ตอนที่ 271
หากไม่ไสหัวไป ก็ไปตายซะ!
“ผู้อาวุโสซาง ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสามชิ้นนี้ขอเชิญนำกลับไปเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยปากบอก
ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้คนตระกูลซางทั้งห้าต่างก็พากันตกตะลึง
ไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสสาม หรือว่าสองพี่น้องซางเสวี่ยอู่ แม้กระทั้งพวกซางจื่อหลันสองคนพวกเขามีความคิดอย่างเดียวกันนั่นคือ
มู่ชิงเกอปฏิเสธแล้ว!
ผู้อาวุโสสามตัวแข็งทื่อไป ในแววตาฉายความประหลาดใจระคนสงสัยอยู่บ้าง ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสามชิ้นนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ แต่ก็มีค่าอยู่พอตัว แม้ว่าเขาจะตะคอกเสียงดังใส่ซางจื่อหลันและซางเหย่ แต่สิ่งที่พวกเขาเอ่ยมา เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธในใจได้
มู่ชิงเกอปฏิเสธโดยที่ไม่คิดสักนิดเลยหรือ?
ยุทธภัณฑ์ที่ตระกูลซางหลอมขึ้นมา เปลี่ยนไปไม่มีคุณค่าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
“คุณชายมู่ไม่ลองคิดดูสักหน่อยหรือ?” ผู้อาวุโสสามไม่ยอมแพ้ ระงับไฟโทสะไว้ในใจ ทำหน้าหนาเอ่ยถามอีกครั้ง
หากเป็นเมื่อก่อนเจอสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะต้องแสดงอาการกราดเกรี้ยวออกไปอย่างแน่นอน ทว่าตระกูลซางทุกวันนี้ไม่ได้มีพลังอำนาจเช่นนั้น
“ผู้อาวุโสสาม ในเมื่อคนเขาไม่เห็นค่า เหตุใดพวกเราต้องฝืนใจต่อด้วยเล่า?” ซางจื่อหลันเอ่ยด้วยความไม่พอใจ
ซางเหย่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้วผู้อาวุโสสาม ยุทธภัณฑ์ตระกูลซางของพวกเราหากนำออกไปหา กองกำลังหลิวเค่อไหนสักกองจะหาไม่ได้เชียวหรือ?”
ครั้งนี้ ผู้อาวุโสสามไม่ได้เอ่ยขัด ราวกับว่ามีความคิดจะอาศัยปากของคนรุ่นหลังสองคนนี้ระบายความไม่พอใจที่อัดแน่นในใจตนเอง
บรรยากาศภายในกระโจมมีความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ซางเสวี่ยอู่มองผู้อาวุโสสามด้วยความกังวลใจ พลางเหลือบมองมู่ชิงเกอ
ทว่ามู่ชิงเกอยังคงมีท่าทีสงบเงียบเช่นเดิม ราวกับว่าไม่สนใจว่าคนตระกูลซางจะพูดเช่นไร
ผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ยุทธภัณฑ์ของตระกูลซางข้าไม่ต้องการจริงๆ แต่หากตระกูลซางสามารถมอบศิลาวิญญาณระดับกลางห้าร้อยก้อนออกมาได้ ภารกิจนี้ข้าเองก็จะรับไว้”
นางไม่ต้องการยุทธภัณฑ์ต้องการเพียงศิลาวิญญาณเท่านั้น!
แน่นอนว่าหากวันนี้ยุทธภัณฑ์ที่ตระกูลซางเสนอออกมาไม่ใช่ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติสามชิ้น แต่เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ นางย่อมรับไว้อย่างแน่นอน
ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ ไม่ดึงดูดความสนใจนางเลยจริงๆ
“อะไรนะ! เจ้าต้องการศิลาวิญญาณห้าร้อยก้อน? เรียกร้องเงื่อนไขมากเกินไปหน่อยไหม!” ผู้อาวุโสสามยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เสียงแหลมของซางจื่อหลันก็ดังขึ้นในกระโจม
ดวงตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอกวาดสายตามองมาที่นาง มุมปากกระตุกรอยยิ้มโค้งเอ่ยสัพยอก “คุณหนูผู้นี้คือใครกัน? พูดแทรกขึ้นก่อนอยู่รํ่าไป ผู้ที่ไม่รู้อาจจะเข้าใจว่าเจ้าเป็นผู้สั่งการตระกูลซาง”
“จื่อหลันหุบปาก ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาพูดจาเหลวไหลได้นะ” ผู้อาวุโสสามเอ่ยตำหนิซางจื่อหลันขึ้นในทันที
“ข้า…ผู้อาวุโสเห็นชัดๆ ว่าเขาทำเกินไป!” ซางจื่อหลันเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้
ผู้อาวุโสสามกลับยิ่งเอ่ยด้วยความโมโหว่า “เรื่องความร่วมมือระหว่างข้ากับคุณชายมู่ ถึงคราวให้เจ้ามาพูดเหลวไหลตั้งแต่เมื่อไรกัน? หัดเอาอย่างเสวี่ยอู่เสียบ้าง!”
เมื่อเอ่ยถึงซางเสวี่ยอู่ สายตาของซางจื่อหลันก็บังเกิดความโกรธเคือง แววตาที่แฝงอารมณ์โมโหมองไปที่ซางเสวี่ยอู่
การกระทำนี้ตกอยู่ในสายตามู่ชิงเกอ ทำเอาแววตาของนางลึกลับยากที่จะคาดเดาได้
เมื่อตำหนิซางจื่อหลันแล้ว ผู้อาวุโสสามก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “คุณชายมู่ ศิลาวิญญาณห้าร้อยก้อนนี่แพงไปหน่อยหรือไม่? ท่านลอง…”
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็เอ่ยปากขัดคำพูดของผู้อาวุโสสาม
ผู้อาวุโสสามตะลึง รอประโยคถัดไปของมู่ชิงเกอ
ชิงเกอยกมือขึ้นช้าๆ ชี้ไปทางซางจื่อหลัน “พานางไปด้วยคิดศิลาวิญญาณเจ็ดร้อย ไม่พานางไปด้วยคิดศิลาวิญญาณสามร้อย ไม่ต่อราคา”
นางพูดจบ ภายในกระโจมก็ตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากที่ผู้อาวุโสสามได้สติกลับมาแล้ว ก็หันกลับไปมองซางจื่อหลันแล้วก็มองมู่ชิงเกอ
ซางจื่อหลันมีสีหน้าตกตะลึง ราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ส่วนซางอี้เฉินที่อยู่อีกข้างหนึ่ง กลับลอบก้มหน้ากลั้นหัวเราะ
“เจ้าว่าอะไรนะ!” สุดท้ายเมื่อซางจื่อหลันเข้าใจ ก็เอ่ยออกมาด้วยความโกรธ
ผู้อาวุโสสามเองก็มีสีหน้าประหลาดเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณชายมู่ นี่มัน…”
“นางวุ่นวาย” มู่ชิงเกอเอ่ยเหตุผลของตนเองออกมาสั้นๆ ได้ใจความ
พอคำว่า ‘วุ่นวาย’ เอ่ยออกมา สีหน้าของซางจื่อหลันก็ไม่น่าดูขึ้นมาทันที ซางเหย่เองก็มีสีหน้าขุ่นเคือง ราวกับรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนนาง
ทว่า ผู้อาวุโสสามกลับเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอเป็นอย่างดี
ในสายตาของเขา ซางจื่อหลันเป็นตัวสร้างความวุ่นวาย การที่มีนางอยู่ทำให้ความยากของภารกิจสูงขึ้น ดังนั้นเขาจึงขึ้นราคา แต่หากไม่มีนางร่วมทางไปด้วย เขาก็ ยินยอมที่จะลดการเรียกเก็บศิลาวิญญาณลงสองร้อยก้อน
เมื่อเข้าใจแล้ว ผู้อาวุโสสามก็นิ่งขรึมไป ครุ่นคิดอยู่ในใจ เป้าหมายของเขาคือให้มู่ชิงเกอกับซางเสวี่ยอู่ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน ที่ว่าให้คนรุ่นเยาว์ตระกูลซางไปฝึกฝนหาประสบการณ์อะไรนั่นก็เป็นข้ออ้างทั้งเพ
และด้วยอุปนิสัยของซางจื่อหลันแล้ว มีความเป็นไปได้ว่าจะทำลายสิ่งที่เขาสู้อุตส่าห์วางแผนเอาไว้อย่างดีเป็นแน่
ผู้อาวุโสสามพยักหน้า ตัดสินใจได้แล้ว “ตกลง เช่นนั้นก็เอาตามที่คุณชายมู่ว่า พาเสวี่ยอู่กับอี้เฉินไปก็พอแล้ว”
“ผู้อาวุโสสามได้อย่างไรกัน?”
