Skip to content

พลิกปฐพี 327

ตอนที่ 327

เจ้าติดหนี้พัดข้าอยู่หนึ่งเล่ม

“อิ๋งเจ๋อ!”

ได้ยินแต่เสียงไม่เห็นตัวคน อิ๋งเจ๋อเงยหน้าขึ้นมา ก็รู้สึกว่ามีลมสายหนึ่งปะทะหน้า

รอลมหยุดแล้ว จีเหยาฮั่วก็ปรากฎตัวอยู่ในห้องของเขา อิ๋งเจ๋อมีสีหน้ามืดครึ้มลง เอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ไม่สบอารมณ์ว่า “จีเหยาฮั่ว ที่นี่ไม่ใช่ตระกูลจีของเจ้า อยากจะ มาก็ต้องแจ้งก่อน”

จีเหยาฮั่วยิ้มกว้าง ไม่ได้สนใจกับการตักเตือนของอิ๋งเจ๋อ “ที่ข้ามาหาเจ้าที่นี่ก็เพราะคิดจะถามเจ้าถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่เล่าลือไปทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลาง เจ้าได้ยินข่าวหรือยัง?”

พูดแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจจะฟังคำตอบของอิ๋งเจ๋อ พูดเองว่า “เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? เรื่องนี้เกิดเหตุในภาคตะวันตกของพวกเจ้า ประมุขน้อยตระกูลอิ๋งเช่นเจ้าจะไม่สนใจได้อย่างไร? คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าเด็กนั้นจะเป็นคนของตระกูลซาง ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว มารดาของเขาก็คือซางหลันรั่วแห่งตระกูลซาง นั่นก็หมายถึงว่า เขาเป็นพี่ชายของสาวงามอันดับหนึ่งแห่งภาคตะวันตกของพวกเจ้า ซางเสวี่ยอู่”

“เพียงแต่ว่า ในเมื่อเป็นหลานนอกแซ่ของตระกูลซาง เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน? ดูเหมือนกับโผล่ออกมาอย่างกะทันหัน แต่ว่า สามีของซางหลันรั่วก็ลึกลับมาก ไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร ภายในโลกแห่งยุคกลางดูเหมือนว่าจะไม่มีตระกูลที่มีชื่อเสียงแซ่มู่เลย!” จีเหยาฮั่วพูดจีบปากจีบคอไป แล้วก็ลูบคางของตนเองครุ่นคิดขึ้นมา

ครู่หนึ่ง นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาก็สว่างวาบ มองอิ๋งเจ๋อที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา “หากว่าข้าจำไม่ผิด ตอนแรกอารองของพวกเจ้ากับซางหลันรั่วผู้นั้นเคยหมั้นกันมิใช่หรือ?”

จากนั้นเขาก็ยกคิ้วขึ้นแสดงอาการกระตือรือร้นอยากจะรู้เรื่องราว

ในที่สุดอิ๋งเจ๋อก็มองไปที่เขา เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เรื่องนี้จบไปสิบกว่าปีก่อนแล้ว”

จีเหยาฮั่วเบ้ปาก กลอกตาวนไปมา แล้วก็เอ่ยกับเขาว่า “ไม่สู้พวกเราไปที่เมืองฝูซาดูเป็นอย่างไร? ตระกูลซางนั้นหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้ เกรงว่าอาจจะรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็จะได้ถือโอกาสไปพบมู่ชิงเกอ ดูสิว่าเป็นเขาหรือไม่ที่หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมา”

“เจ้าว่างมากงั้นหรือ?” อิ๋งเจ๋อเหลือบตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง

ไหนเลยจะรู้ว่า จีเหยาฮั่วจะพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ใช่แล้วๆ ว่างมากจริงๆ!”

