่หน้าของนาง
ฉินอี้เหยามองกรงเล็บสัตว์อสูรที่มุ่งตรงมาที่นางอย่างตะลึง ในตอนที่นางคิดว่าตนเองต้องตายแน่นอนนั้น ทันใดนั้นเองเอวของนางก็รู้สึกแน่นขึ้น ถูกคนคว้าเอาไว้ลอยขึ้นจากพื้น
ในตอนที่ฉินอี้เหยากำลังตกตะลึง ทั้งตัวคนก็ถูกชูขึ้น ทวนสีเงินแทงลงใส่สัตว์อสูรวิญญาณด้านล่างของนาง ใช้มันผลักสัตว์อสูรวิญญาณตัวอื่นๆ
ฉินอี้เหยาก้มหัวลง นัยน์ตาฉายแววสลับซับช้อน
มือหนึ่งของมู่ชิงเกอจับเอวของฉินอี้เหยา อีกมือถือทวนหลิงหลง ใช้ปลายทวนกวาดร่างของสัตว์อสูรวิญญาณ ราวกับกำลังทำความสะอาดพื้น
ฉากนี้ตกเข้าไปสู่สายตาของคนที่อยู่บนเนินเขาไกลออกไป ทำให้พวกเขารู้สึกเลือดร้อนขึ้นมา แค้นใจที่ไม่สามารถเข้าไปสู่การต่อสู้ได้
ส่วนฉินอี้เหยาถูกยกขึ้นสูง ทำให้เซิ่งอวี้หลีมองเห็นนาง เมื่อทำความสะอาดพื้นแล้ว ฉินอี้เหยาก็ถูกวางลง แผ่นหลังของนางพิงมู่ชิงเกอ เอ่ยเสียงเบาๆ ว่า ‘ขอบคุณ’
มู่ชิงเกอหยิบกระบี่ระดับสมบัติออกมายื่นส่งให้ฉินอี้เหยา เอ่ยเสียงเบาว่า “ระวังตัวด้วย”
ฉินอี้เหยารับกระบี่ พยักหน้า
เผ่าอสูรล้อมเข้ามาอีกครั้ง ทั้งสองคนไม่มีเวลาพูดคุยกันต่อ แต่เริ่มฆ่าล้างอีกครั้ง
ก็เหมือนกับเมื่อก่อนในเมืองอี้แคว้นฉิน เผชิญหน้ากับการโจมตีของสัตว์อสูรวิญญาณ พวกนางได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กัน วางใจซึ่งกันและกัน
“เป็นฉินอี้เหยา!” เซิ่งอวี้หลีตื่นขึ้นมาจากอาการตกตะลึง เขาไม่ได้ลังเล กระโดดลงจากเนินเขา พุ่งเข้าไปในสนามรบใจกลางทุ่งหญ้าอัสดง
นัยน์ตาของเจี่ยงเทียนเฮ่าฉายแววเยียบเย็น ถืออาวุธของตนเอง กระโดดตามลงไป เข้าร่วมรบกับเซิ่งอวี้หลี
ฉากนี้ทำให้คนในตระกูลของพวกเขาทั้งสองล้วนแต่นิ่งชะงัก
ซางเสวี่ยอู่ก้าวขาออกมา นางเอ่ยกับซางอี้เฉินว่า “อี้เฉิน ข้าไม่อยากพลาดโอกาสนี้ ข้าอยากจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง”
พูดแล้วนางก็กระโดดลงไปในการต่อสู้บนทุ่งหญ้าอัสดง
ซางอี้เฉินชะงัก ตอบสนองไม่ทัน แต่ร่างกายก็ตามไปแล้ว
“พวกเจ้าทั้งสองจะไปทำอะไร! กลับมาเดี๋ยวนี้!” ผู้อาวุโสสามตระกูลซาง ก้าวเท้าออกไปในทันที คิดจะไล่ตามทั้งสองกลับมา
แต่ว่าเขาเพิ่งจะก้าวออกไปก็ถอยกลับคืน เพราะว่าเขาได้คิดถึงคำพูดของประมุขตระกูลที่พูดกับเขาก่อนออกเดินทางมาว่า ‘ต้องให้เด็กๆ ได้ฝึกฝน’
ผู้อาวุโสสามหันมองไปยังศิษย์ตระกูลซางคนอื่นๆ พวกเขาล้วนแล้วแต่หวาดกลัวเหมือนสัตว์ตัวเล็กๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา หันไปมองแผ่นหลังซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน ทำได้เพียงลอบมอง ถ้าหากว่ามีอันตราย เขาก็จะเข้าไปช่วยออกมา
มีคนจากตระกูลต่างๆ เข้าร่วมการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง
นี่กระตุ้นความเลือดร้อนของหานฉายไฉ่ ตอนนี้ เวลานี้ เขาคิดอยากจะลืมตระกูล!