“นั่นสิ ผู้อาวุโสสาม ท่านลำเอียงเกินไปแล้ว!” ซางจื่อหลันกับซางเหย่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา
ผู้อาวุโสสามสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยกับทั้งสองว่า “ข้ามองว่าเจ้าทั้งคู่ก็ไม่ได้มีใจคิดที่จะไปฝึกฝนหาประสบการณ์อย่างแท้จริง ก็รั้งกายอยู่กับข้านี่แหละ”
“ผู้อาวุโสสาม ข้าไม่ยอม!”
“ข้าเองก็ไม่ยอม!”
ซางจื่อหลันกับซางเหย่ประท้วงสุดกำลัง
“พวกเจ้าคัดค้านใช่หรือไม่? การตัดสินใจของข้า ต้องให้พวกเจ้ามาพูดเหลวไหลตั้งแต่เมื่อไรกัน? หุบปากเดี๋ยวนี้! หากพูดออกมาอีกประโยค พวกเจ้าก็ไสหัวกลับไปเมืองฝูซาไป” ในที่สุดผู้อาวุโสสามก็โกรธขึ้นมาแล้ว
ยิ่งเห็นท่าทีที่ซางจื่อหลันและซางเหย่แสดงออกมา เขายิ่งรู้สึกว่าความคิดเห็นของมู่ชิงเกอก่อนหน้านี้ที่ว่าไม่พาสองคนนี้ไป เป็นสิ่งที่ถูกต้อง!
มองไฟโกรธที่ทั้งสองระบายออกมา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะถูกมู่ชิงเกอจุดขึ้นมา หรือว่าถูกคนรุ่นหลังทำให้โกรธ
“คุณชายมู่ เป็นอันว่าตกลงตามนี้ พรุ่งนี้เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เสวี่ยอู่กับอี้เฉินจะนำศิลาวิญญาณจำนวนสามร้อยก้อนมารวมตัวกับท่าน” ผู้อาวุโสสามลุกขึ้นมาเอ่ย
ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินแปลกใจชั่วขณะ แววตาที่มองมู่ชิงเกอแฝงความยินดี
ความยินดีนี้ซ่อนไว้เป็นอย่างดี แต่ยังถูกสายตาเคียดแค้นของซางจื่อหลันที่จับจ้องซางเสวี่ยอู่มองเห็นออกอยู่ดี
มู่ชิงเกอพยักหน้า เอ่ยสั่งการมั่วหยางว่า “ส่งแขก”
คนตระกูลซางเดินออกไปจากค่ายเขี้ยวมังกร เมื่อจบเรื่องใหญ่ไปเรื่องหนึ่ง ผู้อาวุโสสามก็รู้สึกโล่งอก แม้ว่าการแลกเปลี่ยนก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกจิตใจห่อ เหี่ยว แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์กับกองกำลังเขี้ยวมังกรต่อจากนี้ไปแล้ว บางทีอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง จากเหตุนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะพอใจขึ้นมา
“เสวี่ยอู่ พรุ่งนี้ติดตามกองกำลังเขี้ยวมังกรเข้าไปในเทือกเขาซางหลาน ก็ต้องรู้ความ อย่าเพิ่มเรื่องวุ่นวายให้พวกเขา แล้วก็อย่าให้ผู้อื่นดูแคลนเอาได้” ผู้อาวุโสสามเอ่ยกำชับซางเสวี่ยอู่
“เจ้าค่ะ ผู้อาวุโสสาม” ซางเสวี่ยอู่รับคำเสียงสุภาพอ่อนหวาน
ผู้อาวุโสสามพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วก็หันมาเอ่ยกับซางอี้เฉิน “ครั้งนี้เจ้าไปเป็นเพื่อนพี่สาวเจ้า อย่าได้ซุกซน อย่าได้สร้างเรื่อง เรียนรู้จากคนของกองกำลังเขี้ยวมังกรแต่โดยดี พวกเขาอายุมากกว่าเจ้าไม่เท่าไร แต่กลับสุขุมมาก”
“ทราบแล้ว ผู้อาวุโสสาม” หากเป็นคนอื่น ซางอี้เฉินย่อมไม่ยอมลงให้เป็นแน่ แต่ว่าคนพูดเป็นพี่สาวของเขา เป็นคนของพี่สาวเขา เขาต้องยอมลงให้อยู่แล้ว
บรรยากาศพูดคุยสนิทสนมกลมเกลียวกันของคนทั้งสาม คุยกันไปหัวเราะกันไปอยู่ข้างหน้า ใบหน้าของซางจื่อหลันกับซางเหย่อึมครึมตามอยู่ด้านหลัง ภาพข้างหน้าทำให้พวกเขารู้สึกขัดตาเป็นพิเศษ
“เหอะ ปกติแสร้งทำตัวเป็นเทพธิดา แต่ความจริงก็เป็นแค่สตรีเหลวแหลกมิใช่หรือ? พอเห็นบุรุษรูปงามก็ทนไม่ไหวเสนอตัวเข้าหา” ซางจื่อหลันพึมพำออกมาด้วยนํ้าเสียงริษยา
ซางเหย่ปรายตามองนางแวบหนึ่งก็พยักหน้าเอ่ยขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสสามก็ลำเอียงเกินไปหน่อย รอให้กลับไปที่ตระกูลเสียก่อนเถอะ ข้าจะต้องแจ้งให้ท่านพ่อทราบ แล้วก็ต้องร้องเรียนไปที่ท่านประมุข”
“ร้องเรียนไปที่ท่านประมุขแล้วจะมีประโยชน์อันใด?” ซางจื่อหลันถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง ในสายตามีความร้ายกาจอยู่หลายส่วน “พวกเขาเป็นหลานของท่าน ประมุข เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขสุดที่รักของเขา”
“จื่อหลัน แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร?” ซางเหย่เอ่ยขึ้นอย่างไม่สามารถช่วยอะไรได้อยู่บ้าง
ซางจื่อหลันตวัดสายตามองเขา เอ่ยด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายไม่ฮึดสู้ “เมื่อใดที่เจ้าสามารถฝึกพลังยุทธ์แซงหน้าซางเสวี่ยอู่คนสารเลวนั่นได้ บรรดาผู้อาวุโสในตระกูลย่อมต้องมองเจ้าสูงค่าขึ้นมาบ้าง”
ซางเหย่เอ่ยอย่างเหม่อลอย “แม้แต่เจ้าเองยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง แล้วข้าจะไปสู้อะไรได้?”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้แววตาของซางจื่อหลันอึมครึมยิ่งขึ้น นางจับจ้องไปยังภาพเบื้องหลังของซางเสวี่ยอู่ เอ่ยขึ้นด้วยความชิงชัง “รอดูเถอะ สักวันหนึ่งข้าจะสามารถหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ และหลอมออกมาได้เร็วกว่าซางเสวี่ยอู่!”
ในค่ายเขี้ยวมังกร เมื่อทุกคนเดินออกไปจากกระโจมหลักแล้ว ม่ชิเกอก็ถูกซือมั่วรวบเข้าไปอยู่ในอก
ฝ่ายหลังมองนางด้วยสายตามืดมน มู่ชิงเกอมองภาพเขาที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วในใจเบิกบานเหลือคณานับ
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์หลังจากเจ้าจุดไฟก็หนีไป เคยคิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างหรือไม่?” ซือมั่วมองหน้าสตรีที่อารมณ์ดีอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีนํ้าโห ในใจรู้สึกทั้งโมโห ทั้งขบขัน
มู่ชิงเกอพลิกตัวมากระทุ้งอกเขาเบาๆ เอ่ยถามขึ้นว่า “รู้ถึงความร้ายกาจของข้าหรือยัง?”