“มีเวลาก็ควรจะเอาไปฝึกปรือพลัง เจ้าลืมเรื่องที่เมื่อก่อนถูกทำร้ายจนดูไม่ได้ไปแล้วงั้นหรือ?” อิ๋งเจ๋อยกเอาความเจ็บปวดของเขาออกมาพูด

แต่จีเหยาฮั่วกลับไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด สะบัดๆ แขนเสื้อ “แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการต่อสู้ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจมาก แล้วอีกอย่าง ฝึกปรือพลังก็จำเป็นต้องคู่กันระหว่างการฝึกและพักผ่อน ไม่สามารถเอาแต่ฝึกปรือพลังอย่างยากลำบากแต่อย่างเดียว เพราะอาจจะเกิดธาตุไฟเข้าแทรกได้ง่าย”

“เหตุผลของเจ้ามีไม่น้อยเลยทีเดียว” อิ๋งเจ๋อจัดการเอกสารงานในมือ แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

จีเหยาฮั่วรับไม่ได้กับนิสัยอันเย็นชาของเขา แย่งเอกสารจากมือของเขามา แล้วก็ร่ายต่อ “หรือว่าเจ้าไม่สงสัยว่าตระกูลซางหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้จริงหรือไม่?”

แต่อิ๋งเจ๋อกลับเอ่ยตอบด้วยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อตระกูลซางกล้าปล่อยข่าวเช่นนั้นออกมา ก็ไม่สามารถเป็นเท็จได้”

พูดโกหกงั้นหรือ? เพียงแค่ตระกูลซางตระกูลเดียว ยังไม่มีความกล้าที่จะรองรับความโกรธของทั้งโลกแห่งยุคกลาง

ถ้าหากว่านี่เป็นเพียงแค่คำโกหกล่ะก็ เกรงว่าตระกูลซาง คงจะถูกตระกูลต่างๆ ทั่วทั้งโลกแห่งยุคกลางกดจนไม่มีแม้แต่โอกาสได้หายใจแล้ว

“เช่นนั้นเจ้าไม่สงสัยงั้นหรือว่ายุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพนั้น ใช่มู่ชิงเกอหลอมออกมาจริงไหม?” จีเหยาฮั่วซักถามต่อ

ในที่สุดอิ๋งเจ๋อก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังเขา “เจ้าตัดสินใจแน่แล้วว่าจะไปสักครั้งใช่หรือไม่?”

จีเหยาฮั่วหัวเราะขึ้นมา “เกรงว่าคนที่คิดจะไปเมืองฝูซา ในตอนนี้นั้นไม่ได้มีเพียงแต่ข้าแค่คนเดียวกระมัง ไม่กี่วันมานี้สายสืบของตระกูลต่างๆ ก็ล้วนแต่มุ่งไปเมืองฝูซาทั้งหมด”

อิ๋งเจ๋อเงียบลงมา นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด

ในที่สุดเขาก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่า เหตุใดยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพกำเนิดแล้ว ตระกูลซางกลับแค่ประกาศข่าว ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ต่ออีก”

“ใช่! หากพูดตามธรรมเนียม ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพกำเนิด ถึงอย่างไรตระกูลซางก็ต้องประกาศไปทั่วโลก จัดงานเลี้ยงชื่นชมผลงาน เพื่อยกระดับตำแหน่งของ ตระกูล” จีเหยาฮั่วเออออตาม

ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับปัญหานี้นั้น เขาไม่ได้ใส่ใจมาก เพียงแต่เพื่อให้อิ๋งเจ๋อเดินทางไปกับเขา ดังนั้นถึงได้พูดเออออไปกับเขา

อิ๋งเจ๋อเงียบลง

ข่าวว่ายุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพกำเนิดถูกปล่อยออกมา หลายๆ ตระกูลต่างพากันรอเทียบเชิญจากตระกูลซาง แต่ตระกูลซางกลับไม่มีความเคลื่อนไหว ซึ่งนี่ชวนให้คนเกิดความสงสัยจริงๆ