เขากระโดดลงจากเนินเขา ร้องตะโกนเสียงดังว่า “มู่ชิงเกอ!”
พลิ้วร่างพุ่งตัวไล่ตามนางไป
เขาร้องตะโกนเสียงดังทำให้หานอี้เหรินกับหร่วนชิงเหลียนล้วนแต่มีท่าทีที่เปลี่ยนไป
ส่วนมู่ชิงเกอที่กำลังฆ่าฟันก็มองเห็นเงาร่างที่พุ่งตัวมาที่ตนเอง
นางมุมปากกระตุกขึ้นอย่างอดไม่ได้
แต่นางมองไปก็มองเห็นได้ชัดว่าคนที่ไล่ตามมาไม่ได้มีแค่หานฉายไฉ่คนเดียว
อีกอย่าง ใบหน้าที่ไล่ตามมาล้วนแต่เป็นคนที่นางคุ้นเคย เซิ่งอวี้หลีกับเจี่ยงเทียนเฮ่ามาถึงก่อนใคร เซิ่งอวี้หลีพยักหน้าให้นาง จากนั้นก็มุ่งไปหาฉินอี้เหยา
ส่วนเจี่ยงเทียนเฮ่าฆ่าสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่มุ่งไปยังมู่ชิงเกอ แล้วเอ่ยกับเขาว่า “ข้ายังไม่ได้เอาชนะเจ้า ไม่อยากให้เจ้ามาตายที่นี่”
พูดแล้วก็เข้าสู่การต่อสู้
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก ในใจคิดว่า ‘ตาไหนของเจ้ามองเห็นว่าข้าจะตายที่นี่?’
ตามมาติดๆ เป็นซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน
พวกเขาปรากฎตัวอยู่ข้างหน้าของมู่ชิงเกอ ถึงแม้ว่าสีหน้าจะซีดขาวแต่ก็ดูฮึกเหิมมาก
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าทั้งสองมาทำอะไรกัน?”
การตำหนิจากพี่สาว ทำให้ซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉินจ๋อยลงไปเล็กน้อย แต่ซางเสวี่ยอู่ก็ยังรีบอธิบายความในใจของตนเองในทันที “ในหลินชวน ท่านอาจจะอยู่ตัวคนเดียว แต่ว่าที่นี่ท่านมีพวกเรา ข้ากับอี้เฉินจะเคียงข้างท่าน!”
พูดแล้ว นางก็ชักกระบี่ออกมา เกล็ดหิมะที่หนาแน่นเริ่มร่ายระบำ…
คำพูดที่ควรพูดซางเสวี่ยอู่ได้พูดออกไปหมดแล้ว ซางอี้เฉินทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจริงจังให้มู่ชิงเกอ แล้วก็พุ่งเข้าไปหาสัตว์อสูรวิญญาณข้างกาย
“กลับมา!” มู่ชิงเกอคว้าคอเสื้อของเขา ดึงเขาเข้ามาอยู่ข้างกายของตนเอง เอ่ยกับซางอี้เฉินด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมว่า “เจ้าคิดจะใช้กำปั้นเปล่าๆ สู้กับสัตว์อสูรงั้นหรือ?”