ภาพความภาคภูมิใจน้อยๆ ของนาง ทำเอาซือมั่วถอนหายใจอย่างจนปัญญา ทำได้เพียงพยักหน้าคล้อยตามไป หากยังปากแข็งต่อไปเกรงว่าคืนนี้เขาคงไม่ได้ขึ้นแม้ แต่เตียงนอน
“เจ้าจะตามข้าเข้าไปในหุบเขาหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ต้องไปอยู่แล้ว” ซือมั่วเอ่ยออกมาโดยไม่ต้องคิด หลังจบงานล่าสัตว์นี้แล้วเขาก็ต้องจากไป ทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่กับมู่ชิงเกอ เขาย่อมหวงแหนถนอมไว้เป็นพิเศษ “เช่นนั้นก็ตามไปเถอะ แต่ว่าเจ้าต้องระวังกิริยา อย่าให้ข้าเสียกิริยาต่อหน้าผู้อื่น” มู่ชิงเกอเอ่ยเตือนท่าทางจริงจัง นางกลัวว่าบุรุษผู้นี้อาละวาดขึ้นมา แล้วจะทำเรื่อง อะไรแปลกๆ โดยที่ไม่สนใจผู้ใดขึ้นมาจริงๆ
มู่ชิงเกอค้นพบแล้วว่า ตั้งแต่ที่บุรุษผู้นี้ได้กินเนื้อแล้ว ท่าทีการแสดงออกของเขาต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น ราวกับสัตว์ป่าอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งไหนเวลาใดก็ตามล้วนเกิดอารมณ์ได้ทั้งนั้น!
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์หมายถึงเรื่องอะไรหรือ?” ซือมั่วกลอกสายตาสีอำพันอย่างใสซื่อไร้เดียงสา
มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกเบาๆ กัดฟันเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องแสร้งทำใสซื่อไร้เดียงสา ทำเป็นบริสุทธิ์ใส่ข้าเลย!”
“เช่นนั้นคืนนี้ ก็ต้องป้อนข้าจนอิ่ม เมื่อป้อนอิ่มข้าก็ย่อมไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทางมิฉะนั้นแล้วข้าเองก็ไม่สามารถรับประกันอะไรได้” ซือมั่วเอ่ยออกมาแฝงความคุกคาม
มู่ชิงเกอได้แต่สูดลมหายใจเย็นเข้าปอด เบิกตากว้างทั้งสองข้างมองหน้าเขา บริภาษอยู่ในใจ ‘เจ้าเป็นคนที่ป้อนอิ่มด้วยหรือ?’
วันรุ่งขึ้น ก็เป็นเวลาออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เทือกเขาซางหลาน
ตามกฎของการล่าสัตว์กองกำลังหลิวเค่อจะแยกย้ายกันเข้าไปในหุบเขา ใช้เวลาอยู่ในหุบเขาราวสิบวัน สัตว์อสูร แก่นอสูร สมุนไพรต่างๆ ที่ได้ระหว่างนั้นล้วน สามารถเก็บเข้าสู่กระสอบ ขณะเดียวกันก็ถือเป็นคะแนน
มูชิงเกอสวมใส่อาภรณ์ง่ายๆ ร่วมขบวน ท่าทางสดชื่น ลอยชายปรากฎกายอยู่ตรงหน้าบรรดาองครักษ์เขี้ยวมังกร
ครั้งนี้ราวกับว่าได้หวนกลับไปตอนอยู่ที่เทือกเขาฉิน ตอนที่นางนำองครักษ์เขี้ยวมังกรเข้าไปฝึกฝนในหุบเขาเพียงลำพัง
ซือมั่วปรากฎกายอยู่ข้างตัวนาง ในอ้อมแขนยังคงอุ้มกระต่ายโบราณตัวนั้นเอาไว้เช่นเคย
ทว่าการปรากฎตัวของเขาสำหรับมั่วหยางและองครักษ์เขี้ยวมังกรแล้วถือเป็นเรื่องปกติ แต่ในสายตาของผู้อื่น กลับมองไม่เห็นคนผู้นี้ไม่สามารถสัมผัสใดใดต่อเขา
“เตรียมตัวพร้อมแล้วก็เคลื่อนขบวนเถอะ” มู่ชิงเกอเอามือไพล่หลัง เอ่ยกับองครักษ์เขี้ยวมังกร
คนกว่าร้อยคนเดินออกมาจากค่ายเขี้ยวมังกรด้วยความเป็นระเบียบ เพียงแวบเดียวก็มองเห็นซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินที่ยืนรออยู่ด้านนอก
ทั้งสองคนเดินตรงไปที่มู่ชิงเกอ ซางเสวี่ยอู่นำศิลาวิญญาณจำนวนสามรอยก้อนส่งให้มู่ชิงเกอ “นี่คือสิ่งที่ผู้อาวุโสสามให้ข้านำมามอบให้”
มู่ชิงเกอปรายตามองมาครู่หนึ่ง ให้มั่วหยางรับไว้โดยไม่เกรงใจ จากนั้นเอ่ยกับทั้งคู่ว่า “ตามมา”
นํ้าเสียงของนางแฝงความเย็นชาและห่างเหิน แต่ทว่าไม่ได้มีผลกระทบกับความยินดีปรีดาในใจของซางเสวี่ยอู่และซางอี้เฉิน
ส่วนซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินเองก็คล้ายกับว่าไม่ได้สนใจซือมั่ว ราวกับว่า ‘มองไม่เห็น’ เขา
มู่ชิงเกอมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ในใจรู้สึกแปลกใจว่าเขาทำได้อย่างไรกันแน่
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของมู่ชิงเกอมองมา ซือมั่วก็ปรายตามองกลับมาด้วยความพึงพอใจ แววตาสีอำพันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เดินลงมาจากบนเนินเขา การปรากฎตัวโดยไม่คาดหมายของคนผู้หนึ่งกลับทำให้มู่ชิงเกอหยุดเท้า
ทันใดนั้นขุมพลังข้างกายก็แปรเปลี่ยนไปทำเอานางกระตุกมุมปากเล็กน้อย ขุมพลังนี้แฝงความรู้สึกรำคาญใจ คนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้ซือมั่วเกิดความรำคาญใจได้ ไม่ว่าจะมองในมุมไหนก็ถือว่าไม่ธรรมดา คิดแล้ว มู่ชิงเกอก็เดินไปยังผู้ที่ขวางทาง
เมื่อมาอยู่ตรงหน้าคนผู้นั้น มู่ชิงเกอก็เอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ซางอี้เฉินที่ยืนอยู่ข้างซางเสวี่ยอู่ ลอบมองพิจารณาด้วยความสงสัย “คล้ายกับว่าเคยพบคนผู้นี้มาก่อน น่าจะเป็นที่ค่ายของตระกูลหานเขตภาคเหนือ”
ซางเสวี่ยอู่กวาดสายตามองมาที่เขา เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “พูดให้น้อยหน่อย”
ซางอี้เฉินหดคอ ไม่กล้าส่งเสียงประท้วงขึ้นมาอีก
ผู้ที่ปรากฎตัวอยู่ต่อหน้าทุกคน ย่อมต้องเป็นหานฉายไฉ่
เขากวาดสายตามองรอบหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกสงสัยขึ้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของมู่ชิงเกอ เขาก็ยังคงเผยรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจ “ข้าย่อมมาเพื่อเข้าไปในเทือกเขาซางหลานเป็นเพื่อนเจ้าอย่างไรล่ะ ยึดตามสัญญาลับระหว่างข้ากับเจ้า การเข้าไปในเทือกเขาซางหลานพร้อมกันถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
มู่ชิงเกอไม่พลาดที่จะมองเห็นความสงสัยในสายตาของเขา
ราวกับว่าสงสัยถึงการไม่ปรากฎตัวของซือมั่ว
ทว่าความจริงแล้วซือมั่วก็อยู่ตรงหน้าเขา เพียงแต่ว่าถูกเขามองผ่านไปก็เท่านั้นเอง
และนางก็ไม่พลาดที่จะมองเห็นความมั่นอกมั่นใจในสายตาของเขา ความมั่นอกมั่นใจนั้นราวกับคิดว่านางต้องตอบตกลงในข้อเสนอของเขา ให้เขาเข้าหุบเขาไป เป็นเพื่อนอย่างแน่นอน ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับหานฉายไฉ่ หลายครั้งหลายคราที่เขามีทัศนคติว่าตนเองเป็นผู้กุมชัยชนะไว้ มู่ชิงเกอ เคยชื่นชม ความมั่นใจประเภทนี้
ทว่าตอนนี้ นางกลับรู้สึกไม่ชอบใจกับความมั่นอกมั่นใจเช่นนี้ของหานฉายไฉ่อยู่บ้าง
“ไม่จำเป็น” มู่ชิงเกอปฏิเสธออกมาตรงๆ
คำตอบที่เหนือความคาดหมายนี้ทำเอาหานฉายไฉ่ตัวแข็งทื่อ ดวงตาเรียวยาวส่องกะพริบอยู่หลายที กดเสียงต่ำเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ?”