“พรุ่งนี้ออกเดินทาง” หลังจากอิ๋งเจ๋อเอาเอกสารงานที่ต้องจัดการในมือของจีเหยาฮั่วกลับมาแล้วก็เอ่ยเสียงเรียบๆ ออกไป

ช่วงเวลานี้ภายในเมืองฝูซานั้นไม่เงียบสงบเลย สายสืบของตระกูลต่างๆ พากันเข้ามา ทำให้เมืองฝูซาเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นมา

ตระกูลซางประกาศข่าวเรื่องยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพกำเนิดออกไป แต่กลับชักช้าไม่ยอมดำเนินการต่อไป นี่ทำให้ตระกูลต่างๆ พากันสงสัย ว่ามีหรือไม่มียุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพกันแน่

เทียบกับความครึกครื้นของเมืองฝูซาแล้ว ภายในตระกูลซางกลับเงียบสงบไปมาก

บางทีเป็นเพราะได้รับการกระตุ้นจากมู่ชิงเกอ ทำให้ไม่กี่วันมานี้เหล่าบรรดาศิษย์ของตระกูลซางต่างพากันตั้งใจฝึกหลอมศาสตรา ภายในตระกูลแทบจะมองไม่เห็นศิษย์รุ่นเยาว์เลย

มู่ชิงเกออยู่ในเรือนหลังเล็กของตนเอง นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกใต้ต้นไม้ ครุ่นคิดถึงเรื่องราวของตนเอง

ได้เคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเรื่องราวได้สิ้นสุดลง

กลับกัน ยังมีเรื่องราวอีกมากมายรอให้นางไปจัดการ

อย่างแรกที่นางต้องคิดก็คือจะฝึกฝนตามวิธีฝึกฝนของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางได้อย่างไรดี

นางจะต้องเพิ่มพูนระดับพลังทะลวงระดับอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ฆ่ามู่เทียนอิน แล้วก็ยังต้องตามหาเจียงหลี!

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเยียบเย็นขึ้นมา ไอสังหารบนร่างกายเข้มข้นขึ้นหลายส่วน

เสวี่ยหยาถือนํ้าชาเดินเข้ามาก็รู้สึกได้ถึงไอสังหาร กระจายออกมาจากร่างของมู่ชิงเกอในทันใด จึงหยุดฝีเท้าลง รอจนไอสังหารกระจายออกไปแล้ว นางถึงได้เดินเข้ามา วางชาร้อนในมือลงเบาๆ

“นายน้อย เชิญดื่มชา” เสวี่ยหยาเอ่ยเสียงเบา

นางเพิ่งจะพูดจบ เงาร่างของคนสี่คนก็เดินมาที่นาง ที่มานั้นมีราชครู มู่เฉิน มู่เผิงแล้วก็โห่ว ไม่กี่วันมานี้นางไม่มีเวลาว่างไปจัดการโห่ว คิดไม่ถึงว่าเขากลับไปสนิทกับพวกมู่เฉิน มู่เผิงสองคน บางทีอาจเป็นเพราะได้ผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมาด้วยกัน ถึงได้สนิทกันขึ้นมาหน่อย

“เด็กน้อย ให้ข้ากลับไป” เพียงแค่โห่วมองเห็นมู่ชิงเกอ ก็พูดไปตรงๆ

อาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขายังไม่ทันได้ฟื้นฟูดี การฝึกปรือด้านนอกไม่สู้การฝึกปรืออยู่ในช่องว่างของมู่ชิงเกอ ก่อนหน้านี้อารมณ์ของมู่ชิงเกอไม่ดี เขาจึงไม่พูด ตอนนี้พอดีได้เอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอพยักหน้า ยกมือขึ้นสะบัด จากนั้นโห่วก็หายไปจากตรงหน้าของทุกคน

