Skip to content

พลิกปฐพี 307

ตอนที่ 307

เจ้ารู้หรือไม่ว่าสายเลือดของเจ้านั้นเป็นอย่างไร

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้าชอบที่นี่หรือไม่?” ซือมั่วใช้สองมือโอบมู่ชิงเกอเอาไว้อยู่ในอ้อมอก ทั้งสองมองไปยังแผ่นดินที่เงียบสงบพร้อมกัน

มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ นางหันกายกลับมา แล้วก็มองไปที่ซือมั่ว พร้อมกับพูดอย่างตั้งใจว่า “ซือมั่ว เชื่อใจข้าว่าจะต้องมีสักวัน จะต้องมีสักวันที่พวกเราสามารถเดินจูงมือ พากันท่องเที่ยวไปทั่วทุกแว่นแคว้น เมื่อพบสถานที่ที่ชอบก็อยู่กันสักระยะหนึ่ง ชื่นชมความงดงามของโลกไปด้วยกัน”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้ากำลังพูดอะไรกัน? ตอนนี้พวกเราก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?” ภายในนัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วมีความอ่อนใจที่นางคุ้นเคย

มู่ชิงเกอถอยออกมาจากอ้อมอกของเขา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วใช้นัยน์ตาอันสดใสจ้องมองเขาแล้วเอ่ยว่า “ที่นี่เป็นเพียงความปรารถนาของข้าเท่านั้น”

นางยกกาเหล้าขึ้นมาแล้วก็เทเหล้าลงไปในปากพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา “เหล้าชนิดนี้เกรงว่าคงมีแต่ภายในใจของข้าเท่านั้นถึงจะปรากฎออกมาได้”

นางคลายนิ้วมือออก กาเหล้าตกจากมือของนางลงไปบนพื้น แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ส่วนตัวของนางเองก็ถอยหลังออกไปเรื่อยๆ นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ อย่าไป อยู่ต่อเถอะ พวกเราสามารถอยู่ ด้วยกันตลอดไปได้!”

“เกอเอ๋อร์อยู่ต่อเถอะ! อยู่ต่อเถอะ!”

“คุณชาย ท่านจะไปไหน อยู่ต่อเถอะ”

“ชิงเกอ เหตุใดเจ้าจะต้องไปด้วย? ที่นี่ไม่ดีอย่างนั้นหรือ?”

“อยู่ต่อเถอะ…”

“อยู่ต่อเถอะ…”

“อยู่ต่อเถอะ…”

เงาร่างของคนที่สำคัญในใจของนางค่อยๆ สั่นไหวต่อหน้านาง ล้วนแต่ยื่นมือออกมาร้องเรียกให้นางอยู่ต่อ แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับถอยออกไปเรื่อยๆ คนเหล่านั้น เงาร่าง เหล่านั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นคลุมเครือแล้วก็แตกสลายหายไปกับสายลมไปต่อหน้านาง

นางกลับมายังสถานที่ที่นางถูกเปลวไฟทดสอบใจเผา รอบด้านมีเปลวไฟสีนํ้าเงินพร้อมกับแสงสีทองจางๆ

“อารมณ์ทั้งเจ็ดความปรารถนาทั้งหก ที่ข้าต้องทำนั้นไม่ใช่ละทิ้งแต่เป็นการควบคุม มีเพียงแค่ทำใจให้สงบเท่านั้นถึงจะสามารถหลุดออกจากพันธะทั้งปวงได้” มู่ชิงเกอค่อยๆ เอ่ยออกมา

“ถึงกับสามารถหลุดออกจากการควบคุมของความปรารถนาทั้งหกได้เชียวหรือ!” ภายในถํ้านํ้าแข็งเงาร่างที่กึ่งโปร่งแสงนั้น เมื่อมองเห็นว่าเปลวไฟทดสอบใจบนร่าง ของมู่ชิงเกอค่อยๆ ดับลงแล้ว นัยน์ตาก็เผยร่องรอยของความตื่นตะลึงออกมา

