ตอนที่ 294
ตระกูลมู่ข้ากลับมาแล้ว!
ตำหนักเทพ ภาคกลาง
หอเทวะสูงขึ้นไปในหมู่เมฆ
แม้ว่าจะห่างออกไปไกล หรือว่าอยู่ส่วนไหนของภาคกลางก็ล้วนแต่สามารถมองเห็นเงาร่างของหอเทวะได้
“ธิดาเทพ พวกเราจะกลับไปตำหนักเทพเลยหรือไม่?” อู่เอ๋อร์เอ่ยถาม
ซีเซียนเสวี่ยมองเงาร่างของหอเทวะแล้วก็พยักหน้า นางกลับมาจากภาคตะวันตกก็สมควรไปรายงานอาจารย์เสียหน่อย
“เซียนเสวี่ย เจ้ากลับมาแล้วหรือ? เรื่องราวจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?”
ภายในตำหนักเทพอันขาวสะอาดไร้มลทินซีเซียนเสวี่ยมองเห็นอาจารย์ของตนเอง ผู้ถือครองอำนาจสูงสุดในตำหนักเทพ นักบวชเทวะ
นัยน์ตาของนักบวชเทวะมีความสุภาพและรอยยิ้มที่อบอุ่นอยู่เสมอ เมื่อเผชิญหน้ากับลูกศิษย์เพียงคนเดียวของตนเอง ในส่วนลึกของดวงตาเขาก็แอบซ่อนความ รู้สึกบางอย่าง
“อาจารย์’ ซีเซียนเสวี่ยเดินไปถึงตรงหน้าของนักบวชเทวะ ชันเข่าข้างเดียวคำนับอาจารย์ “เซียนเสวี่ยฆ่าเขาไม่สำเร็จ”
“อ้อ? ลุกขึ้นพูดเถอะ” นักบวชเทวะเอ่ย
สำหรับคำตอบของซีเซียนเสวี่ยนั้น เขาไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย
ซีเซียนเสวี่ยยืนขึ้น กระโปรงสีขาวหิมะเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ บนใบหน้าอันงดงามของนางดูสงบมาก ดุจดั่งเป็นนางเซียนแสนบริสุทธิ์ที่ไม่ได้ถูกความสกปรกในโลกทำให้แปดเปื้อน “ศิษย์ไม่ใช่คู่มือของเขา ไม่สามารถเอาชนะเขาได้”
คำตอบของนาง ง่ายดายและชัดเจน ไม่มีการแก้ตัวใดๆ นักบวชเทวะพยักหน้า ไม่ได้ตำหนินางว่าอย่างไร เพียงเอ่ยว่า “ดูแล้วคนผู้นี้ร้ายกาจกว่าที่พวกเราคิดเอาไว้ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววสงสัย นางเอ่ยปากถามว่า “อาจารย์คิดจะทำเช่นไรต่อไป?”
“ต่อไปงั้นหรือ?” นักบวชเทวะยิ้มเล็กน้อย ส่ายๆ หน้า เอ่ยว่า “ช่วงนี้ข้ายังไม่ได้รับข่าวจากเผ่าเทพอีก คิดว่าการคาดเดาครั้งก่อนคงถูกต้องแล้ว นี่เป็นเพียงแค่บุญ คุณความแค้นส่วนตัว”
ซีเซียนเสวี่ยนิ่งเงียบไม่พูดจา
นักบวชเทวะเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้ตอนนี้วางไว้ก่อน รอมีข่าวคราวคืบหน้าอีกค่อยว่ากันใหม่ เรื่องในนี้พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งมากจะดีกว่า”
พูดจบแล้ว ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าลงมือได้เผยสถานะออกไปหรือไม่? ทำให้เขารู้หรือเปล่าว่าเหตุใดจึงได้ไปฆ่าเขา?”
ซีเซียนเสวี่ยหลุบตาลงแล้วก็ค่อยๆ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่มี ข้าเพียงแต่เอ่ยว่า ข้าออกมาจากการเก็บตัว ได้ยินว่าเขาเอาชนะอิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วได้ ดังนั้นจึงไปขอคำชี้แนะ” ซีเซียนเสวี่ยมีความรู้สึกว่ามู่ชิงเกอรู้อะไรสักอย่าง แต่ว่าเมื่ออาจารย์ถาม นางกลับไม่ได้พูดถึงจุดๆ นี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“อืม ถือว่าเป็นเหตุผลที่ดี” นักบวชเทวะพยักหน้า หลังจากนั้นเขาก็เอ่ยกับซีเซียนเสวี่ยว่า “เซียนเสวี่ย มีบางครั้งเวลาเจ้าทำเรื่องอะไร ก็ยังขาดเล่ห์กลไปบ้าง เอาเถอะ ครั้งนี้ถือว่าแล้วไป”
ซีเซียนเสวี่ยค่อยๆ พยักหน้าเตรียมจะถอยไป
“เจ้าจะกลับตระกูลซีงั้นหรือ?” ในตอนที่ซีเซียนเสวี่ยจะถอยไปนั้น นักบวชเทวะก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้า ช้อนตาขึ้นเอ่ยว่า “ภารกิจในครั้งนี้แม้ว่าไม่สำเร็จ แต่กลับทำให้ข้ามองเห็นข้อบกพร่องของตนเอง ดังนั้นจึงคิดจะกลับไปเก็บตัวที่ตระกูลซี”
“มีใจอยากจะพัฒนานั้นดีแล้ว แต่ทว่าเจ้าเก็บตัวอยู่ในตำหนักเทพก็ได้ ยังมีอาจารย์อยู่สามารถแนะนำเจ้าได้บ้าง” นักบวชเทวะเอ่ยเสนอขึ้น
แต่ซีเซียนเสวี่ยกลับปฏิเสธเอ่ยว่า “ตั้งแต่ศิษย์กลับมาก็ยังไม่ทันได้กลับไปพบบิดามารดาเลย อีกอย่างการเก็บตัวครั้งนี้ข้าต้องการฝึกฝนการต่อสู้ระยะประชิดวิชายุทธ์ภายในตระกูลซีจะช่วยข้าได้”
“การต่อสู้ระยะประชิด?” นัยน์ตาของนักบวชเทวะฉายแวววาววาบ สายตาตกไปอยู่ที่ร่างของนาง เอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “เซียนเสวี่ย เจ้าไม่เคยสนใจการต่อสู้ ระยะประชิดมาก่อน เหตุใดจึงเกิดความสนใจต่อการต่อสู้ระยะประชิดขึ้นมาอย่างกะทันหันได้? คงไม่ใช่ว่าเสียเปรียบอะไรในการไปครั้งนี้ใช่หรือไม่?”