นํ้าเสียงนั่นคล้าย กับว่ากำลังปลอบเด็กอย่างนั้นแหละ
คำพูดของเขาย่อมต้องหมายถึงบทสนทนาที่จากกันไปด้วยความไม่สบอารมณ์เมื่อวันก่อน
“ไม่ใช่ ข้ารับการไหว้วานจากตระกูลซางแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ภารกิจเกิดเหตุเหนือความคาดหมาย ข้าไม่รับการไหว้วานจากตระกูลอื่นอีก” มู่ชิงเกอเอ่ยอธิบายเสียงนิ่ง
สายตาของหานฉายไฉ่เบนจากตัวนาง ไปหยุดที่ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉิน
“คนตระกูลซาง” หานฉายไฉ่พึมพำขึ้นมา หันกลับมามองมู่ชิงเกอ เอ่ยขึ้นคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม “ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยพูดว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องตระกูลซาง”
มู่ชิงเกอหัวเราะนิ่งๆ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงแค่รับเงินทำงานก็เท่านั้นเอง” สำหรับนางแล้วซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินไม่เหมือนกับคนตระกูลซางคนอื่นๆ
และหากมองในฐานะผู้อาวุโสตระกูลมู่ นางเองก็ไม่สามารถทำเป็นมองไม่เห็น
แน่นอนว่าเหตุผลนี้นางไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อหานฉายไฉ่ และก็ไม่จำเป็นต้องชี้แจงต่อใครทั้งนั้น
“เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจ่ายเงินให้เจ้าเป็นอย่างไร?” ทันใดนั้น หานฉายไฉ่ก็เสนอออกมา
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว นี่หานฉายไฉ่คิดจะพัวพันกับนางไม่หยุดใช่หรือไม่? อะไรกันที่ทำให้เขาเกิดเปลี่ยนท่าทีไปจากเมื่อก่อน? หานฉายไฉ่ก่อนหน้านี้หนักแน่นแต่ไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกต่อต้าน ส่วนเขาในตอนนี้ค่อยๆ บีบบังคับทำให้ใจของนางเกิดความขัดแย้ง
“พี่รอง”
“พี่ไฉ่!” ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องเรียกดังแว่วมาไกลๆ
หานฉายไฉ่กับมู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองตรงไป ก็พบกับหานอี้เหรินที่เดินจูงหร่วนชิงเหลียนเดินมาทางพวกเขา
“พี่รอง ที่แท้ท่านก็มาอยู่นี่เองให้พวกเราหาตั้งนาน โดยเฉพาะชิงเหลียน ไม่เห็นท่านก็ร้อนใจจะตายอยู่แล้ว” หานอี้เหรินตั้งใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงกำกวม
หร่วนชิงเหลียนที่ถูกนางเอ่ยออกมาเช่นนี้ สองแก้มก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ ลอบส่งสายตามองไปที่หานฉายไฉ่ด้วยความรักใคร่
คำพูดของหานอี้เหรินทำให้หานฉายไฉ่คิ้วขมวดยุ่งด้วยความไม่ยินดี ส่วนมู่ชิงเกอกลับมองคนทั้งสามด้วยสายตาครุ่นคิด สุดท้ายนางก็เอ่ยกับหานฉายไฉ่ว่า “ในเมื่อมีคนมาหาเจ้า ข้าก็ไม่รบกวนแล้ว”
พูดจบ นางก็หันหลัง เดินจากไป
รอจนนางเดินไปหยุดอยู่ข้างกายซือมั่ว หานฉายไฉ่ถึงได้สังเกตว่าคนที่เขานึกว่าไม่ปรากฎมาโดยตลอดที่แท้ก็อยู่ข้างกายมู่ชิงเกอตลอดเวลา
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็หม่นหมองริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง
ส่วนซือมั่วกลับไม่ปรายตามองมาที่เขาเลยสักครั้ง ราวกับว่าการปรากฎตัวของหานฉานไฉ่ผู้นี้ไม่มีความหมายใดๆ
เดิมซือมั่วไม่ได้เห็นหานฉายไฉ่อยู่ในสายตา แต่ใครใช้ให้เขาหมายปองเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขากันล่ะ? ดังนั้นเขาจึงเตือนหานฉายไฉ่ไว้ แต่ถึงขีดจำกัด หากว่าหานฉายไฉ่ยังคงลุ่มหลงไม่ลืมหูลืมตา เขาคงได้สังหารเขาจริงๆ ทนลำบากเพียงครั้งเดียวจะได้สบายตลอดไป
“พวกเราไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นเอ่ยบอกซือมั่ว
ซือมั่วพยักหน้า
และในเวลานี้เองหานอี้เหรินที่ส่งสายตามองตามการเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอก็มองเห็นซือมั่ว เมื่อเห็นซือมั่วปรากฎตัว หานอี้เหรินก็เปลี่ยนไปมีท่าทีเขินอาย เดิมทีนางพาหร่วนชิงเหลียนมาก็เพื่อขัดขวางการพบกันของหานฉายไฉ่กับมู่ชิงเกอ กลับไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับคนที่มีใจให้โดยไม่คาดฝัน
ทันใดนั้นหานอี้เหรินก็ปล่อยมือของหร่วนชิงเหลียนเป็นอิสระ ภายใต้ความสงสัยของนางพุ่งตัวไปอยู่ตรงหน้าซือมั่ว ไม่เห็นมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ข้างกายเขาอยู่ในสายตา เอ่ยด้วยความยินดี “ที่แท้เจ้าก็อยู่นี่เอง!”
ความกระตือรือร้นของนางทำเอามู่ชิงเกอถึงกับขมวดคิ้ว ทำให้เกิดความสงสัยในสายตาของซือมั่ว
เห็นได้ชัดว่า เขาไม่รู้จักสตรีที่โผล่พรวดออกมานางนี้
สายตาสีอำพันปรากฎความห่างเหินจางๆ เป็นชั้นตามมาด้วย ยังมีความเย็นชาไร้สิ้นสุด หากพูดว่าหานอี้เหริน เป็นไฟกองหนึ่ง ซือมั่วก็เป็นนํ้าแข็งพันปีที่ไม่ละลาย
เมื่อสายตาขี้เล่นของมู่ชิงเกอปรายตามา กลิ่นไอของซือมั่วก็เย็นขึ้นหลายส่วน พ่นคำพูดใส่หานอี้เหรินท่าทีเฉยเมย “ไสหัวไป”
ซือมั่วแสดงอาการออกมาอย่างที่คิด!