ไม่นานเปลวไฟทดสอบใจเหล่านั้นก็ดับไปจนหมดและมู่ชิงเกอก็ได้ลืมตาขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายใต้เปลวไฟทดสอบใจนี้ ในคนร้อยคนก็ยากที่จะมีสักคนหลุดออกมาได้?” เสียงแก่ชรานั้นดังเข้ามา

มู่ชิงเกอมองออกไป แต่กลับพบว่าภายในถํ้านํ้าแข็งนั้นมีคนเพิ่มมาหนึ่งคน

ไม่น่าจะบอกว่ามีคนกึ่งโปร่งแสงเพิ่มมาหนึ่งคน ส่วนเขาก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าของเสียงที่พูดกับนางก่อนหน้านี้

บางทีอาจเป็นเพราะเมื่อครู่เพิ่งจะผ่านการเผาจากเปลวไฟทดสอบใจมา ดังนั้นมู่ชิงเกอจึงไม่ได้แปลกใจกับการปรากฎตัวของเขา เพียงแต่นัยน์ตาของนางเผยร่องรอยความหวั่นไหวออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็ยอมรับคนที่โผล่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน…หรืออาจจะเป็นผี?

“ข้าดูเบาเจ้าไปแล้ว” เขาค่อยๆ พยักหน้าจากนั้นก็ถอนหายใจ

มู่ชิงเกอเอ่ยตอบว่า “คนที่ดูเบาข้านั้น ไม่ได้มีแค่เพียงเจ้าแค่คนเดียว”

“หือ? ให้ข้าเดาประโยคหลังนั้นเจ้าน่าจะพูดว่า ส่วนตอนนี้พวกเขาก็ล้วนแต่โดนตบหน้าไปแล้วใช่หรือไม่?” เงาร่างนั้นเอ่ยอย่างยั่วยุ

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร ส่วนความหมายนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ต้องพูดออกมา

“ถือว่าข้าทดสอบผ่านแล้วใช่หรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถามไปตามตรง

เงาคนนั้นสายหน้าแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยอย่างหมดทางเลือกว่า “เจ้าเด็กคนนี้มองเห็นข้าแล้ว ก็ไม่ได้สนใจที่จะถามสักคำ สนใจเพียงแต่เคล็ดวิชาเทวะเท่านั้นหรือ”

มู่ชิงเกอนั้นเร่งร้อนมากเกินไป นัยน์ตาจึงเผยร่องรอยของความกระดากใจออกมา

นางไม่ได้สนใจอยากจะรู้ว่าคนตรงหน้าคือใครจริงๆ ในเมื่อหลังจากออกไปจากที่นี่แล้วก็คงจะไม่ได้พบกันอีก ตอนนี้ด้านหลังยังมีอุปสรรคอันยิ่งใหญ่กำลังรอคอยนางอยู่ แน่นอนว่านางอยากจะรีบเอาเคล็ดวิชาเทวะ แล้วก็จากไปในทันที!

“ข้าชื่อว่ามู่สวิน หากคิดตามสถานะของเจ้า เจ้าต้องร้องเรียกข้าว่าบรรพบุรุษ” เงาร่างพูดออกมา

มู่ชิงเกอคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็กุมมือคาราวะ “บรรพบุรุษมู่สวิน”

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ระหว่างทั้งสองคนจะมีความขัดแย้งกันบ้างทำให้นางไม่ได้รู้สึกดีสักเท่าไหร่กับคนที่อยู่ดีๆ โผล่ออกมา แต่ว่าในตอนนี้เคล็ดวิชาเทวะ ส่วนกลางยังไม่อยู่ในมือ เวลาที่ควรจะใช้ไม้อ่อนก็ต้องใช้ไม้อ่อน

“เสียงนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่เลย” มู่สวินหัวเราะ

เขาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว แน่นอนว่าจะสามารถนำเคล็ดวิชาเทวะออกไปได้”