“ไม่มี” ซีเซียนเสวี่ยช้อนตาขึ้นเอ่ยปฏิเสธ ภายในหัวกลับปรากฎภาพที่ตนเองถูกมู่ชิงเกอควบคุมเอาไว้และตีก้น ดีที่นางสามารถควบคุมตนเองได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ เผยร่องรอยอะไรออกไป เผชิญหน้ากับคำถามของอาจารย์ นางทำได้แค่เพียงให้ คำตอบที่ดูเหมาะสมออกไป “แต่ก่อนศิษย์ไม่สนใจเป็น เพราะคิดว่าก่อนที่ศัตรูจะเข้ามาใกล้ก็สามารถฆ่าศัตรูได้ก่อนแล้ว แต่ว่าตอนนี้ข้าคิดว่าความสามารถในการต่อสู้ระยะไกลของข้านั้นดีพอตัว แต่กลับมีจุดอ่อนที่ไม่สามารถให้คนเข้าใกล้ได้หากว่าข้าสามารถเสริมจุดอ่อนนี้ได้ก็จะมีประโยชน์ต่อการฝึกปรือพลังของข้าเป็นอย่างมาก”
“อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล” นักบวชเทวะคิดถึงคำพูดของซีเซียนเสวี่ยอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก เขาเอ่ยกับซีเซียนเสวี่ยว่า “เอาเถอะ เจ้าก็กลับไปตระกูลซีเถอะ หากว่ามีเรื่องอะไรข้าจะส่งคนไปหาเจ้าที่ตระกูลซี หากว่าเจ้ามีอุปสรรคในการฝึกฝนอะไรก็สามารถมาหาข้าได้”
“เจ้าค่ะ อาจารย์” หลังจากซีเซียนเสวี่ยคำนับแล้วก็หันกายจากไป
สายตาที่นักบวชเทวะส่งเงาหลังของนางไปเผยร่อยรอยของความอาลัยอาวรณ์
บนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารใครก็ไม่รู้ว่าพื้นที่กว้างใหญ่นี้เป็นช่องว่างอะไร เพียงแต่ดูเหมือนกับลอยอยู่กลางอากาศยากที่จะคาดเดาร่องรอย
ภายในเรือนที่ไม่โดดเด่นหลังหนึ่ง มีเงาคนวาบผ่านเรือนหลังนี้หากว่าเทียบกับแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร แล้วก็ดูเล็กเสียยิ่งกว่าฝุ่นเสียอีก
“เทียนอิน เดือนก่อนนี้เจ้าได้ไปที่เมืองเทวะหรือไม่?” ทันใดนั้น เสียงชราสายหนึ่งก็ร้องเรียกเงาร่างที่แวบไปร่างนั้นเอาไว้
เงาร่างชะงักดูเหมือนว่าจะเพิ่งค้นพบคนที่นั่งอยู่ข้างหลังของตนเอง
เขาหันมองไป ก็มองเห็นชายชราที่มีผมสีเงินนั่งสมาธิอยู่ในห้อง แสงแดดจากด้านนอกที่ลอดผ่านเข้ามาขับไล่ความมืดไปเพียงบางส่วน สำหรับสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากันก็ถูกความมืดปกคลุมเอาไว้มองเห็นไม่ชัดเจน เห็นแต่เพียงเค้าโครงรางๆ เท่านั้น
“อาจารย์’ คนที่ถูกเรียกว่าเทียนอินคำนับชายชรา
ชายชรากลับเอ่ยว่า “เจ้าเป็นประมุขของตระกูลมู่ในอนาคต ไม่จำเป็นต้องเคารพข้าถึงขนาดนี้”
มู่เทียนอินกลับเอ่ยว่า “แม้ว่าข้าจะเป็นนายของตระกูลมู่ แต่ว่าอาจารย์ก็ยังเป็นอาจารย์ของข้าอยู่ดี”
“ปัญหาของข้า เจ้ายังไม่ได้ตอบ” ชายชราไม่ได้รบเร้าต่อ
มู่เทียนอินนิ่งไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยว่า “ขอรับ”
“เจ้าไปทำอะไรที่เมืองเทวะ?” ชายชราเอ่ยถาม
มู่เทียนอินเอ่ยด้วยนํ้าเสียงเคร่งขรึมว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อาจารย์คำนวณหาร่องรอยของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ก็คำนวณเห็นว่ามีคนบางคนที่มีอิทธิพลต่อดวงดาวชะตาของตระกูลมู่ ทั้งยังอยู่ในโลกแห่งยุคกลางมิใช่หรือ? ดังนั้นข้าถึงได้ไปสืบความสักหน่อย”
ชายชรามองตามแสงอาทิตย์ไปยังร่างกายที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ในความมืดของเขา ผ่านไปนานถึงได้ค่อยๆ เอ่ยขึ้น มาว่า “เจ้าคิดจะใช้ตำหนักเทพฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ?”
“ขอรับ” มู่เทียนอินไม่ได้ปิดบัง
เขาลอบเข้าไปในตึกเทวะของเมืองเทวะ แล้วสั่งการลงไปยังตำหนักเทพของโลกแห่งยุคกลาง ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จแล้วหรือไม่
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ที่เจ้าทำเช่นนี้นั้นเสี่ยงอันตรายมาก? บางทีอาจจะดึงดูดให้เผ่าเทพอื่นๆ มาไล่ฆ่าพวกเราได้ เป็นการเปิดเผยร่องรอยของตนเอง?” ชายชราเอ่ยถาม
“ข้ารู้” มู่เทียนอินเอ่ยอย่างไม่ลังเล
“ดูแล้ว เจ้าเห็นถึงผลลัพธ์ได้ชัดเจนดีอยู่แล้ว พูดมาเถอะว่าเหตุใดจึงต้องเลือกที่จะเสี่ยง?” ชายชราเอ่ย ค่อยๆ หลับตาลง
มู่เทียนอินเงยหน้าขึ้น แม้ว่าจะอยู่ในความมืด แต่ดวงตาของเขาทั้งคู่กลับเปล่งแสงดึงดูดคน “ในมือของพวกเราไม่มีแผนที่ของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ทำได้เพียงแต่อาศัยความสามารถอันแข็งแกร่งของอาจารย์คำนวนออกมา ที่ให้ตำหนักเทพไปฆ่าเขา ข้าก็เพียงแค่คิดอยากจะสร้างความลำบากให้เขาบ้างก็เท่านั้น เพื่อถ่วงเวลา ถ้าสามารถฆ่าเขาได้ก็จะเป็นเรื่องดีที่สุด หากว่าไม่สามารถฆ่าเขาได้อย่างน้อยก็ทำให้เขาตกอยู่ในภาวะลำบาก ไม่สามารถใจจดใจจ่ออยู่แต่กับการหาเคล็ดวิชาเทวะได้ ส่วนเรื่องเผยร่องรอยนั้น…”
เขาส่งเสียงขึ้นจมูกเย้ยหยันออกมา “หมื่นปีมานี้ มีวันไหนที่พวกเราไม่ได้อยู่ในความมืดที่ไร้คืนไร้วัน ไม่ถูกไล่ฆ่าล้างบ้าง?”
ชายชราลืมตาขึ้น มองดูเขา “ใช่ คิดอยากจะเป็นนายของตระกูลมู่ก็ต้องมีความทะเยอทะยานที่เพียงพอ ไม่เพียงแต่ต้องโหดเหี้ยมกับผู้อื่น ยังต้องเหี้ยมกันตัวเองด้วย ตระถูลมู่ในเมื่อก่อนนั้นก็เป็นเพราะว่าใจอ่อนเกินไปจึงแพ้พ่าย เจ้าจงจำเอาไว้ว่า ขอเพียงเป็นคู่มือของเจ้า ขอเพียงเป็นคนที่ขวางการรุ่งเรืองของตระถูลมู่ เจ้าก็จำต้องฆ่าให้สิ้น”
“อาจารย์ไม่ลงโทษข้างั้นหรือ?” มู่เทียนอินเอ่ยอย่างแปลกใจ เดิมทีเขาคิดว่า ตัวเองทำไปโดยพลการเมื่อถูกค้นพบก็จะต้องถูกลงโทษ
ชายชรากลับพูดว่า “เหตุใดต้องลงโทษเจ้าด้วย? เรื่องที่เจ้าทำนั้นแม้ว่าจะมีความเสี่ยงแต่ก็ถือว่ามีความกล้า และมีเล่ห์กล แต่ทว่าไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ช่วง เวลานี้ก็ไม่อาจจะไปยังเมืองเทวะได้อีก เจ้าสามารถลอบเข้าไปในตึกเทวะได้ ก็พูดได้เพียงว่าเจ้าโชคดี เรื่องของโชคนั้นมีได้แค่ครั้งเดียวไม่อาจพูดได้เป็นครั้งที่สอง อีกอย่างช่วงเวลานี้ข้าได้คิดทบทวนเรื่องที่เคยคุยกันกับประมุขตระกูลมู่คนก่อนอย่างถี่ถ้วน เรื่องที่ข้าเคยร่วมหารือนั้นค่อยๆ ปรากฎขึ้นมา ตอนนี้สำหรับสถานที่ ที่ซ่อนเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางนั้น อย่างน้อยก็เหลืออีกเพียงแค่สักระยะหนึ่ง เจ้าเพียงแต่ตั้งใจรอคอยข่าวสาร เมื่อได้รับก็จะได้ไปในทันที ดังนั้นช่วงเวลานี้ เจ้าก็อยู่ที่นี่สงบใจฝึกปรือไปเถอะ”
“ขอรับ!” มู่เทียนอินขานรับ เงาร่างหายไปจากห้อง
ภาคตะวันตก โลกแห่งยุคกลาง บริเวณซากปรักหักพังลึกลับแห่งหนึ่ง มู่ชิงเกอนำมู่อี้เฉิน มู่เสวี่ยอู่แล้วยังมีเจียงหลีมายืนอยู่ด้วยกัน
“ประตูมิติอยู่ที่นี่งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอรู้ลึกแปลกใจเล็กน้อย
เจียงหลีพยักหน้า “ก็ไม่รู้ว่ามีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยิ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างขึ้น ตามที่ผู้อาวุโสในตระกูลของข้าพูด หมื่นปีก่อนนี้ยังมีคนจำพวกหนึ่งที่ถูกเรียกว่าอาจารย์ค่ายกล แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด คนจำพวกนี้ถึงได้ค่อยๆ หายสาบสูญไป”
มู่ชิงเกอเม้มปากไม่พูดจา
พวกเกี่ยวกับอาคมค่ายกลอะไรนี่เป็นของที่อยู่ในหลินชวน ไม่ค่อยได้พบในโลกแห่งยุคกลาง แม้แต่ที่นางเรียนก็ล้วนแต่มาจากเหมิงเหมิงที่หามาจากช่องว่าง แล้วก็มีที่ซือมั่วให้นาง หากว่าตอนนี้มีคนที่สามารถสร้างประตูมิติเช่นนี้ได้ แล้วสร้างในลั่วซิงเฉิงอันหนึ่ง ต่อไปการเดินทางไปกลับระหว่างหลินชวนก็ไม่ใช่ว่าจะสะดวกสบายขึ้นมากหรือ?