ในสายตามู่ชิงเกอมีรอยยิ้ม
ส่วนหานอี้เหรินก็ตะลึงไป ใบหน้างามที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มปรากฎรอยแตกร้าว
“เจ้า…เจ้าพูดกับข้าว่าอะไรนะ?” หานอี้เหรินมองซือมั่ว ด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
ซือมั่วกลับไม่ได้ไปสนใจนาง แต่มองผ่านนางเลยไปยังหานฉายไฉ่ที่ยืนอยู่ที่เดิม สายตาปล่อยไอสังหารที่ไม่มีแววหลอกเล่นว่า “ไสหัวไป หรือจะตาย”
เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยเรียกชื่อเขาไม่ใช่ไม่ปรารถนาแต่ไม่สนใจจะเรียก
สีหน้าหานฉายไฉ่ดำทะมึนลงในทันใด มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่น หากในตอนนี้ให้เขามีพลังมากพอ บางทีเขาอาจจะพุ่งไปสู้กับซือมั่วให้รู้แจ้งกันไป
ทว่า สติสัมปชัญญะของเขาบอกเขาว่า เขาสู้ไม่ได้! ห่างชั้นเทียบกับซือมั่วไม่ได้! ยิ่งไม่มีทางเอาชนะเขาได้!
สายตาของหานฉายไฉ่ลอยไปหยุดที่มู่ชิงเกออย่างอดไม่ได้ ราวกับต้องการให้นางพูดอะไรออกมาเพื่อเขาบ้าง อย่างน้อยปกป้องเขาออกมาสักหลายประโยค
น่าเสียดายที่เขายังคงต้องผิดหวัง
ท่าทีของมู่ชิงเกอยังคงนิ่งเฉยเป็นปกติ มองไม่ออกว่ามีสิ่งใดที่ต่างจากเดิม
นางไม่แม้แต่แสดงความไม่พอใจเพราะเพื่อนถูกคุกคาม
เพื่อน อย่างน้อยพวกเขาก็เป็นเพื่อนกัน
ในชั่วพริบตาเดียวอารมณ์ของหานฉายไฉ่ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายเขาก็ใช้พลังจิตฉุดดึงตัวหานอี้เหรินที่ยืนอยู่ที่เดิมกลับมา การกระทำของเขาบุ่มบ่าม ราวกับต้องการระบายโทสะที่ได้รับมาจากซือมั่วออกไป
หานอี้เหรินถูกดึงรั้งมาข้างหลังอย่างรวดเร็ว ล้มไปกองกับพื้นอย่างแรง สภาพน่าอนาถ
“โอ๊ย!” หานอี้เหรินล้มพับลงกับพื้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
หร่วนชิงเหลียนปรี่เข้ามาอยู่ตรงหน้านาง เอ่ยด้วยความห่วงใย “อี้เหริน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หานอี้เหรินกัดริมฝีปาก สั่นศีรษะอย่างเสียหน้า ส่งสายตาโกรธเคืองให้หานฉายไฉ่ที่ไม่มองนางแม้สักแวบหนึ่ง ส่วนหานฉายไฉ่เองก็มองไปที่มู่ชิงเกอเท่านั้น สายตานั้น ราวกับแฝงความผิดหวังเลือนราง
ผิดหวัง?
มู่ชิงเกออ่านอารมณ์ที่แสดงออกทางสายตาเรียวยาวคู่นั้นของเขาได้เป็นอย่างดี อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย็นในใจ นางเดินขึ้นหน้ามาหลายก้าวขยับเข้ามาใกล้หานฉายไฉ่ เอ่ยกระซิบข้างหูเขาว่า “หานฉายไฉ่ เจ้าควรจะแสดงความยินดี ที่ครั้งนี้นางปรารถนาในตัวบุรุษของข้าต่อหน้าข้า แล้วยังมีชีวิตอยู่”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ มู่ชิงเกอก็รักษาระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง ทำให้หานฉายไฉ่มองเห็นประกายความหยอกเย้าและดูแคลนในสายตาของนางได้อย่างชัดเจน นางกับหานฉายไฉ่เป็นเพื่อนกันมิผิด แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์เช่นนี้จะทำให้นางยอมให้น้องสาวเขาแสดงกิริยาเจ้าชู้!
ท่านมั่วเป็นคนของนาง ใครกล้ามาปรารถนาในตัวเขาก็คือการหาที่ตาย!
นางไม่ได้ลงมือสังหารหานอี้เหรินก็ถือว่าเห็นแก่หน้าของหานฉายไฉ่แล้ว หากหานฉายไฉ่ยังดึงดันจะทำอะไรตามใจตนเองโดยไม่ฟังผู้อื่น เกรงว่าความสัมพันธ์สุดท้ายระหว่างพวกเขาเองก็คงจะขาดสะบั้น พอถึงเวลานั้นใคร จะยังสนความเป็นความตายของหานอี้เหรินอยู่อีก?
คำพูดของมู่ชิงเกอทำเอาหานฉายไฉ่แข็งทื่อ
ความคิดของเขากระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันใด นั้นสิเขาหลงลืมไปได้อย่างไร ว่าแต่ไหนแต่ไรมามู่ชิงเกอก็ยืนหยัดมุ่งมั่น ทุกอย่างทื่เป็นของนาง จะไม่ยอมให้อะไร กร่ำกรายเด็ดขาด
มุมปากหานฉายไฉ่แต้มรอยยิ้มขมขื่น ส่งสายตามองมู่ชิงเกอนำพาองครักษ์เขี้ยวมังกรเดินจากไป
“พี่รอง เมื่อครู่นี้ท่านทำอะไร?” หานอี้เหรินพุ่งมาอยู่ตรงหน้าหานฉายไฉ่ด้วยความโกรธเคือง
หานฉายไฉ่ตวัดสายตามองนาง ดวงตาเรียวยาวเต็มไปด้วยความเย็นชา “ครั้งหน้าที่เจ้ารนหาที่ตายไม่ต้องมาทำต่อหน้าข้า! ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วอย่ายั่วโมโหเขา!”
สีหน้าหานอี้เหรินไม่น่ามองในทันใด ขณะที่กำลังจะแย้ง หร่วนชิงเหลียนก็ปรี่เข้ามาอยู่ระหว่างพี่น้องสองคน เอ่ยขึ้นอย่างต้องการผ่อนคลายความตึงเครียด “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันเลย”
“เจ้าหุบปากไป!”
“เจ้าหุบปากไป!”
หานฉายไฉ่กับหานอี้เหรินตะคอกใส่หร่วนชิงเหลียนพร้อมกัน
เสียงตะคอกที่ดังจากทั้งสองคนทำเอาหร่วนชิงเหลียนตะลึงอยู่กับที่ มองพวกเขาด้วยความตื่นตกใจ เมื่อหลุดปากออกไปหานอี้เหรินก็ได้สติรีบเปลี่ยนสีหน้า ท่าทางเอ่ยกับหร่วนชิงเหลียนว่า “ขออภัย ชิงเหลียน เมื่อครู่นี้ข้าอารมณ์ไม่ดี”
หร่วนชิงเหลียนมองหน้าหานอี้เหริน ระบายรอยยิ้มเข้าอกเข้าใจ ยังคงกุมมือนางไว้ด้วยความสนิทสนมเช่นเคย เอ่ยปลอบว่า “ไม่เป็นอะไร ข้าไม่โทษเจ้า”
ส่วนหานฉายไฉ่ยังคงมองพวกนางสองคนด้วยสายตาเย็นชา สะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินจากไป เขาเตือนหานอี้เหรินว่าไม่ให้รนหาที่ตาย แล้วตัวเขาเองไม่ใช่กำลังรนหาที่ตายหรือ?
ทั้งหมดมีที่มาจากการ ‘วางไม่ลง’ ในใจเขา! พอค้นพบฐานะที่แท้จริงของซือมั่วแล้ว นั่นก็ทำให้เขาคิดไปว่านี่เป็นโอกาสอันดี ความยั่วยวนนี้ทำให้เขาสูญเสีย สติสัมปชัญญะตกอยู่ในห้วงความสับสน แต่พอเห็นสายตาสุดท้ายของมู่ชิงเกอที่เผยความเหยียดหยาม มันก็ทำให้เขาได้สติกลับมา
จากทุ่งหญ้าอัสดงถึงเทือกเขาซางหลาน ทุกคนเลือกที่จะเดินเท้า
องครักษ์เขี้ยวมังกรยกธงกองกำลังเขี้ยวมังกรขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของตนเอง
ไม่ไกลออกไป ขบวนที่กำลังจะเข้าไปในเทือกเขาซางหลานมากมาย มองมาจากไกลๆ ก็เห็นขบวนกองกำลังนี้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังเขี้ยวมังกร หรือตัวมู่ชิงเกอ ล้วนเป็นประเด็นร้อนในช่วงเวลานี้
หลายคนมาเพราะกองกำลังเขี้ยวมังกร สุดท้ายกลับพบดาวดวงใหม่ที่ค่อยๆ ลอยขึ้นมาในโลกแห่งยุคกลาง ขอเพียงเขาไม่ตายตั้งแต่เยาว์วัย ย่อมเจิดจรัสส่องไปทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลาง!