เขาถอนหายใจแล้วก็มองไปทางมู่ชิงเกอ ภายในแววตายังแฝงไว้ด้วยอารมณ์อดใจไม่ได้ “เด็กน้อย เจ้าผ่านการทดสอบ นั่นทำให้ข้ารู้สึกเหนือความคาดหมายมากจริงๆ ไม่ขอปิดบังเจ้า แต่เดิมข้าคิดว่าหลังจากให้เจ้าทดสอบแล้ว เมื่อเจ้าไม่ผ่านก็จะรู้ว่ายากลำบากแล้วถอยไปเอง แต่ไม่คิดว่าเจ้ากลับทำให้ข้าต้องมองเจ้าใหม่ เพียงแต่ว่า เส้นทางของเจ้าต่อไปนี้ก็จะลำบากแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าจะต้องผ่านความเป็นความตายมากสักกี่ครั้งถึงจะสามารถเดินไปถึงจุดจบได้ เจ้าหวาดกลัวหรือไม่?”

มู่ชิงเกอได้ยินถึงความเป็นห่วงของเขาจากคำพูด อารมณ์โมโหต่อเขาในใจของนางเบาบางลงเล็กน้อย แล้วก็เอ่ยกับมู่สวินว่า “บรรพบุรุษมู่สวิน ท่านก็ได้พูด แล้วว่าเส้นทางนี้เมื่อได้เดินแล้ว ก็หยุดลงไม่ได้ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าจะยังต้องคิดมากอีกทำไม? หากข้างหน้ามีภูเขาก็จะข้ามไป หากข้างหน้ามีสายนํ้าก็จะผ่าน ไป ถึงแม้ว่าเส้นทางจะมีขวากหนามข้าก็จะก้าวเข้าไป ไม่ใช่ว่าไม่กลัวแต่เป็นเพราะไม่มีทางถอยแล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์”

“ดี! พูดได้ดี! ไม่มีทางถอยมีแต่ต้องไปข้างหน้าเท่านั้น เจ้าเด็กคนนี้มองเรื่องราวได้ชัดเจนกว่าข้ามากนัก แต่ก็เอาเถอะเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง เจ้าก็เอาไปเถอะ” มู่สวินพูดจบแล้วก็สะบัดมือ เคล็ดวิชาเทวะที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นค่อยๆ ลอยไปทางมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอมองเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางที่ลอยมาทางตัวเองแล้วในใจก็รู้สึกตื่นเต้นมาก

“รับไปเถอะ” มู่สวินเอ่ย

มู่ชิงเกอมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็ยื่นมือออกไปรับ ครั้งนี้มือของนางไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรอีก ดูเหมือนว่าอาคมนั้นได้ถูกถอนออกไปแล้ว

เมื่อได้รับเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางมาแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่ได้ดูให้ละเอียดแต่กลับโยนเข้าไปในช่องว่างโดยตรงเลย

เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางหายไปจากมือของนาง ทำให้นัยน์ตาของมู่สวินสว่างวาบ หัวเราะเอ่ยว่า “เจ้ายังมีสมบัติที่ดีอยู่บ้าง”

มู่ชิงเกอยิ้มไม่ได้อธิบาย

“เด็กน้อย เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง เจ้าก็ได้ไปแล้ว คิดที่จะจากไปแล้วใช่หรือไม่?” ทันใดนั้นมู่สวินก็เอ่ยถามออกมา

มู่ชิงเกอชะงักแล้วก็พยักหน้า “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง ในเมื่อได้มาแล้วก็ต้องรีบจากไปอยู่แล้ว”

นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดมู่สวินถึงได้ถามเช่นนี้อย่างกะทันหัน

“หากว่าข้าบอกเจ้าว่ายังมีผลประโยชน์บางอย่างที่กำลังรอคอยเจ้าอยู่ล่ะ เจ้ายังจะรีบจากไปอีกหรือไม่?” มู่สวินยิ้มเอ่ยออกมา