แต่น่าเสียดายที่คนที่มีความเชี่ยวชาญสายนี้ไม่มีแล้ว ถ้าหากว่านางรังเกียจความยากลำบาก คิดจะกลับไปยังหลินชวน ก็เพียงแค่ใช้ศิลาวิญญาณกับพลังจิตจำนวน มาก เปิดช่องทางชั่วคราวแล้วก็กลับไปยังหลินชวน
หากว่านางไม่รังเกียจความยากลำบาก ก็ทำเช่นตอนนี้ เดินทางไกลเพื่อมาที่นี่แล้วก็ใช้ประตูมิติกลับไป
เจียงหลีนำทางอยู่ข้างหน้า ทั้งสี่คนเดินไปท่ามกลางป่าไม้ใบหญ้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจียงหลีถึงได้หยุดลงแล้วเอ่ยกับคนทั้งสามว่า “ถึงแล้ว”
มู่อี้เฉินมองไปรอบด้านแล้วเอ่ยขึ้นอย่างสงสัยว่า “ที่นี่มีแต่ต้นหญ้า มีประตูมิติอยู่ที่ไหนกัน?”
“ใต้เท้าของเจ้า” เจียงหลีเอ่ยตอบไปประโยคหนึ่ง
“อ้า!” มู่อี้เฉินกระโดดขึ้น
เมื่อถูกเจียงหลีเตือนแล้วทั้งสามคนถึงได้ก้มหน้าลงมองใต้เท้าของตนเอง แล้วก็พบว่าบนพื้นที่มีหญ้าปกคลุมนั้น มีลวดลายแกะสลักซ่อนอยู่
ทั้งสี่คนย่อลงพร้อมกัน จัดการหญ้าที่ปกคลุมอยู่ด้านบน เจียงหลีทำไปเอ่ยไปว่า “ตอนที่พวกเราจากไปนั้น ก็ตั้งใจปกปิดเล็กน้อยเพื่อไม่ให้คนพบเห็น”
จากนั้นนางก็มองไปทางมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามีเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือน ประตูมิตินี้เชื่อมไปยังแคว้นกู่วู่ จากแคว้นกู่วู่ไปแคว้นฉินต้องใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือน”
มู่ชิงเกอกกลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต้องกังวลไป ข้ามีพาหนะ”
“พาหนะ?” เจียงหลีแปลกใจ
มู่ชิงเกอยิ้มไม่พูดอะไร
‘นี่ เจ้าอย่าได้คิดจะให้ข้าแบกเจ้ากลับไปเชียว’ ภายในหัวของมู่ชิงเกอมีเสียงของโห่วดังขึ้น
รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอไม่เปลี่ยน เอ่ยตอบในหัวไปว่า ‘เจ้าไม่ใช่ว่าถูกเรียกขานว่าสามารถวิ่งบนพื้น บินบนอากาศ ว่ายนํ้าได้มิใช่หรือ? ตอนนี้มาปฏิเสธหรือว่าเพราะบินไม่ขึ้นแล้ว?’
‘ข้าไม่ใช่พาหนะของเจ้า!’ โห่วพยายามข่มความโมโหในใจ เอ่ยออกไปอย่างหงุดหงิด
‘เช่นนั้นเจ้าเรียกข้าว่าอะไร?’ มู่ชิงเกอพูดเยาะเย้ย
โห่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงได้พูดออกมาอย่างฝืนใจ ว่า ‘เจ้านาย’
‘นั่นก็ถูกต้องแล้ว! ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า เจ้าทำตามคำสั่งข้าก็พอแล้วบางครั้งการขัดขืนและดื้อรั้นก็ไม่มีความหมาย’ มู่ชิงเกอพูดจบก็เขย่ากำไลบนข้อมือเล็กน้อย คล้ายดูเหมือนไม่ตั้งใจ
‘พอแล้ว! เจ้าอย่าเขย่าเลย ข้ารู้แล้ว’ เสียงของโห่วเคร่งขรึม
“ใช่แล้ว เจ้าทิ้งหยวนหยวนไว้ที่ตระกูลซาง จะไม่เกิดปัญหาหรือ?” เจียงหลีปัดๆ ดินในมือ ยืนขึ้นมาแล้วก็เอ่ยถามขึ้นในทันใด
มู่ชิงเกอทิ้งศิลาวิญญาณไปด้านนอก แล้วเอ่ยตอบคำถามของนาง “การคำนาณของราชครูกำลังเข้าสู่ช่วงสำคัญ ทิ้งหยวนหยวนไว้ก็เพื่อเอาไว้รับมือ ใครจะรู้ว่าฝั่งทางตำหนักเทพจะส่งใครมาอีก”
เจียงหลีพยักหน้า เอาศิลาวิญญาณที่มู่ชิงเกอทิ้งออกมา วางไปบนร่องที่อยู่ในประตูมิติ การพูดคุยระหว่างคนทั้งสอง
มู่อี้เฉินกับมู่เสวี่ยอู่เข้าใจเพียงเล็กน้อย พวกเขารู้สึกเสมอว่ามู่ชิงเกอกำลังทำเรื่อง ใหญ่อะไรอยู่ แต่ก็รู้สึกไม่ดีหากจะถามไป
“เอาละ เข้าไปยืนข้างในเถอะ” ในมือของเจียงหลีถือศิลาวิญญาณชิ้นสุดท้าย ยืนอยู่ภายในประตูมิติ
พวกมู่ชิงเกอสามคนรีบเข้าไปยืนข้างใน เจียงหลีวางศิลาวิญญาณชิ้นสุดท้ายลงไปในร่องๆ หนึ่ง
เพียงแค่วางศิลาวิญญาณลง ทั้งประตูมิติก็เปล่งแสงจ้าแสบตาออกมา โอบล้อมคนทั้งสี่ไว้ภายใน
“หลินชวน ข้ากลับมาแล้ว!” ภายในแสงสีขาวจ้า มู่ชิงเกอหายใจเข้าลึกๆ พึมพำออกมา
หลังจากแสงที่แสบตาถอยหายไป ภาพตรงหน้าของคนทั้งสี่ก็เปลี่ยนไป
“ฝ่าบาท!” เสียงแห่งความยินดีสายหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านข้าง
เจียงหลีเดินออกมาจากประตูมิติ เอ่ยกับองครักษ์ว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
องครักษ์แคว้นกู่วู่ผู้นั้นเอ่ยกับเจียงหลีอย่างเคารพว่า “หลังจากที่ฝ่าบาทจากไป เหล่าผู้อาวุโสก็ส่งพวกเรามาเฝ้าอยู่ที่นี่ รอวันที่ฝ่าบาทจะกลับมา!”