ฉากนี้ไม่ได้ทำให้พวกเขาแปลกใจอีก

โดยเฉพาะมู่เฉินและมู่เผิงสองคน พวกเขาเคยเข้าไปในช่องว่างของมู่ชิงเกอ แน่นอนว่าเข้าใจดีทุกอย่าง ความแปลกใจในตอนนั้นได้จางหายไปหลังจากผ่านความเป็นความตายและการจากลามา ตอนนี้พวกเขาจึงไม่คิดที่จะถามอะไรมากอีก

อีกอย่าง มู่ชิงเกอยิ่งมีไพ่ตายมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งวางใจมากขึ้นเท่านั้น

“ราชครู ภารกิจต่อไปของเจ้า ก็คือต้องคำนวณหาตำแหน่งของเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง ในตอนนั้นเจ้าเป็นหนึ่งในคนที่เคยเห็นมันมาก่อน เจ้ากลับไปคิดทบทวน อย่างน้อยก็ต้องมอบร่องรอยที่เป็นไปได้ออกมาบางส่วน” มู่ชิงเกอสั่งการราชครู

หากว่าไม่มีร่องรอยอะไรเลยสักอย่าง การหาเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างก็คงเหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร เพียงแต่ต้องมีร่องรอยบ้างเท่านั้น มีทิศทางที่จะไปตามหาถึงจะดี

“ขอรับ” ราชครูโค้งกายเอ่ยออกมา

จากนั้น มู่ชิงเกอก็ค่อยมองไปยังมู่เฉินและมู่เผิงแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าเคยพูดว่า ในโลกแห่งยุคกลางนั้นยังมีตระกูลมู่อีก”

มู่เฉินและมู่เผิงไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ดีๆ มู่ชิงเกอถึงได้ถามเช่นนี้ขึ้นมา แต่ก็ยังพยักหน้า

“ดีมาก” มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดกับทั้งสองคนว่า “ตอนนี้ข้าต้องการให้พวกเจ้าไปตระกูลมูนั่นสักครั้ง หาคนที่สามารถตัดสินใจเรื่องราวได้บอกกับพวกเขาว่า หลังจากนี้อีกสองเดือน ข้าขอเชิญให้พวกเขามาพบกันที่เมืองฝูซาเพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องของตระกูลมู่”

มู่เฉินกับมู่เผิงตกตะลึง ในใจลอบคาดเดาได้ถึงความคิดของมู่ชิงเกอ

ทั้งสองคนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็คำนับ “ขอรับนายน้อย”

แต่ก่อนพวกเขายังเป็นกังวล ว่ามู่ชิงเกอได้รับการโจมตีอย่างรุนแรงภายในหานชุ่น จะต้องพักสงบจิตสงบใจไปช่วงระยะหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่า เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน นางก็เริ่มที่จะกลับคืนสู่ปกติ เริ่มการเคลื่อนไหวถัดไป

จัดการเรื่องราวทั้งหมดเสร็จแล้ว ทุกคนก็ถอยไปทางใครทางมัน

ตอนที่ซางซุ่นหวางเข้ามานั้น ก็มองเห็นพวกเขากำลังจากไป

“เกอเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้า” ซางซุ่นหวางมาถึงข้างกายของมู่ชิงเกอ แล้วก็นั่งลง พูดกับนางด้วยสีหน้าที่ดูยินดี

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น

หลังจากเสวี่ยหยารินนํ้าชาให้แล้วก็ถอยออกไป

ซางซุ่นหวางหัวเราะก่อนจะหยอกเย้าว่า “ซือมั่วจากไปสองวันแล้วใช่ไหม”

มู่ชิงเกอพยักหน้า

“อืม” ซางซุ่นหวางพยักหน้า ไม่ได้ซักไซ้ปัญหานี้ต่อ เขาพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ตอนนี้โลกภายนอกล้วนแต่รับรู้แล้วว่าตระกูลซางหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้ ตามธรรมเนียมแล้ว พวกเราจะต้องจัดงานเลี้ยงชื่นชมผลงานขึ้นมา แล้วก็เชิญบรรดาตระกูลต่างๆ มารวมชื่นชม แต่ว่า เพราะเป็นเจ้าที่หลอมออกมาได้ ทั้งยังเป็นอาวุธของเจ้า ดังนั้นข้าจึงต้องมาถามถึงความคิดเห็นของเจ้าก่อน”