‘การคาดเดา’ เช่นนี้เพียงไม่กี่วันก็แทบจะกลายเป็นความคิดในใจของผู้คนนับหมื่นในทุ่งหญ้าอัสดง แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้พบมู่ชิงเกอ หรือกองกำลัง เขี้ยวมังกร ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ส่งสายตาสงสัยมาให้
เพียงเพราะว่า กองกำลังเขี้ยวมังกรก็ดี มู่ชิงเกอก็ดี ที่มาของพวกเขาลึกลับเหมือนกัน แทบจะเรียกได้ว่าโดดเด่นเหนือคนทั่วไป ร่วงลงมาจากสวรรค์
“รอให้จบงานแข่งขันล่าสัตว์เกรงว่าจะมีคนไม่น้อยตรวจสอบประวัติที่มาของท่าน” ระหว่างทาง ซางเสวี่ยอู่ที่เดินอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอก็เอ่ยกับนาง
นางกับอี้เฉินเดินขนาบซ้ายขวา เยื้องไปด้านหลังของมู่ชิงเกอ สง่าคล้ายหางน้อยๆ ของนาง เบียดซือมั่วไปอยู่อีกด้านหนึ่ง
แน่นอนว่าใครใช้ให้ท่านมั่วลดความรู้สึกถึงการมีอยู่ของตนเอง ทำให้คนอื่นสัมผัสการมีอยู่ของเขาไม่ได้กันล่ะ?
“อยากตรวจสอบก็ให้ตรวจสอบเถอะ” มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
ที่มาของนางแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร แล้วก็ไม่สนใจด้วยว่าผู้อื่นจะล่วงรู้ว่านางมาจากหลินชวน ผืนทวีปที่ต้อยตํ่าแร้นแค้นในใจของผู้คนในโลกแห่งยุคกลาง
ซางเสวี่ยอู่กัดริมฝีปาก เอ่ยเตือนว่า “ข้าอยากจะพูดว่า หากว่าพวกเขาตรวจสอบเจอ ต่อไปศัตรูที่สู้ท่านไม่ได้ แล้วเอาความแค้นไปลงที่ตระกูลมู่ที่หลินชวนจะทำเช่นไร?”
คำพูดของนางทำให้แววตามู่ชิงเกอเย็นเยียบ
ซางอี้เฉินกลับแย่งเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเขากล้าหรือ! ใครกล้ามาสร้างเรื่องวุ่นวายให้ตระกูลข้า คุณชายน้อยจะไปพังตระกูลพวกเขาให้ราบ!”
มู่ชิงเกอหันกลับมามองเขา พิจารณาอยู่ชั่วขณะ หากพูดว่าสองคนนี้เป็นสายเลือดตระกูลมู่จริงๆ เช่นนั้น นางก็มองเห็นทุกอย่างจากคำพูดของซางอี้เฉินผู้นี้อยู่บ้าง
ทว่า นางก็ยิ้มขื่นส่ายหน้าอยู่ในใจทันที การยอมถอยเพื่อปกป้องภาพรวม การมองเห็นส่วนรวม มิเหมือนคนตระกูลมู่หรอกหรือ?
พี่น้องหญิงชายคู่นี้ช่างน่าสนใจเสียจริง คนหนึ่งถ่ายทอดความองอาจห้าวหาญของตระกูลมู่ คนหนึ่งถ่ายทอดความสงบนิ่งของตระกูลมู่
“เคยมีคนจากโลกแห่งยุคกลางสามคนไปหาตระกูลมู่ที่หลินชวน สุดท้ายพวกเขาก็ตายอยู่ที่หลินชวน ก่อนหน้านี้ไม่นานตระกูลของพวกเขาก็โดนลบชื่อออกไปจากโลกแห่งยุคกลาง” มู่ชิงเกอสงบอารมณ์ เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งนิ่งๆ
ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินตะลึงไปพร้อมกัน หลังจากทำความเข้าใจโดยละเอียดแล้ว พวกเขาก็เข้าใจความหมายในคำพูดของมู่ชิงเกอ!
ตัวอย่างนี้หมายถึงทัศนคติของมู่ชิงเกอใช่ไหม? ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไร ใครกล้าสร้างความวุ่นวายให้ตระกูลมู่ ก่อนอื่นก็ต้องเตรียมตัวรองรับการเอาคืน ของนางไว้ให้ดี!
ท่าทางของซางอี้เฉินเปลี่ยนไปรุ่มร้อนขึ้นในทันที สายตาที่เขาทอดมองมู่ชิงเกอเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส พี่สาวคนโตผู้นี้ทำให้เขายิ่งเคารพและเลื่อมใสมากขึ้น และก็ยินยอมพร้อมใจที่จะตะโกนเรียกว่าพี่สาวคนโต! หากพูดถึงก่อนหน้านี้พี่สาวคนโตที่ท่านแม่เอ่ยถึงจะมีแต่ความรู้สึกผิดมากขึ้น เช่นนั้นในตอนนี้หลังจากที่ได้เห็นกับตาตัวเอง ได้สัมผัสตัวตนแล้ว เขาก็มีความเคารพและเลื่อมใสเพิ่มขึ้น
เขาสาวเท้าก้าวเร็วๆ มาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ เผยแววตาเลื่อมใสศรัทธา “พี่สาว ท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่า ท่านเดินทางจากหลินชวนมาที่โลกแห่งยุคกลางได้อย่างไร”
มู่ชิงเกอชะงักเท้าลงทันที มองซางอี้เฉินด้วยสีหน้าปุเลี่ยนๆ
ที่ทำให้นางตกตะลึงไม่ใช่ซางอี้เฉิน แต่เป็นคำเรียกขานของเขา ตอนนี้นางแต่งเป็นบุรุษ เรียกนางว่า ‘พี่สาว’ ไม่อึดอัดหรือ?
นางฟังแล้วยังอึดอัดเลย
“เรียกข้าว่าคุณชาย” มู่ชิงเกอเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง
ซางอี้เฉินกลับไม่ยอม “เพราะอะไร? ข้าไม่ใช่ลูกน้องท่า เสียหน่อย แต่เป็นน้องชายแท้ๆ ของท่าน!”
น้องชาย?
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก ใครสามารถบอกนางได้บ้างว่า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าน้องชายนี้จะอยู่ร่วมกันอย่างไร
โลกก่อนหรือโลกนี้นางล้วนไม่เคยเรียนรู้มาก่อน จะอยู่รวมกันอย่างไร ความเคารพรักใคร่เช่นนั้นสำหรับนางแล้วแปลกหน้าเกินไป
ซางเสวี่ยอูรีบดึงซางอี้เฉินเอาไว้ในทันที มองมู่ชิงเกออด้วยสายตาขอลุแก่โทษ ก่อนจะเอ่ยว่า “เขาก็มีนิสัยเช่นนี้ ท่านอย่าถือโทษโกรธเขาเลย”
“ซางเสวี่ยอู่ข้าถูกเจ้าทำให้โมโหเจียนตายแล้ว พี่สาวก็คือพี่สาว รับหรือไม่ก็ใช่! เจ้าคงไม่สามารถเรียกว่าคุณชายมู่ คุณชายมู่ไปตลอดใช่หรือไม่?” ซางอี้เฉินสะบัดแขนเสื้อที่ถูกซางเสวี่ยอู่ฉุดดึงเอาไว้ มองมู่ชิงเกอด้วยสายตารอคอย
ส่วนลึกนัยน์ตาสุกสกาวของมู่ชิงเกอแปรเปลี่ยนไปหลายส่วน สุดท้ายก็เอ่ยกับพี่น้องหญิงชายคู่นี้ว่า “ไม่อยากเรียกข้าว่าคุณชาย ก็เรียกลูกพี่แล้วกัน”
พูดจบนางก็เดินต่อ ซางเสวี่ยอู่กับซางอี้เฉินตะลึงงันอยู่กับที่ ผ่านไปเนิ่นนาน ซางอี้เฉินจึงเอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร? ถือว่ายอมรับพวกเราแล้วหรือไม่?”