ผลประโยชน์!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ชั่วขณะนั้นก็หัวเราะออกมา “บรรพบุรุษมู่สวิน ท่านเลิกล้อเล่นกับข้าได้แล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกก็รีบพูดออกมาเถอะ”

“เจ้าเด็กคนนี้ อายุยังน้อยแต่กลับแก่แดด อยากจะแกล้งเจ้าเล่นสักหน่อยดูท่าทางที่สนอกสนใจของเจ้า ก็ล้วนแต่ทำไม่ได้เลย” มู่สวินส่ายหน้ายิ้ม

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ในใจบ่นว่า ‘อะไรคือแก่แดด? นี่เรียกว่ารู้จักควบคุมอารมณ์ต่างหาก!’

ทันใดนั้นมู่สวินก็มีท่าทีที่เคร่งขรึมขึ้นมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เด็กน้อย ในเมื่อเจ้าเลือกเส้นทางนี้แล้ว มีบางเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลมู่นั้นหมายถึงอะไรในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร?”

มู่ชิงเกอมองเขาด้วยสีหน้าที่มึนงงแล้วก็ค่อยๆ ส่ายหน้า

ผีสิถึงรู้ว่าตระกูลมู่นั้นหมายถึงอะไร!

“เป็นตามที่คาดจริงๆ” มู่สวินเผยสีหน้าที่มืดครึ้มลง แม้ว่าเขาจะมีเพียงร่างที่กึ่งโปร่งแสง แต่มู่ชิงเกอก็ยังมองเห็นความมืดครื้มบนใบหน้าของเขา

“หมื่นปีผ่านมาแม้แต่รุ่นลูกหลานของตนเองก็ล้วนแต่จำไม่ได้แล้วว่าตระกูลมู่รุ่งเรืองขนาดไหน” มู่สวินถอนหายใจ

เขามองไปทางมู่ชิงเกอ นํ้าเสียงเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นหลายส่วน “มู่ชิงเกอ ข้าขอบอกเจ้าว่าตระกูลมู่นั้นเคยรับผิดชอบกองสงครามในเผ่าเทพ!”

“กองสงคราม!” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ริมฝีปากเม้มแน่นขึ้นมา

นางรู้ว่าอะไรเรียกว่า ‘กองสงคราม’ และก็พูดได้ว่าตระกูลมู่เคยเป็นผู้นำทัพออกรบในเผ่าเทพ! และก็หมายถึงว่าหากเผ่าเทพได้รับการโจมตีอะไรหรือว่าจะออกศึก ตระกูลมู่ก็จะต้องเป็นแม่ทัพ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่กระโดดออกมาเป็นคนแรก

‘ก็เหมือนกับจวนตระกูลมู่ในแคว้นฉิน กองทัพตระกูลมู่…’ มู่ชิงเกอพูดขึ้นในใจ

“รู้ว่าทำไมตระกูลมู่ถึงได้รับผิดชอบกองสงครามหรือไม่?” มู่สวีนเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอส่ายหน้า

มู่สวีนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “นั่นก็เป็นเพราะว่าในร่างกายของพวกเราตระกูลมู่นั้นมีสายเลือดแห่งเทพสงครามยุคบรรพกาลไหลเวียนอยู่”

“สายเลือดแห่งเทพสงคราม” มู่ชิงเกอประหลาดใจ

นัยน์ตาของมู่สวีนฉายแววตื่นเต้นเอ่ยว่า “พวกเราตระกูลมู่เกิดมาเพื่อสนามรบ ทุกๆ คนล้วนแต่เป็นทหารโดยกำเนิด ในทุกๆ รุ่นจะเกิดเจ้าแห่งสนามรบ เป็นแม่ทัพเทพที่เอาชนะได้ไปนับพันลี้’’

ทันใดนั้นนัยน์ตาเขาก็มืดมนลงมาอีกครั้ง “แต่ว่าในที่สุดพวกเราก็ยังต้องถูกทำลายภายใต้แผนการอันชั่วร้าย บรรดาเหล่าแผนการที่พวกเราเคยดูแคลนกลับกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายพวกเรา เจ้าคิดว่าน่าตลกหรือไม่?”