เจียงหลียิ้มแล้วก็หันไปมองพวกมู่ชิงเกอสามคน เอ่ยกับนางว่า “ถึงที่ของข้าแล้ว อยู่ก่อนสักคืนหนึ่งค่อยไปเถอะ”
มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้มๆ
องครักษ์คนนั้นมองเห็นมู่ชิงเกอก็รีบทำความเคารพเอ่ยว่า “คุณชายมู่!”
ตลอดเส้นทางจากประตูมิติมายังพระราชวังแคว้นกู่วู่ มู่อี้เฉินกับมู่เสวี่ยอู่มองอย่างสนอกสนใจ ในตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้ว่าสถานะของเจียงหลีนั้นสูงส่งเป็นถึงฮ่องเต้หญิง
ถึงพระราชวังแคว้นกู่วู่ ทั้งสองก็ถูกบรรยากาศที่แปลกใหม่ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจ การกลับมาของเจียงหลี ทำให้ทั้งพระราชวังเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา กลายเป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ของแคว้น
คืนนี้ พวกมู่ชิงเกอสามคนได้ดื่มเหล้าลงไปไม่น้อย มู่อี้เฉินสุดท้ายแล้วก็ถูกแบกกลับไปยังห้อง แม้แต่มู่เสวี่ยอู่ก็มีดวงตาที่ดูมึนงง แยกทิศทางไม่ชัดเจน ยังดีที่มู่ชิงเกอมอบยาสร่างเมาให้นางเม็ดหนึ่ง
หลังจากงานเลี้ยงผ่านไป มู่ชิงเกอกับเจียงหลีก็ต่างคนต่างถือเหล้าขวดหนึ่ง นั่งอยู่บนหลังคาพระราชวัง ซึ่งสามารถมองเห็นบรรยากาศยามคํ่าคืนของแคว้นกู่วู่รวม ไปถึงพื้นผิวทะเลไกลออกไป
สองขวดชนกันเล็กน้อย เสียงอันสดใสดังขึ้นอย่างชัดเจนท่ามกลางความมืด
ดื่มเหล้าในขวดลงไปแล้วมู่ชิงเกอก็หรี่ตาพูดออกมาว่า “พูดถึงเจ้า เป็นฮ่องเต้หญิงอยู่ดีๆ ไม่ชอบ กลับวิ่งไปลำบากที่โลกแห่งยุคกลาง นี่เพื่ออะไรกัน?”
เจียงหลียิ้มๆ ท่าทางเหมือนมึนเมาเล็กน้อย “มีบางที่ ที่อยู่ไปนานแล้วก็คิดแต่อยากจะออกไปดูโลกภายนอกบ้าง ข้าต้องขอบคุณเจ้าที่มอบเหตุผลให้ข้าได้ออกไปจากที่นี่ แล้วก็ที่มอบความกล้าให้”
นางยกขวดเหล้าไปชนกับขวดเหล้าของมู่ชิงเกอเล็กน้อย
มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราเป็นคนประเภทเดียวกันจริงๆ ล้วนแต่ไม่ยอมอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย”
“ใช่! ไม่ยอมอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย” เจียงหลีหัวเราะขึ้นมา
ทั้งสองพูดคุยเล่นกันไป ดื่มเหล้าเล็กน้อย ชมบรรยากาศยามคํ่าคืน ฟังเสียงคลื่น รู้สึกผ่อนคลาย
“ใช่แล้ว ในช่วงนี้หากว่าเจ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ช่วยข้าไปดูที่แคว้นลี่ที” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็คิดไปถึงมู่ยี่ที่ถูกหานฉายไฉ่ส่งกลับมา
“หือ? ไปหาฟ่งอวี๋เฟยรัชทายาทหญิงผู้นั้นงั้นหรือ?” เจียงหลีเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอพยักหน้า “เรื่องที่แต่ก่อนข้าเคยสัญญาเอาไว้ว่าเมื่อไปถึงโลกแห่งยุคกลางก็จะช่วยนางตามหาสามีของนางกลับมา ต่อมาข้าหาพบแล้วจึงได้รบกวนหานฉายไฉ่ นำเขาส่งมาที่หลินชวน ตอนนี้ไม่รู้ว่าคนๆ นั้นกลับมาแล้วหรือยัง” ในเมื่อนางทำเรื่องนี้แล้วก็ต้องรู้บทสรุปให้ได้
เดิมทีเรื่องนี้นางสามารถไปสอบถามกับหานฉายไฉ่ในโลกแห่งยุคกลางได้ แต่ว่าระหว่างทั้งสองคนได้เกิดความหมางใจกันหลายต่อหลายครั้ง ทำให้นางลืมเรื่องนี้ไป
“ได้ข้ารู้แล้ว” เจียงหลีรีบตอบตกลง
คืนนี้มู่ชิงเกอไม่ได้กลับไปยังตำหนักจัดงานเลี้ยงที่เจียงหลีจัดให้นาง แต่ดื่มเหล้ากับเจียงหลีทั้งคืน คุยกันทั้งคืน แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกแปลกใจว่าทุกๆ วันก็อยู่ด้วยกันแล้วเหตุใดจึงพูดคุยกันไม่เคยจบ?
เกรงว่าแม้แต่การพูดคุยล้อเล่นอย่างไร้สาระไปมาระหว่างทั้งสองคนก็สามารถคุยกันได้อย่างออกรส
เช้าตรู่วันที่สอง มู่อี้เฉินตื่นขึ้นมาจากการมึนเมา แต่ยังปวดหัวอยู่ มู่ชิงเกอก็แจ้งว่าจะเดินทางแล้ว
มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ที่ล้วนแต่ยังมีอาการเมาค้างมาปรากฎตัวอยู่ที่ลานกว้างหน้าพระราชวังแคว้นกู่วู่อย่างหมดทางเลือก
มู่ชิงเกอปล่อยโห่วออกมา กระต่ายที่แปลกประหลาดตัวหนึ่งหมอบอยู่บนลานกว้าง ดูเหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก
มู่ชิงเกอยื่นเท้าออกไปถีบเขาเล็กน้อย ตะโกนว่า “นี่ อย่าแกล้งตาย ยังไม่ทำตัวให้ใหญ่ขึ้นอีก?”
โห่วขัดขืนอย่างไม่ยินยอม ก้อนกลมๆ ส่ายก้นดุ๊กดิ๊กๆ บิดไปบิดมา ไม่ได้แสดงออกถึงความอหังการของเขา เพียงแต่ทำให้คนรู้สึกว่าน่าเอ็นดู
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ชูมือขวาของตนเองขึ้นมา เผยให้เห็นกำไลสีทองบนข้อมือ
เมื่อมองไปเห็นกำไลสีทอง นัยน์ตาสีทองคู่นั้นของโห่วก็ดุจดั่งมีเปลวไฟลุกโชน ขยายตัวใหญ่ในทันที ไม่ต้องให้มู่ชิงเกอทำอะไร ร่างกายของเขา พริบตาเดียวก็กลายเป็นกระต่ายตัวใหญ่ยักษ์!