พูดแล้ว กลางฝ่ามือของนางก็มีขวานปรากฎออกมา แล้วนางก็ส่งให้ซางอี้เฉิน
ซางอี้เฉินรับขวานมาอย่างตื่นเต้น ร้องเสียงดังออกมา พุ่งเข้าไปในเผ่าสัตว์อสูร ในตอนนี้ มู่ชิงเกอถึงได้เห็นว่าแสงพลังจิตของซางอี้เฉินนั้นดูออกขาวยิ่งกว่าของซางเสวี่ยอู่เสียอีก
นี่ก็หมายความว่า ระดับพลังของซางอี้เฉินเหนือกว่าซางเสวี่ยอู่!
ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินเข้าสู่สนามรบ ก็ค่อยๆ ถูกสถานการณ์ทำให้คุ้นชิน หรือบางทีนี้อาจเป็นเพราะร่างกายของพวกเขามีสายเลือดของตระกูลมู่ ดังนั้นถึงแม้จะไม่เคยผ่านสนามรบเช่นนี้ แต่พวกเขาก็สามารถคุ้นเคยได้อย่างรวดเร็ว
ในตอนที่หานฉายไฉ่ปรากฎตัวต่อหน้านางนั้น ใบหน้ ของมู่ชิงเกอก็มืดทะมึนไปแล้ว
“อย่างไร? เห็นข้าแล้วไม่ดีใจงั้นหรือ?” นัยน์ตาเรียวยาวของหายฉายไฉ่เผยประกายแวววาวออกมาเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้ามาในทุ่งหญ้าอัสดง
มู่ชิงเกอยิ้มเย็น “ดีใจจนคิดอยากจะฆ่าคนถือว่าดีใจหรือไม่?”
“ใช่ มา ฆ่าด้วยกัน!” หานฉายไฉ่เลิกคิ้วเอ่ย
ในใจของมู่ชิงเกอหมดคำจะกล่าว ขี้เกียจที่จะต่อล้อต่อเถียงกับเขา จับทวนหลิงหลงพุ่งเข้าไปในกลุ่มสัตว์อสูรอีกครั้ง
จากนั้นเจี่ยงเทียนเฮ่า ซางเสวี่ยอู่ ซางอี้เฉิน แล้วก็ยังมีหานฉายไฉ่ก็ตามนางไป ทำเอานางหมดคำพูดจะกล่าว ส่วนห่างจากนางไม่ไกลออกไป ฉินอี้เหยากับเซิ่งอวี้หลี กำลังต่อสู้ด้วยกัน
“คึกคักขึ้นไปเรื่อยๆ แล้ว” บนเนินเขา จีเหยาฮั่วมองภาพสนามรบ นัยน์ตาหรี่เล็กลงมุมปากเผยรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจ
ทันใดนั้นอิ๋งเจ๋อก็ชักอาวุธของตัวเองออกมา และก็กระโดดลงจากเนินเขา พุ่งเข้าไปสู่สนามรบ
จีเหยาฮั่วชะงัก ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา “บ้าไปแล้ว บ้ากันไปหมดแล้ว ช่างเถอะ ในเมื่อบ้าแล้ว เช่นนั้นก็บ้าไปด้วยกันเถอะ!” พูดแล้วเขาก็กระโดดตามอิ๋งเจ๋อลงไป
อิ๋งเจ๋อกับจีเหยาฮั่วเคลื่อนไหว คนของตระกูลอิ๋งและตระกูลจีก็ไม่อาจจะรอต่อไปได้
และหลังจากคนของตระกูลอิ๋งและตระกูลจีเคลื่อนไหว คนจากบรรดาตระกูลต่างๆ บางตระกูลก็เริ่มเข้าร่วมการศึกในครั้งนี้เช่นเดียวกัน ในนั้นก็รวมไปด้วย ตระกูลเซิ่ง ตระกูลเจี่ยง ตระกูลหาน ตระกูลหร่วนและอื่นๆ
ผู้อาวุโสสามของตระกูลซางหันไปสั่งการภายในตระกูล ให้ดูแลศิษย์คนอื่นๆ ส่วนตนเองกระโดดเข้าร่วม
พริบตาเดียว เผ่ามนุษย์ก็ดูแข็งแกร่งขึ้นมา เผ่าสัตว์อสูรทุลักทุเลขึ้นเรื่อยๆ ทิ้งซากร่างเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ
“วุ่นวายแล้ว เกิดอะไรขึ้นกัน? คนของตระกูลเหล่านี้เข้ามาร่วมทำไม?” หัวหน้ากองกำลังกลืนจันทร์เอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ
หัวหน้ากองกำลังยักษ์วิถีหัวเราะเสียงดังออกมา เอ่ยกับเขาว่า “สนใจทำไม ฆ่าอย่างสะใจก็พอแล้ว!”