ท่าทีของมู่ชิงเกอหวั่นไหวไปเล็กน้อยแต่กลับไม่ได้พูดอะไร

มู่สวินมองมู่ชิงเกอแล้วก็เอ่ยถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดประมุขตระกูลถึงกำหนดให้ผู้สืบทอดจำเป็นต้องมีเคล็ดวิชาเทวะทั้งสามม้วน?”

“ไม่รู้เหมือนกัน” มู่ชิงเกอส่ายหน้าอีกครั้ง

มู่สวินเอ่ยว่า “เป็นเพราะว่าบนโลกนี้ คนที่มีสายเลือดของเทพแห่งสงครามในร่างกายเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะสามม้วนได้ เคล็ดวิชาเทวะเป็นวิชาที่ต้นตระกูลรุ่นที่หนึ่งของพวกเราสร้างขึ้นมา หากนับจากวันนี้ไปก็หลายร้อยล้านปีแล้ว”

“หลายร้อยล้านปี!” มู่ชิงเกอตกตะลึง

มู่สวินพยักหน้า “ในครั้งนั้นต้นตระกูลของพวกเรา เริ่มขึ้นมาจากรุ่นที่ไร้ชื่อเสียง ก้าวขึ้นมาทีละก้าว ทีละก้าว จนมาถึงตำแหน่งเทพแห่งสงคราม ผ่านประสบการณ์มามากมายเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ วิชาทั้งสามม้วนนั้น ม้วนแรกนั้นเป็นวิชาฝึกร่างกาย หากว่าพูดถึงร่างกายแล้วเผ่ามารแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นต้นตระกูลจึงแฝงตัวอยู่ในเมืองของเผ่ามารนับร้อยปี เพื่อทำความเข้าใจวิธีการฝึกฝนของ พวกเขา จากนั้นก็ขัดเกลาและรวมกับวิชาฝึกฝนร่างกายที่ตนเองสร้างขึ้นมากลายเป็นเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน”

‘ที่ แท้’ก็เป็นเช่นนี้นี้เอง’ ชั่วขณะนั้น ในใจของมู่ชิงเกอก็เข้าใจแจ่มชัดขึ้น มิน่า ในเริ่มแรกตอนที่นางเห็นเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนนั้นถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ค่อยถูกต้อง

“เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางเป็นวิชาฝึกฝนพลังจิตแห่งเทพ ในนั้นเขียนอธิบายถึงวิธีที่จะฝึกพลังจิตแห่งเทพ และวิธีที่จะใช้มันแล้วก็เป็นสิ่งที่ต้นตระกูลศึกษาค้นคว้า ตำราโบราณต่างๆ ไม่หยุดจนค่อยๆ ศึกษาออกมาได้ ส่วนเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างอันสุดท้าย บันทึกอาคมที่ต้นตระกูลสร้างขึ้นมา ไม่ได้มีเพียงแค่เท่านี้ ยังบันทึกอาคมต่างๆ ที่เขาเรียนรู้ได้จากการต่อสู้กับคนอื่นๆ อีกด้วย ส่วนอาคมเหล่านั้นจำเป็นต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนและส่วนกลางก่อนเท่านั้นถึงจะสามารถเรียนรู้ได้ หากว่าฝืนเรียนรู้ก็จะทำให้ร่างกายระเบิดจนตาย” มู่สวินอธิบายอย่างละเอียด

มู่ชิงเกอก็ฟังอย่างละเอียด อีกทั้งยังรู้สึกนับถือต้นตระกูลตระกูลมู่ผู้นี้เป็นอย่างมาก