เขามีสีหน้ารอคอย ส่วนซางเสวี่ยอู่กลับลังเลสับสนอยู่บ้าง ส่ายหน้าพลางเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่รู้”
พวกเขารู้เลยว่าคำพูดสุดท้ายที่มู่ชิงเกอเอ่ยออกมานั้น เพียงเพราะว่านางนึกถึงคำเรียกขานที่เจ้าอ้วนแซ่เช่าเรียกนาง พี่ชายน้องชายที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกับแต่ สนิทสนมราวสายเลือดเดียวกัน!
“ไม่สนแล้ว! ลูกพี่ก็ลูกพี่ อย่างไรความหมายก็เหมือนกัน แบบนี้ก็ลดความวุ่นวาย” ซางอี้เฉินเอ่ยด้วยความยินดีปรีดาทันที
พูดจบเขาก็ถลาไปที่มู่ชิงเกอด้วยอาการเริงร่า ไม่หยุดที่จะร้องตะโกนเสียงดัง “ลูกพี่ลูกพี่! รอข้าด้วย”
มู่ชิงเกอที่อยู่ข้างหน้าได้ยินเสียงของเขา ไม่เพียงแต่ไม่หยุดฝีเท้าลงกลับยิ่งสาวเท้าเดินเร็วขึ้น ทำเอาซางอี้เฉินไล่ตามไม่ทัน
“เป็นอะไรไป?” ในที่สุดซือมั่วก็กลับมาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ ดวงตาสีอำพันที่ทอดมองนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ด้านหลังของพวกเขา ยังมีเสียงเรียกของซางอี้เฉินลอยตามหลังมาไม่หยุด
มู่ชิงเกอมองเขาทีเล่นทีจริง “ท่านมีพี่น้องชายหญิงหรือไม่? แบ่งปันประสบการณ์หน่อยได้หรือไม่”
ใครจะรู้ว่าคำพูดของนางกลับท่าให้รอยยิ้มบนใบหน้าซือมั่วหายไป เอ่ยออกมาว่า “ความจริงข้ามีพี่น้องชายหญิงมากมาย แต่ว่าพวกเขาต่างก็ตายหมดแล้ว ถ้าหากว่า เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากเรียนรู้ว่าจะสังหารพี่น้องชายหญิงของตนเองได้อย่างไร ข้าก็สามารถเอื้ออำนวยได้ชัดเจน”
เอ๊ะ!
มู่ชิงเกอชะงักไป คำตอบนี้เหนือความคาดหมายของนางไปมาก
มองดูอาการนิ่งเงียบไปของมู่ชิงเกอ ดวงตาสีอำพันของซือมั่วก็นิ่งขรึมลงหลายส่วน “เสี่ยวเกอเอ๋อร์รู้สึกว่าข้าโหดเหี้ยมหรือไม่?”
ราวกับว่า ความโดดเดี่ยวเย็นชาห่างเหินที่หายไปไกลจากเขาจะค่อยๆ หวนกลับมา
มู่ชิงเกอที่สัมผัสได้ถึงจุดนี้ ก็มีปฏิกิริยาตอบกลับทันที “เด็กน้อยผู้น่าสงสาร เคยได้รับเคราะห์กรรมมาเท่าไรกัน?”
ปฏิกิริยาตอบกลับของนางทำให้ซือมั่วชะงักไป มู่ชิงเกอถือโอกาสแต๊ะอั๊งใบหน้ารูปไข่งดงามล่มเมืองของเขา บีบดึงมันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็แสร้งเอ่ยอย่างจริงจังขึ้นมาว่า “ข้าเชื่อว่าที่ท่านทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลของตนเอง อีกอย่างท่านเป็นคนโหดเหี้ยม ข้าเองก็เช่นกัน”
นางจัดการกับศัตรูก็โหดเหี้ยม เอาคืนด้วยเลือดเช่นเดียวกัน
คำพูดเล่นลิ้นของมู่ชิงเกอ ทำเอาจิตใจของซือมั่วดีขึ้นมาบ้าง เขามองหน้านาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบใจเจ้ามาก เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ขอบคุณที่เจ้าไม่รังเกียจข้าผู้ซึ่งมีกลิ่นคาวเลือดสกปรก”
“กับข้ายังต้องเกรงใจขนาดนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอยักคิ้ว นางไม่ได้ไปเอ่ยถามอดีตที่ผ่านมาของซือมั่ว แต่สามารถสัมผัสประสบการณ์ที่เขาพานพบมาช่วงหนึ่งได้จากคำพูดที่เขาหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ สังหารพี่น้องชายหญิงของตนเองทั้งหมด?
คนผู้หนึ่ง สามารถเดินมาได้ถึงจุดนี้ คิดว่าคงได้รับการบีบบังคับ และความยากแค้นอย่างใหญ่หลวง ถึงได้ทำให้มือเท้าของตนเองอาบคาวเลือด?
แต่ก่อนซือมั่วพบเจออะไรมาบ้างกันแน่ ถึงได้เป็นเช่นนี้? นางไม่เชื่อว่าซือมั่วจะสังหารผู้คนโดยไม่มีเหตุผล ก็เหมือนที่เขาเชื่อในทุกๆ การตัดสินใจของนางว่ามีการพิจารณาเช่นกัน
หานฉายไฉ่พูดว่าพวกเขาไม่ใช่คนพวกเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาก็เป็นคนพวกเดียวกัน
มิฉะนั้นก็คงไม่มาจูงมือเดินอยู่ด้วยกัน
ทว่า ซือมั่วไม่ปรารถนาที่จะเอ่ย นางก็ไม่เอ่ยถาม ต้องมีสักวันหนึ่งที่นางสามารถเดินไปถึงโลกของเขาได้จริงๆ มองเห็นทุกด้านของเขา เข้าใจสิ่งที่เขาพานพบมา
“ต้องการไปดูลูกศิษย์ตัวน้อยของเจ้าหรือไม่?” ทันใดนั้นซือมั่วก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอ
ดวงตามู่ชิงเกอเป็นประกาย รู้สึกสนใจ “เขาถูกเจ้าโยนเข้าไปในเทือกเขาซางหลานตั้งหลายวัน ข้าย่อมต้องอยากเห็นพัฒนาการของเขาว่าเป็นอย่างไร”
“เช่นนั้นก็ไปกัน?” ซือมั่วว่ายิ้มๆ
มู่ชิงเกอพยักหน้า หันกลับไปเอ่ยสั่งการมั่วหยางว่า “ข้าล่วงหน้าไปก่อน เจ้าพาพวกเขาตามมา”
“ขอรับ” มั่วหยางรับคำสั่ง
มู่ชิงเกอกับซือมั่วแสดงท่าก้าว หายตัวไปต่อหน้าทุกคน
“ลูกพี่ ลูกพี่!” ซางอี้เฉินแหกปากร้องตะโกน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันแต่อย่างใด เขาเอ่ยกับตนเองด้วยความผิดหวัง “เหตุใดถึงทิ้งพวกเราเสียแล้ว? เพิ่งจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย”
เมื่อได้ยินความผิดหวังในนํ้าเสียงของเขา ซางเสวี่ยอู่ก็ตบไหล่เขาเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องเสียใจไป ต่อไปยังมีโอกาสอีกมากที่ได้อยู่ด้วยกัน”
ประโยคนี้จุดประกายความหวังของซางอี้เฉินขึ้นมาใหม่ เขาเอ่ยกับซางเสวี่ยอู่ว่า “เมื่อไรลูกพี่จะกลับเมืองฝูซากับพวกเรา? หลังจบงานล่าสัตว์หรือเปล่า?”