ร่างนี้เพียงพอต่อสามคนนั่งพอดี
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเขา มุมปากกระตุกเล็กน้อย “เจ้าอย่าบอกข้านะว่านี่เป็นร่างจริงของเจ้า! ”
โห่วสบถออกมา “เพียงขี่ไปแค่ครู่เดียว จำเป็นต้องใช้ร่างจริงของข้าเลยหรือ?”
มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมาชั่วขณะ “เจ้ายอมรับแต่โดยดีเถอะว่าไม่อยากเปลี่ยนเป็นร่างจริง เพียงเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าราชาแห่งอสูรร้ายอย่างโห่วกลับถูกใช้เป็น พาหนะ!”
นัยน์ตาของโห่วมืดทึบลงมา แค้นจนอยากจะกัดมู่ชิงเกอให้ตาย!
แต่ว่าคำสาปที่น่าตายนั่นก็ทำให้เขาหมดหนทางที่จะทำร้ายมู่ชิงเกอ
อัปยศ! อัปยศ! อัปยศเกินไปแล้ว!
ชื่อเสียงทั้งชีวิตของเขาถูกทำลายโดยมู่ชิงเกอ!
“กระต่ายตัวใหญ่จังเลย!” เสียงที่ดูตกตะลึงของมู่อี้เฉินดังขึ้นมาจากด้านหลัง
เขาขยี้ๆ ตา เดินมาอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกอมองดูโห่วอย่างละเอียด ชั่วขณะนั้นก็สร่างเมาขึ้นมา “กระต่ายใหญ่โตขนาดนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?”
มู่ชิงเกอมองดูเขาและก็มองเห็นมู่เสวี่ยอู่ที่มีใบหน้าตกตะลึงเช่นเดียวกันเดินมาด้านหลังเขา นางเอ่ยถามว่า “ตอนนี้พลังของพวกเจ้าอยู่ที่ระดับไหน?”
เอ่อ!
มู่อี้เฉินกับมู่เสวี่ยอู่สำรวจตัวเองเล็กน้อย ล้วนเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “ระดับสีม่วงชั้นสูงสุด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เต็มนัก”
มู่ชิงเกอนิ่งลงไป
เมื่อคืนนางกับเจียงหลีล้วนแต่พบว่า หลังจากกลับมา ระดับพลังของพวกนางทั้งสองล้วนแต่ไม่เปลี่ยนแปลง ยังอยู่ระดับสีเงิน ตอนนี้เมื่อถามมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ กลับพบว่าพวกเขาทั้งสองเปลี่ยนแล้ว ถูกกดลงมาอยู่ในขอบเขตพลังของหลินชวน
‘หรือว่าคนที่ออกไปจากหลินชวนแล้วกลับมาอีก ระดับพลังจะไม่ได้รับอิทธิพล?’ มู่ชิงเกอพูดในใจ
“ลูกพี่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” มู่อี้เฉินรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย
มู่ชิงเกอเก็บความคิดกลับมาแล้วเอ่ยกับเขาว่า “อย่ากังวลไป เพียงแค่ได้รับการกดพลังให้อยู่ในขอบเขตของหลินชวนเท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำอธิบาย มู่อี้เฉินกับมู่เสวี่ยอู่ถึงได้โล่งใจ
มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงรู้สึกเหมือนถูกตีกลับก่อนสู้เสียอีก!
“ไปเถอะ” มู่ชิงเกอร้องเรียก ส่วนตนเองกระโดดขึ้นไป บนหลังของโห่วก่อน
ออกแรงเหยียบๆ รู้สึกสบายจริงๆ
‘พอแล้ว!’ เพียงแต่ เสียงเตือนของโห่วก็ดังขึ้นมาในหัวของนางในทันที
มุมปากของมู่ชิงเกอคลี่ออก ไม่ได้ตอบกลับ
มู่อี้เฉินกับมู่เสวี่ยอู่ก็ตามขึ้นมา จากนั้นโห่วก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันที หายไปจากบนพระราชวังแคว้นกู่วู่ในพริบตา
เจียงหลีพิงอยู่ที่ข้างหน้าต่าง ใช้สายตาส่งมู่ชิงเกอจากไป จนหลังจากมองไม่เห็นแล้ว นางถึงได้หาวออกมา พาตัวเองไปที่เตียงหลังใหญ่ “เมื่อคืนวานเหนื่อยจนไม่ได้นอน วันนี้จะพักสายตาชดเชย ไม่ขอพบใครทั้งนั้น!”
กลางอากาศ กว่าที่ทั้งสามคนจะนั่งอย่างสมดุลได้ก็ไม่ง่ายดายเลย
ความเร็วของโห่วเหนือกว่าที่มู่ชิงเกอคาดเอาไว้ หากอิงตามความเร็วนี้แล้ว ไม่ถึงครึ่งวัน นางก็คงกลับไปถึงแคว้นฉิน
“ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เจ้าอย่าได้ไปผิดทางล่ะ” มู่ชิงเกอพูดกับโห่ว
กระต่ายตัวโตกลับเพียงแค่ส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง แล้วก็เร่งความเร็วขึ้นอีก
แคว้นฉิน เมืองลั่วตู เมื่อมาถึงที่นี่อีกครั้ง ในใจของมู่ชิงเกอก็เกิดความรู้สึกว่า ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมขึ้นในใจ นางลงที่นอกเมืองลั่วตู เก็บโห่วเข้าไปในช่องว่าง ยืนอยู่ไกลๆ มองไปยังประตูเมืองไม่ได้รีบร้อนจะเข้าไป
มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ยืนอยู่ด้านหลังของนาง เห็นนางนิ่งลงไป ก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวน
หลังจากครุ่นคิดถึงความรู้สึกต่างๆ ภายในใจเสร็จแล้วมู่ชิงเกอถึงได้ก้าวเดินพร้อมเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “ไปกันเถอะ”
“คุณ…คุณชาย!” ทหารที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองนายหนึ่ง มองเห็นเงาร่างสีแดงโดดเด่นที่กำลังเดินมาจากไกลๆ ชั่วขณะนั้นก็หลุดเสียงออกมา ทั้งยังขยี้ตาของตนเองไม่หยุด
“เจ้าตาฝาดไปหรือเปล่า? คุณชายจะ…” เพื่อนร่วมงานข้างกายของเขากำลังจะพูดเยาะเย้ยเขาแต่กลับมองไปเห็นเงาสีแดงนั้นพอดี เสียงจึงหยุดชะงักลง
“เร็ว! รีบไปรายงานท่านแม่ทัพ!” หลังจากได้สติขึ้นมา บนกำแพงก็กลายเป็นสับสนอลหม่าน
ส่วนมู่ชิงเกอที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้ไม่ได้รู้เลยว่าการปรากฎตัวของตนเองจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น
ในตอนที่นางพามู่อี้เฉินกับมู่เสวี่ยอู่เดินมาถึงประตูกำแพงนั้น ภายในเมืองก็มีทหารพุ่งออกมากลุ่มหนึ่ง นำประชาชนที่ต่อแถวรอเข้าเมืองแหวกไปยังข้างทาง เปิดช่องว่าง
เหล่าประชาชนกำลังแปลกใจ ก็มองเห็นแม่ทัพรักษาเมืองนำพาทหารทั้งหมดที่มีปรากฎตัวออกมาชันเข่า ข้างหนึ่งบนพื้น
“ข้า แม่ทัพรักษาเมืองหยวนหรง ไม่ทราบว่าคุณชายกลับมา ไม่ได้ออกไปต้อนรับ ขอให้คุณชายลงโทษด้วย!” แม่ทัพผู้นั้นพูดเสียงดัง
ทหารคนอื่นๆ ก็พากันคุกเข่าลงกับพื้นพูดขึ้นพร้อมกันว่า “ยินดีต้อนรับคุณชายกลับเมือง!”
“ยินดีต้อนรับคุณชายกลับเมือง!”
“คุณชายกลับมาแล้ว!”
“คุณชาย! คุณชายของพวกเรากลับมาแล้วหรือ?”