สามารถสร้างเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าเทพขึ้นมาได้ด้วยตัวเองคนเดียว คิดไม่ออกเลยว่าเขาในตอนแรกนั้นจะโดดเด่นสักเพียงใด

“เจ้าได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนแล้วใช่หรือไม่” มู่สวินเอ่ยถาม

แต่เดิมในใจของมู่ชิงเกอก็มีความสงสัยอยู่แล้ว ในตอนนี้ ได้พบคนที่เข้าใจจึงรีบช่วงชิงโอกาสเอ่ยถามไปว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่ากำลังฝึกฝนหรือไม่ได้ฝึกฝนกันแน่ในเริ่มแรก บรรพบุรุษได้นำไปเพียงแค่เศษส่วนของเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนเท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อสืบทอดมาถึงมือของข้า ภายใต้ความบังเอิญก็ได้รวบรวมส่วนที่หายไปครึ่งหนึ่งมาได้ จากนั้นเคล็ดวิชาเทวะส่วนบน ก็อยู่ในความทรงจำของข้า ในทุกๆ ครั้งที่ข้าฝึกฝนวิชาหรือพักผ่อนร่างกาย ตัวข้าก็จะถูกดึงเข้าไปภายในความทรงจำฝึกฝนแต่ว่าผลลัพธ์ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดจินตนาการว่าร่างกายระเบิด จนต้องตื่นขึ้นมา”

“เจ้าถึงกับรวบรวมชิ้นส่วนจนเต็มแล้ว!” มู่สวินตกตะลึง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา สายตาที่มองไปที่มู่ชิงเกอฉายแววปลื้มใจ “เด็กน้อยยังดีที่เจ้ายืนหยัดต่อไป มิเช่นนั้นแล้ว ข้าคงได้ทำผิดเพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่ง เจ้าสามารถเติมเต็มเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนที่ขาดหายไปนับหมื่นปีให้ครบสมบูรณ์ได้ ดูแล้วเจ้านั้นแหละคือความ หวังเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลมู่ ในปีนั้นเป็นเพราะเคล็ดวิชาเทวะส่วนบนไม่ครบ ทำให้ภายในตระกูลไม่มีใครสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะทั้งสามม้วนได้ครบ มิเช่นนั้นแล้วพวกทรยศเหล่านั้นจะมีช่องว่างลงมือได้อย่างไร?”

มู่ชิงเกอยิ้มไม่ได้ต่อคำ

มู่สวินสงบจิตใจแล้วก็เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้ามีความรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรในร่างกายหรือไม่?”

มู่ชิงเกอตั้งใจคิดแล้วก็พยักหน้า “ร่างกายของข้าดูเหมือนว่าจะมีความสามารถในการป้องกันมากยิ่งกว่าเมื่อก่อน แต่ทว่าแต่เดิมข้าก็ใส่ใจในการฝึกฝนร่างกายอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ก็ได้ใช้วิชาอื่นๆ ในการฝึกฝนร่างกายมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่แน่ใจว่าเป็นผลลัพธ์ของเคล็ดวิชาเทวะหรือไม่ แต่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าต่อสู้กับ คนๆ หนึ่ง แล้วควบคุมพลังในร่างกายไม่อยู่ ความรู้สึกเช่นนั้น ดูเหมือนว่าเพียงหมัดเดียวของข้า ก็ล้วนแต่สามารถทำให้ภูเขาลูกหนึ่งถูกทำลายลงได้”

หลังจากมู่สวินฟังจบแล้วก็พูดกับมู่ชิงเกอว่า “รู้ว่านี่เป็นเพราะอะไรหรือไม่?”