“พวกเขาไปกันหมดแล้ว พวกเราจะยืนอยู่ก็คงไม่เหมาะหรอกกระมัง?” ในมุมบางมุม นัยน์ตาของไป๋สี่ฉายแวววาววาบ
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!” หยินเฉินเห็นด้วย
ตามมาติดๆ ทั้งสองกลายร่างเป็นแสงสองสายพุ่งตรงเข้าไปในสนามรบบนทุ่งหญ้าอัสดง พวกเขาเคลื่อนไหว หยวนหยวนก็อดไม่ได้แล้ว ลากมือของจิงไห่เอ่ยว่า “ไป อาจารย์อาเล็กจะพาเจ้าไปฆ่า!”
จิงไห่ยังไม่ทันได้พูดก็ถูกหยวนหยวนลากไป
โย่วเหอกับฮวาเยว่สบตากัน ทั้งสองคนหยิบอาวุธของตนเองออกมา ตามไป
เหลือเสวี่ยหยา เซวี่ยนหย่ากับเซวี่ยนขุยสามคนยืนอยู่ที่ไกลๆ
เซวี่ยนหย่าหัวเราะเอ่ยว่า “เช่นนี้ก็ขาดแต่พวกเราแล้ว หากว่านายน้อยตำหนิลงมา อย่างน้อยก็โดนกันทุกคน”
พูดจบนางก็หายไปจากที่เดิม
นัยน์ตาของเสวี่ยหยาฉายแวววาววาบ ตามไปพร้อมกับเซวียนขุย
บนทุ่งหญ้าอัสดง ไม่ใช่งานล่าสัตว์ครั้งใหญ่เฉพาะพวกหลิวเค่ออีกต่อไป แต่กลายเป็นการล่าสัตว์ร่วมกันของทุกคน เหล่าตระกูลต่างๆ ที่มาชมดู ก็ค่อยๆ ทยอยพากันเข้าร่วม ที่เหลืออยู่ที่เดิมก็มีแต่เพียงพวกขี้ขลาด หรือเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ที่ไม่กล้าออกมาข้างหน้า
แน่นอนว่ามีศิษย์บางคนที่อดทนต่อความดุเดือดไม่ไหว ไม่สนใจอะไรกระโดดเข้าร่วม เพียงแต่ได้ไม่นานก็ถูกผู้อาวุโสของตระกูลไปลากกลับมา
เพราะว่า สนามรบเช่นนี้ มีแต่ความกล้านั้นไม่พอ ยังต้องมีความสามารถและพลังที่เพียงพออีกด้วย!
ไกลออกไปบนยอดเขา ซือมั่วยืนอยู่ ในอ้อมอกของเขายังมีกระต่ายตัวหนึ่งที่ตื่นแล้ว บนคอของกระต่ายยังมีห่วงทองสวมอยู่ที่คอด้วย
ส่วนในตอนนี้ กระต่ายเป็นเพราะเมื่อตื่นขึ้นมาพบว่ามีห่วงเพิ่มเข้ามาบนคอ ทำให้มันโมโหมาก
“อา คนที่ควรปรากฎตัว และไม่ควรปรากฎตัวล้วนแต่มาแล้ว” ซือมั่วจ้องมู่ชิงเกอ และก็มองเห็นหานฉายไฉ่ที่ตามติดนางมา
นัยน์ตาของซือมั่วฉายแววอำมหิต แต่กลับยิ้ม เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็จบเสียทีเถอะ”
พูดแล้ว เขาก็จับคอของกระต่าย บีบให้เขาคำรามออกมาคำหนึ่ง
“โฮก!”