บรรดาประชาชนถูกปฏิกิริยานี้ทำให้ตกใจ หลังจากได้สติคืนมาแล้วก็พากันมองหาเงาร่างของมู่ชิงเกอ ไม่เปลืองแรงมาก พวกเขาก็มองเห็นพวกมู่ชิงเกอสามคน
เดินมาถึงใต้กำแพง
“เป็นคุณชายจริงๆ!”
“ของแท้แน่นอน! ข้าช่างโชคดียิ่งนัก! ถึงกลับมาได้ทันเห็นคุณชายกลับมา!”
“ต้อนรับคุณชายกลับเมือง!”
“ต้อนรับคุณชายกลับเมือง!”
เหล่าประชาชนพากันคุกเข่าลง ต้อนรับมู่ชิงเกอกลับมาด้วยใจ
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก นางไม่คิดจะทำให้เอิกเกริกขนาดนี้ แต่ไม่คิดว่า นางจากไปตั้งนาน แต่บรรดาทหารเฝ้าเมืองเหล่านี้ยังจำนางได้อีก
มู่ชิงเกอเดินไปถึงตรงหน้าของหยวนหรงแล้วพูดกับเขา ว่า “ยืนขึ้นเถอะ”
“ขอบคุณคุณชาย!” หยวนหรงลุกขึ้นมาจากพื้น ยืดอกหลังตรง ดูเหมือนจะแสดงท่วงท่าที่องอาจของตนเองต่อหน้ามู่ชิงเกอ
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ” มู่ชิงเกอมองไปรอบๆ แล้วก็พูดกับ บรรดาทหารและประชาชนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น
“ขอบคุณคุณชาย!”
ทุกคนประสานเสียง แล้วพวกเขาก็ลุกขึ้นมาจากพื้น แต่ก็ยังคงใช้สายตาที่เป็นมิตรมองมู่ชิงเกออยู่ ความยินดีนี้ ดูเหมือนกับว่าญาติสนิทของตนเองกลับมาแล้วก็ไม่ปาน
มู่อี้เฉินกับมู่เสวี่ยอู่ถูกฉากเช่นนี้ทำให้ตกตะลึง พวกเขาไม่รู้ว่าลูกพี่ของตนเองภายในสายตาของทหารและประชาชนนั้นจะมีชื่อเสียงขนาดนี้!
“คุณชาย ได้โปรดให้ข้าคุ้มครองท่านส่งจวนเถอะ!” หยวนหรงเสนอออกมา
แต่มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่รบกวนแล้ว ข้าจะกลับไปเอง”
“นี่…” หยวนหรงเอ่ยอย่างลำบากใจ “ข่าวคราวว่าคุณชายกลับเมืองหลวงเกรงว่าคงจะกระจายออกไปจนทั่วในเมืองแล้ว หากว่าไม่มีคนนำทาง ข้าเกรงว่าคุณชายจะเดินทางได้ลำบาก!”
พูดจบแล้ว เขาก็เผยรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา ดูขัดกันกับหว่างคิ้วที่ดูยินดีนั้นเป็นอย่างยิ่ง
“ใช่แล้ว! คุณชาย ให้พวกเราส่งท่านกลับจวนเถอะ!”
“ได้ส่งคุณชายกลับจวนถือว่าเป็นเกียรติของพวกเรา!”
ประชาชนก็ส่งเสียงตามออกมา
มู่ชิงเกอยิ้มๆ ส่ายหน้า มองมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่แวบหนึ่ง ทั้งสองเข้าใจถึง แผนการในทันที
จากนั้นทั้งสามคนก็หายไปจากสายตาของทุกคนทำให้กลุ่มคนรู้สึกมึนงงขึ้นมา
เมื่อทั้งสามคนปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งก็ได้ไปอยู่นอกประตูจวนตระกูลมู่แล้ว
มู่ชิงเกอเอ่ยกับทั้งสองคนว่า “เดิมทีคิดจะกลับมาเงียบๆ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้ ที่นี่ก็คือจวนตระกูลมู่แล้ว”
พูดจบแล้วนางก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังป้ายที่แขวนอยู่ใต้หลังคา
“จวนหย่งหนิงกง…จวนแม่ทัพรักษาดินแดน…จวนตระกูลมู่…” มู่อี้เฉินพึมพำท่องอักษรบนป้ายออกมา
ทุกๆ คำที่ท่องออกมา ในใจของเขาก็รู้สึกเร่าร้อนขึ้น มู่เสวี่ยอู่ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่านางจะไม่ได้แสดงออกเด่นชัดเช่นมู่อี้เฉิน แต่เวลานี้ดวงตาของนางก็แดงกํ่า ในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
“จวนหย่งหนิงกง จวนแม่ทัพรักษาดินแดน จวนตระกูลมู่” มู่ชิงเกอก็มองป้ายเดียวกัน ในใจเกิดความคิดหลากหลายขึ้นมา
ตอนนั้น นางเกิดใหม่อีกครั้งบนราบรกร้างลั่วรื่อ แล้วก็ถูกมู่ซงพาตัวกลับมา
ในตอนแรกที่มองเห็นคำบนป้ายนั้น ก็ตกตะลึง โดยเฉพาะอักษรสีแดงชาดบนแผ่นกระดานสีดำที่เขียนว่า ‘จวนแม่ทัพรักษาดินแดน’
อักษรที่แสดงถึงโลหิตเร่าร้อน ท่ามกลางสนามรบ ความน่าเกรงขามองอาจของกองทัพ
ตอนนี้ นางกลับมาแล้ว นำหลานของมู่ซงกลับมาด้วย ทั้งยังมีมู่เหลียนเฉิงที่นอนสงบนิ่งอยู่ในช่องว่างของนาง!
แกรก!
ประตูจวนตระกูลมู่ที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดออกมา
คนที่เดินออกมาจากด้านใน เมื่อมองเห็นคนทั้งสามด้านนอกประตูแล้วก็ตกตะลึงจนชะงักไป
รอจนมองเห็นมู่ชิงเกอชัดแล้ว ก็ขยี้ๆ ตาอย่างอดไม่ได้ แล้วก็ตะโกนขึ้นมาในทันที “คุณชายกลับมาแล้ว! คุณชายกลับมาแล้ว!”
มู่ชิงเกอหันมองเขา ก็รู้สถานะของเขาในทันที
พ่อบ้านใหญ่จวนตระกูลมู่ อดีตทหารผ่านศึกที่หลังจากถอนตัวก็มาอยู่ในจวนตระกูลมู่ คอยจัดการเรื่องราวในตระกูลมู่แทนมู่ซง
“ท่านปู่ ข้ากลับมาแล้ว” เสียงที่คุ้นเคยทำให้มู่ซงที่กำลังดูแลดอกไม้ใบหญ้าชะงัก หันกลับมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วก็มองเห็นมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขา
พลั่วเล็กๆ ที่อยู่ในมือของมู่ซงตกลงพื้นดัง ‘เคร้ง’
พ่อบ้านใหญ่ตระกูลมู่ที่เข้ามากับมู่ชิงเกอ แอบเช็ดที่หางตาของตนเอง เดินออกไปหยิบพลั่วขึ้นมา เอ่ยกับมู่ซงว่า “นายท่าน คุณชายของพวกเรากลับมาแล้ว!”