“ไม่รู้” มู่ชิงเกอตอบตามความจริง

มู่สวินให้คำตอบแก่นางว่า “เป็นเพราะสายเลือดของเทพแห่งสงครามในร่างกายเจ้ายังไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา นับตั้งแต่ตระกูลมู่ล้มสลาย สายเลือดของเทพแห่งสงครามภายในร่างก็เกรงว่าน่าจะหลับลึกไปนับหมื่นปีแล้ว สืบทอดมาถึงเจ้า…ใช่แล้ว ตอนนี้เจ้าอายุได้กี่ปี?”

“ยี่สิบสามย่างยี่สิบสี่” มู่ชิงเกอเอ่ยตอบ

“อะไรนะ! เจ้ายังไม่ถึงยี่สิบสี่เลยงั้นหรือ!” มู่สวินตะลึง

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้าดูแล้วแก่มากเลยงั้นหรือ?”

“ไม่ใช่! ข้าเพียงแต่คิดว่าอย่างน้อยเจ้าก็น่าจะมีอายุได้ร้อยปีแล้ว ในตอนนี้บนแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารอายุได้พันปีหรือหมื่นปีนั้นมีเยอะมาก” มู่สวินอธิบาย

“ข้าไม่ได้มาจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ข้ามาจากหลินชวน” มู่ชิงเกออธิบายไปประโยคหนึ่ง

“หลินชวน…หลินชวน…” มู่สวินพึมพำไปมาหลายรอบ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็กลับไปที่ปัญหาก่อนหน้านี้“ตอนนี้เจ้าได้รับเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางไปแล้ว แต่ว่าหากสายเลือดของเทพแห่งสงครามยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เจ้าก็ยังไม่สามารถฝึกฝนได้ตามปกติได้ ดังนั้น เรื่องที่ข้าบอกว่าจะทำให้เจ้าตื่นตะลึงก็คือ ข้าจะปลุกสายเลือดเทพแห่งสงครามให้เจ้า”

มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง นางไม่คิดเลยว่าภายในนี้ยังมีความเกี่ยวข้องอีกชั้นหนึ่ง ที่แท้ที่นางไม่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาเทวะได้ตามปกติมาโดยตลอดก็เป็นเพราะว่า สายเลือดของตระกูลมู่ยังไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นนี่เอง

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้ากลายเป็นสีขาวว่างเปล่า บนผิวก็ดูเหมือนจะมีใบมีดนั้าแข็งแทงผ่าน

รอจนทุกอย่างสงบลงแล้ว นางก็เงยหน้าขึ้นแล้วก็มอง เห็นว่าภายในถํ้านั้นมีบ่อเลือดเพิ่มขึ้นมา ดูคล้ายกันกับของตระกูลซางเพียงแต่ว่าไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดนั้น นํ้าในบ่อก็เข้มกว่าหน่อย

เงาร่างของมู่สวินปรากฎอยู่บนบ่อเลือด เขาลอยอยู่กลางอากาศมองมู่ชิงเกอด้วยท่าทีที่เศร้าใจแล้วเอ่ยว่า “บ่อเลือดสืบทอดนี้เป็นคนที่เหลือของตระกูลมู่รวบรวม ขึ้นมา ประมุขตระกูลใช้พละกำลังครั้งใหญ่เพื่อเคลื่อนย้ายมันมาที่นี่ และก็รวมเข้ากับมัน ร่างเนื้อของข้าก็อยู่ภายในผ่านการหลอมรวมมานับหมื่นปี ความเข้มข้นภายในนั้นเพียงพอให้คนหนึ่งคนได้ดูดซับเพื่อปลุกสายเลือดในร่างกายให้ตื่นแล้วก็ขัดเกลาให้ถึงขั้นบริสุทธิ์”

มู่ชิงเกอรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยมองไปที่บ่อเลือดตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนว่าจะเกิดภาพเหล่าทหารของตระกูลมู่ที่กระโดดลงไปในบ่อทีละคนทีละคน

“มู่ชิงเกอ เจ้ายังรออันใดอยู่!” ทันใดนั้นเลียงตะคอกของมู่สวินก็พลันดังสะท้อนมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!