ซางเสวี่ยอู่กลับไม่สามารถตอบคำถามนี้ของเขาได้ ทำได้เพียงเอ่ยว่า “ข้าเองก็อยากให้เป็นหลังจบงานล่าสัตว์ พานางกลับไปพบท่านแม่ ท่านพ่อ”
ซือมั่วพามู่ชิงเกอเข้าไปในเทือกเขาซางหลาน ในอ้อมแขนของเขายังคงอุ้มกระต่ายตัวหนึ่งที่ดูคล้ายอ่อนแอ ทว่ามีพละกำลังแข็งแกร่ง สถานที่ที่เดินผ่านในเทือกเขาซางหลาน สัตว์อสูรทุกตัวต่างก็ตกใจจนหมอบราบไปกับ พื้นลมหายใจก็ไม่กล้าปล่อยออกมา
โฮก!
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องคำรามของสัตว์แว่วมาจากที่ไกลๆ
ซือมั่วลดตัวอย่างรวดเร็ว ใช้แรงเป่าใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น มู่ชิงเกอก็ตามมาถึงตรงนี้ยืนอยู่ข้างกายเขา
“เป็นอะไรไป?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ซือมั่วหลุบสายตาลง ยกมือขึ้นตบบนหัวของโห่วแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เก็บพลังของเจ้า จากนี้ไปไม่จำเป็นแล้ว”
โห่วถลึงตาใส่เขาด้วยความขุ่นเคือง บริภาษในใจว่า ‘ท่านผู้ยิ่งใหญ่ เห็นข้าเป็นอะไร?’
ทำได้เพียงถอนหายใจ คนอยู่ในกำมือไม่ก้มหัวไม่ได้ แม้ว่าโห่วจะมีอารมณ์ โกรธในใจ แต่ก็ถูกซือมั่วกดหัวเอาไว้ เก็บพลังของตนเองด้วยความทุกข์ใจ ทำให้ตนเองยิ่งดูคล้ายกระต่ายธรรมดาตัวหนึ่ง!
เมื่อโห่วเก็บพลังลง กลิ่นไอของสัตว์อสูรที่แอบซ่อนอยู่รอบทิศก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนผิวนํ้า
มู่ชิงเกอกวาดตามองซือมั่วด้วยความชื่นชม
ซือมั่วยิ้มให้นาง “อยู่ไม่ไกลจากที่นี่แล้ว พวกเราเดินไปกันเถอะ” พูดแล้ว ก็เอ่ยชี้แจง “หากเจ้าตัวนี้ไม่เก็บพลังตนเอง เกรงว่าจะไปทำลายการฝึกพลังยุทธ์ของลูกศิษย์ตัวน้อยของเจ้า”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือให้มู่ชิงเกอ
เทือกเขาซางหลานคล้ายกับหวนกลับไปเป็นหุบเขากูจี๋ซานนอกเมืองจินไห่ มู่ชิงเกอยิ้มในตา นำมือของตนเองวางลงไปบนมือใหญ่ของเขา
อาภรณ์สีดำทมิฬกับสีแดงเลือดหมูตัดกันในป่า ก้าวเท้าเดินไปไม่เร่งรีบ เดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฎ
เสียงสัตว์คำรามที่อยู่ห่างไกล เริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ชัดเจน
แววตาสงสัยของมู่ชิงเกอ ยิ่งฉายความลํ้าลึกขึ้นมา
“อยู่ข้างหน้านี้แล้ว” เดินไประยะหนึ่ง ซือมั่วก็ดึงมู่ชิงเกอแอบซ่อนตัวไปในมุมอับ
ร่างของเขาคลุมหมอกสีดำห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้ ปกคลุมกลิ่นไอของพวกเขา เวลานี้แม้ว่าสัตว์ที่ประสาทรับกลิ่นดี มาอยู่ตรงหน้าพวกเขา ก็จะเห็นพวกเขาเป็นหญ้าต้นหนึ่ง ต้นไม้ต้นหนึ่ง
ดวงตามู่ชิงเกอสว่างวาบ ยิ้มพลางเอ่ยกับซือมั่วว่า “วิชาพรางตัวไม่เลวเลยทีเดียว มีเวลาสอนข้าหน่อย”
“ตกลง” ดวงตาสีอำพันของซือมั่วเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เต็มไปด้วยอาการเอาอกเอาใจ
ราวกับว่ามู่ชิงเกอต้องการดวงดาราบนท้องฟ้า เขาก็จะไปเด็ดมาให้นาง ทำเป็นเครื่องประดับแสนงดงามสวมใส่ไว้บนตัวนาง
โฮก!
เสียงคำรามของสัตว์ขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา
ต้นไม้ใบหญ้าด้านหน้าเคลื่อนไหวน้อยๆ มีเสียงฝีเท้ารีบร้อน ตามมายังมีเสียงไล่ล่าแว่วมา
ไม่นาน เงาร่างผอมของคนผู้หนึ่งก็พรวดเข้ามาอยู่ในสายตาของทั้งสองคน
‘เป็นจิงไห่!’
สายตาของมู่ชิงเกอเคร่งขรึม เพียงแวบแรกก็จำได้ว่าเด็กหนุ่มที่สะบักสะบอมอยู่บ้างตรงหน้านางเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของตนเอง
จิงไห่ในตอนนี้ ทำได้เพียงใช้คำว่าสะบักสะบอมมาบรรยาย เสื้อผ้าบนร่างกายรุ่งริ่งไม่น่าดู บนใบหน้าของเขา ไหนจะแขนขาก็มีบาดแผลตื้นบ้างลึกบ้างเต็มไป หมด
แต่ว่าไม่พบกันไม่กี่วันใบหน้าใสซื่อของเขาก็ลดลงไปไม่น้อย โครงหน้าก็ดูเด็ดเดี่ยวคมคายขึ้น มีความเป็นทหารขึ้นมาบ้างแล้ว
ในตอนที่จิงไห่เพิ่งปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าพวกเขา ราชาจิ้งจอกพิษสามเขาตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากกอหญ้าขวากหนามปรากฎอยู่ข้างหลังจิงไห่
เมื่อมันปรากฎตัว ก็ออกแรงใช้ขาหน้าตะปบจิงไห่พลิกควํ่าลงกับพื้น
ปฏิกิริยาของจิงไห่ก็รวดเร็ว อาศัยแรงกลิ้งตัวไปข้างหน้า รักษาระยะห่างของเขากับราชาจิ้งจอกพิษสามเขา และจากความเสียเปรียบในการหันหลังกลายมาเป็นเผชิญหน้ากันแบบซึ่งหน้า
จิงไห่เม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาใสซื่อของเด็กน้อยหมู่บ้านชาวประมงคู่นั้น เผยให้เห็นความหนักแน่นดุจวัตถุแข็ง
เขาโค้งตัว จับจ้องราชาจิ้งจอกพิษสามเขาด้วยความระแวดระวัง กล้ามเนื้อส่วนหลังตึงเครียด
ส่วนราชาจิ้งจอกพิษสามเขาก็ไม่ได้จู่โจมเข้ามาในทันที แต่ใช้สายตาดุร้ายจ้องมองจิงไห่ ใต้ฟันแหลมคมเผยความดุร้ายน่ารังเกียจ พิษที่ไหลออกจากฟันแหลมนั้น กัดกร่อนพืชที่อยู่บนพื้น
มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งคู่ลง เอนร่างกายพิงซือมั่ว จัดท่าทางที่สบายที่สุดในการชื่นชมให้กับตนเอง
ซือมั่วหลุบตาลงมองนาง ให้นางอิงอาศัยอย่างจริงใจ สายตาเปี่ยมด้วยความรักใคร่เอ็นดู
แง่ง!
ราชาจิ้งจอกพิษสามเขาแยกเขี้ยว จู่โจมเข้าใส่จิงไห่ พลังที่แท้จริงของราชาจิ้งจอกพิษสามเขาอยู่ระหว่างระดับพลังชั้นสีเทากับสีเงินขั้นหนึ่ง ส่วนจิงไห่เพิ่งเข้าสู่ ระดับพลังขั้นสีเทาขั้นหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ นี่แทบจะเป็นระยะห่างหนึ่งขั้นเต็มๆ มูชิงเกอคิดว่าสิ่งที่ซือมั่วอยากให้นางดูก็คือว่าจิงไห่จะกลบลดส่วนต่างนี้อย่างไร…