มู่ซงก้าวยาวๆ ไปหามู่ชิงเกอ เขาเบิกตากว้าง บนนัยน์ตาเกิดไอหมอกปกคลุม
“เกอเอ๋อร์! เป็นเกอเอ๋อร์จริงๆ!” มู่ซงไม่สนใจสองมือที่เปื้อนดิน จับไปที่ไหล่ของมู่ชิงเกอ ความจริงที่สัมผัสได้ ถึงทำให้เขาเชื่อว่าทุกอย่างเป็นความจริง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” มู่ซงเงยหน้าหัวเราะดังขึ้นมา กอดมู่ชิงเกอพึมพำว่า “กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว”
มู่ชิงเกอถูกมู่ซงกอดไว้ในอ้อมอก ชั่วขณะนั้นจมูกก็แสบร้อนขึ้นมา
สำหรับมู่ซงแล้วไม่ว่านางจะแข็งแกร่งหรือประสบความสำเร็จขนาดไหนในภายนอก ก็ไม่สู้นางกลับมาบ้าน
“ท่านปู่ ข้ากลับมาแล้ว” มู่ชิงเกอเอ่ยกับมู่ซงอีกรอบ
มู่ซงพยายามข่มกลั้นความรุ่มร้อนที่หางตา แล้วก็สำรวจมู่ชิงเกออย่างละเอียด “ผอมลง โย่วเหอและฮวาเยวี่ยไม่ได้ดูแลเจ้าอย่างดีใช่หรือไม่?”
มู่ชิงเกอหัวเราะพรืดออกมา “ข้าผอมตรงไหนกัน?”
“จะไม่ผอมได้อย่างไร?” มู่ซงเบิกตากว้าง จากนั้น เขาก็เอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ข้าไม่สนว่าครั้งนี้เจ้าจะมานานแค่ไหน ขอเพียงเจ้าอยู่ที่นี่หนึ่งวัน ก็ต้องให้เจ้ากินเพิ่มเติมเนื้อเข้าไปอีก!”
มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างหมดทางเลือก นางถอยออกจากอ้อมอกของมู่ซง แล้วเอ่ยกับเขาว่า “ท่านปู่ ครั้งนี้ข้าพาคนสองคนมาหาท่านด้วย”
ประโยคนี้ทำให้มู่ซงชะงักไป
เขาไม่ได้โง่ แล้วจะฟังไม่ออกถึงความหมายในคำพูดของมู่ชิงเกอได้อย่างไร?
เขาเคยพูดว่าหากว่ามีโอกาสก็ให้มู่ชิงเกอพาเด็กสองคนกลับมายังตระกูลมู่ เข้ารับการยอมรับตระกูล แต่คิดไม่ถึงว่าวันๆ นั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้
มู่ชิงเกอหันไปยังประตูนอกเรือน เอ่ยกับคนสองคนที่ซ่อนอยู่หลังประตูว่า “ออกมาเถอะ”
เสียงนี้ทำให้มู่ซงตื่นเต้นจนสองมือสั่นระริก
ภายในดวงตาของเขาฉายอารมณ์ที่ซับซ้อน จ้องไปที่นอกประตู แม้แต่ลมหายใจก็ยังหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว
มู่อี้เฉินกับมู่เสวี่ยอู่เดินออกมาจากนอกประตู พวกเขามองเห็นมู่ซงในทันที แม้ว่ามู่ซงจะดูแก่ชรากว่าซางซุ่นหวางไปหน่อย แต่ว่ากลิ่นอายอันเร่าร้อนของจอมพลผู้ยิ่งใหญ่แห่งสนามรบกลับทำให้พวกเขารู้สึกสนิทสนมโดยสายเลือดในทันที
ทั้งสองคนเดินไปตรงหน้าของมู่ซงอย่างตื่นเต้น คุกเข่าลงกับพื้น โขกหัวคำนับเขา
“หลานสาวมู่เสวี่ยอู่มาหาท่านปู่แล้ว”
“หลานชายมู่อี้เฉินมาหาท่านปู่แล้ว”
ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
สองเท้าของมู่ซงเหมือนถูกชักจูง ร่างกายแข็งทื่อ ยากจะขยับ ยื่นมือออกไปพยุงเด็กสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นขึ้นมา เขาถึงได้พบว่ามือของตนเองกำลังสั่น “ดี ดี ดี ลุกขึ้นมาเถอะ อย่าคุกเข่าบนพื้นเลย มันเย็น”
ประโยคที่ไม่ได้มีความห่างเหินนั้น ทำให้ในใจของมู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินเกิดความรู้สึกขมขื่นขึ้นมา พวกเขายังลุกขึ้นมา แล้วก็เข้าไปคล้องแขนซ้ายขวาของมู่ซง ใช้ศีรษะซบลงไปที่ไหล่อันแข็งแกร่งของมู่ซง
มู่ซงจับมือของพวกเขาแน่น คำพูดที่มากมายล้วนแต่พูดออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงแต่มองหลานทั้งสอง ด้วยดวงตาที่มีนํ้าตาซึม
การพบกันครั้งแรกของทั้งสามคน มู่ชิงเกอถอนหายใจเบาๆ แล้วถอยออกไป
นางให้เวลาส่วนตัวแก่หลานและปู่ทั้งสามคน
พ่อบ้านใหญ่ตระกูลมู่ก็ถอยออกมากับนาง เช็ดนํ้าตาที่หางตา ถอนหายใจเอ่ยว่า “ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ นายท่านได้รับข่าวจากคุณชาย เมื่อรู้ว่าตระกูลมู่ยังมีผู้สืบ ทอดก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับไปหลายคืน เขามักจะพูดกับบ่าวว่า หากว่าเขายังหนุ่มอยู่ก็คงจะไปยังโลกแห่งยุคกลางด้วยตนเองแล้ว มาวันนี้ในที่สุดความฝันก็กลายเป็นความจริง คุณชาย ท่านสั่งการเรื่องที่ต้องจัดการแก่บ่าวมาเถอะ ตอนนี้นายท่านกำลังสับสนวุ่นวาย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี”
มู่ชิงเกอยิ้มออกมา เอ่ยกับเขาว่า “ไปจัดเตรียมห้องสองห้องไว้ก่อนเถอะเพื่อให้พวกเขาทั้งสองได้พัก อีกอย่างไปจัดข้าวปลาอาหาร คืนนี้ท่านปู่ก็คงอยากจะฉลอง และก็สั่งการลงไปว่าคืนนี้ให้ทั้งจวนมาร่วมฉลองกัน”
“ขอรับ! บ่าวจะไปจัดเตรียมเดี๋ยวนี้” พ่อบ้านใหญ่โค้งกายถอยออกไป เดินออกไปไม่ถึงสองก้าว เขาก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “คุณชาย หลังจากที่ท่านจากไป สวนสระเมฆาที่ท่านเคยอยู่นายท่านก็ให้คนดูแลทำความสะอาดมาโดยตลอด ไม่มีฝุ่นสักนิดเพื่อรอว่าจะมีสักวันที่ท่านจะกลับมา”
ประโยคนี้ทำให้ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกอบอุ่นขึ้น นางพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยกับพ่อบ้านใหญ่ว่า “ข้ารู้แล้ว ใช่แล้ว เจ้าช่วยส่งข่าวให้ท่านอาที ให้พวกเขากลับมาสักครั้ง”
“ขอรับ ขอรับ” ในที่สุดพ่อบ้านใหญ่ก็ถอยออกไป
ความเงียบที่ปกคลุมตระกูลมู่มานานในที่สุดก็กลับมาครึกครื้นขึ้นอีกครั้ง
มู่ชิงเกอกลับไปยังสวนสระเมฆาของตนเอง หลังจากเดินสำรวจรอบหนึ่งก็พบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย แม้แต่โต๊ะในห้อง เก้าอี้โยกในเรือน ทั้งยังมีอาหารว่างและผลไม้ที่นางชอบจัดวางไว้อยู่
ดูเหมือนว่านางไม่เคยได้จากไปไหน มู่ชิงเกอนั่งอยู่ใต้ต้นไม้อย่างรู้สึกคิดถึงครู่หนึ่ง ไม่นานก็มีสาวใช้เข้ามาทำความเคารพ “คุณชาย นายท่านให้มาเชิญเจ้าค่ะ”
มู่ชิงเกอยืนขึ้น ภายใต้การนำของสาวใช้ เดินไปยังหอบรรพชนในตระกูล
ไปถึงนอกหอบรรพชน มู่ชิงเกอก็มองเห็นมู่ซงแล้วก็ยังมี มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่
เพียงแค่มองเห็นนาง มู่ซงก็จ้องมองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถึงบ้านแล้วยังไม่ถอดตุ้มหูรกตานั่นออกอีกหรือ?”
ตอนนี้ทั้งหลินชวนก็รู้แล้วว่านางเป็นผู้หญิง ทั้งยังรู้ว่านางหมั้นหมายกับมหาปราชญ์ยังใช้ภาพลักษณ์ผู้ชายอีกทำให้ดูแปลกนัก
มู่ชิงเกอยิ้มอย่างหมดทางเลือก ถอดตุ้มหูออก กลับคืนสู่ภาพลักษณ์ของหญิงสาว
นี่เป็นครั้งที่สองที่มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่มองเห็นมู่ชิงเกอในภาพลักษณ์ผู้หญิง พวกเขาตกตะลึง
มู่อี้เฉินอ้าปากค้าง เอ่ยว่า “สถานะของลูกพี่ทุกคนคนรู้กันหมดแล้วงั้นหรือ?”
มู่ซงเอ่ยว่า “ตอนนี้ทั้งหลินชวนมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าจวนตระกูลมู่ของพวกเรานั้นมีนายหญิง?”
“ท่านปู่ ท่านอย่าได้ทำร้ายข้า” มู่ชิงเกอยิ้มแล้วเดินไป ข้างกายพวกเขา
มู่ซงถึงได้เอ่ยอย่างจริงจังขึ้นว่า “เกอเอ๋อร์ตอนนี้เจ้าเป็นประมุขตระกูลมู่ ในเมื่อเด็กสองคนนี้กลับมาแล้ว เจ้าก็จัดให้พวกเขาเข้ามาอยู่ในตระกูลเถอะ เอาชื่อของพวกเขาเขียนใส่ไว้ในทำเนียบของตระกูล”
“ทุกอย่างเอาตามที่ท่านปู่สั่ง” มู่ชิงเกอไม่ได้ต่อต้าน
มู่อี้เฉินกับมู่สวี่ยอู่ตื่นเต้นขึ้นมา
พวกเขากลับมา นอกจากต้องการจะพบมู่ซงแล้ว ก็ต้องการจะเข้าสู่ตระกูลมู่อย่างเป็นทางการด้วย
“ขอบคุณลูกพี่!”
“ขอบคุณลูกพี่!”
มู่เสวี่ยอู่และมู่อี้เฉินเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร เดินไปเปิดประตูหอบรรพชน
ภายใต้การแนะนำของมู่ซง ทำให้มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่ได้ ทำการไหว้เหล่าบรรพชนตระกูลมู่ นางมองเห็นบริเวณที่เคยวางป้ายชื่อของซางหลันรั่ว ซึ่งตอนนี้ว่างเปล่า เหลือเพียงแค่ป้ายของมู่เหลียนเฉิงที่ยังคงอยู่
เวลานี้มู่ซงก็อธิบายข้างหูของนางว่า “หลังจากที่ได้รู้ว่ามารดาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็ได้ให้คนเอาป้ายออก”
มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไร ทำตามกฎ เอาชื่อของมู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่เพิ่มเข้าไปในทำเนียบตระกูล
ตระกูลมู่มีคนน้อย นับจากรุ่นของมู่ซงก็ไม่มีพิธีกรรมอะไรที่ยุ่งยากวุ่นวายอีก
แต่ทว่า หลังจากออกจากหอบรรพชนแล้ว มู่ซงยังพูดอีกว่า “วันนี้ถือว่าเป็นวันที่พวกเจ้ากลับมาตระกูลมู่ พรุ่งนี้ข้าจะไปรายงานฮ่องเต้ประกาศไปทั่วแผ่นดิน ให้คนทั้งแผ่นดินรับรู้ว่าพวกเจ้าอยู่ในตระกูลแล้ว พวกเจ้าคือคุณชายและคุณหนูของตระกูลมู่!”
“ขอบคุณท่านปู่!”
“ขอบคุณท่านปู่!”
มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่เอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ท่านปู่ ท่านอยากจะพบ…ท่านพ่อหรือไม่?” มู่ชิงเกอมองไปยังมู่ซงแล้วเอ่ยขึ้น เดิมทีนางคิดจะพูดว่ามู่เหลียนเฉิง แต่เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็ได้เปลี่ยนเป็นเรียก ว่าท่านพ่อ
มู่ซงชะงัก หลุดเสียงออกไปว่า “เจ้านำเขากลับมาด้วยอย่างนั้นหรือ?”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
นางพามู่ซงไปยังห้องที่ค่อนข้างมืดห้องหนึ่ง หลังจากสั่งให้พวกมู่สวี่ยอู่สองคนปิดประตูหน้าต่างในห้องแล้ว ถึงได้สะบัดมือ เอามู่เหลียนเฉิงกับนํ้าแข็งทมิฬออกมาวางไว้ในห้อง
“เหลียนเฉิง! ลูกของข้า!” เมื่อมองเห็นมู่เหลียนเฉิงที่นอนอยู่บนนํ้าแข็งทมิฬดั่งหลับไป ชั่วขณะนั้นมู่ซงก็ควบคุมตัวเองไม่อยู่ น้ำตาไหลลงมา
เป็นพ่อหม้ายวัยกลางคนที่บุตรตาย ไม่มีใครรู้ว่ายี่สิบปีมานี้เขาผ่านมาได้อย่างไร!
มู่เสวี่ยอู่กับมู่อี้เฉินมองเห็นฉากนี้แล้วก็รู้สึกขมขื่นขึ้นในใจ ยืนอยู่เงียบๆ ไม่ได้รบกวน
มู่ชิงเกอก็รอให้ มู่ซงสงบอารมณ์แล้วถึงได้เอ่ยกับมู่ซงว่า “ท่านปู่ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะช่วยท่านพ่อให้ฟื้นคืนมาให้ได้ให้มีชีวิตอยู่ข้างกายท่าน”
มู่ซงเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ถอนหายใจแล้วส่ายๆ หน้าเอ่ยว่า “เกอเอ๋อร์เจ้าเป็นเด็กดี แต่ว่าปู่ไม่คาดหวังให้เจ้าแบกรับภาระเยอะเกินไป บิดาของเจ้าจากไปยี่สิบปีแล้ว ตอนนี้สามารถได้เห็นเขาอีกครั้ง ในใจของข้าก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว ไม่ขออะไรอีก เจ้าก็อย่าได้ลำบากตัวเองไปเลย ทำให้คนที่ตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาอีกนั้นจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายได้อย่างไร? ไม่สู้หาวันฝังบิดาของเจ้าไว้ในสุสานตระกูลมู่จะดีกว่า และก็ถือว่าได้กลับคืนสู่รากเหง้าและจากไปอย่างสงบแล้ว”
ทางเลือกของมู่ซงทำให้มู่อี้เฉินและมู่เสวี่ยอู่รู้สึกแปลกใจ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดมู่ชิงเกอถึงได้ดูเย็นชากับซางหลันรั่ว
“ท่านปู่ ไม่ลำบากหรอก ข้าหาวิธีได้แล้ว รอให้ข้ารวบรวมของที่จำเป็นครบแล้วก็จะช่วยท่านพ่อให้ฟื้น” มู่ชิงเกอเอ่ยปลอบ
“เจ้าพูดความจริงงั้นหรือ? ไม่ได้หลอกข้า? ไม่ได้กำลังปลอบใจข้าใช่ไหม?” มู่ซงพูดอย่างตกใจ
เขามองมู่ชิงเกอ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เกอเอ๋อร์ หากว่าเจ้าจะต้องทำร้ายตัวเองเพื่อช่วยบิดาของเจ้า หรือทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย ข้าก็ยอมไม่ให้เจ้าไปทำจะดีกว่า ข้ายอม…ให้เหลียนเฉิงตายไปอย่างนี้ดีแล้ว”
“ท่านปู่ ไม่หรอก ท่านวางใจได้” มู่ชิงเกอกุมมือของมู่ซง รับรองกับเขา