วันนั้นเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนั้น แน่นอนว่า ตระกูลซางต้องให้คำอธิบายแก่โลกภายนอก แต่เรื่องงานเลี้ยงชื่นชมผลงาน…

“งานเลี้ยงชื่นชมผลงาน…” มู่ชิงเกอทวนคำไปรอบหนึ่ง ภายในนัยน์ตาสดใสฉายแววครุ่นคิด

ครู่หนึ่ง นางก็เงยหน้าขึ้น เอ่ยกับซางซุ่นหวางว่า “ได้ แต่ว่าข้าจะต้องเป็นคนเลือกสถานที่เอง”

“ได้ เจ้าว่าจะจัดอยู่ที่ไหน?” ซางซุ่นหวางถาม

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอสว่างไหววาววาบขึ้นมาเล็กน้อยตอบไปว่า “ลั่วซิงเฉิง”

ในเมืองฝูซา จีเหยาฮั่วที่มีผ้าปิดบนใบหน้า เอ่ยกับอิ๋งเจ๋อที่อยู่ด้านข้างว่า “ลมทะเลทรายของเมืองฝูซานี้ช่างสมคำรํ่าลือจริงๆ!”

อิ๋งเจ๋อไม่ได้สนใจเขา เพียงแต่ขี่สัตว์อสูรวิญญาณค่อยๆ มุ่งเข้าไปในเมือง

“พวกเราจะไปที่ตระกูลซางเลยไหม?” จีเหยาฮั่วเอ่ยถาม

อิ๋งเจ๋อพูดเรียบๆ ว่า “ครั้งนี้พวกเรามาเป็นการส่วนตัว ต้องส่งเทียบขอเยี่ยมเยียนเข้าไปก่อน”

และก็หมายถึงว่า ที่พวกเขามาในครั้งนี้ไม่ได้มาในนามของตระกูล

“เช่นนั้นก็รีบไปตระกูลซางเถอะ ไปส่งเทียบขอเยี่ยมเยียน” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างร้อนใจ

ปฏิกิริยาของเขา ทำให้อิ๋งเจ๋อแปลกใจขึ้นมา หันไปมองเขาแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ารีบร้อนเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?”

สีหน้าของจีเหยาฮั่วแปลกประหลาดไปเล็กน้อย แล้วถึงได้ตอบตามความจริงว่า “อาวุธของข้าถูกมู่ชิงเกอใช้หมัดเดียวต่อยพังไปเมื่อครั้งก่อน”

“เจ้าคิดจะไปหาเขา เพื่อให้เขาหลอมอาวุธให้เจ้างั้นหรือ?” อิ๋งเจ๋อ เข้าใจสาเหตุที่จี เหยาฮั่วเร่งรีบเช่นนี้แล้ว

จีเหยาฮั่วหัวเราะขึ้นมา “ถ้าหากสามารถมียุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพเป็นอาวุธได้ข้าก็มีความมั่นใจจะไปประลองกับเว่ยมั่วลี่ศึกหนึ่ง! อาศัยช่วงเวลาที่ยังไม่มีคนมาขอให้เขาหลอมอาวุธให้มากเท่าไหร่ ข้าต้องรีบลงมือก่อนใช่หรือไม่?”

“แต่ข้าจำได้ว่า เขาเคยพูดว่าจะไม่หลอมอาวุธให้เจ้า” อิ๋งเจ๋อเอ่ยเตือนอย่างหวังดี

นัยน์ตาของจีเหยาฮั่วฉายแววกระดากใจ พึมพำว่า “หากรู้ก่อนว่าเขาสามารถหลอมอาวุธได้อีกทั้งยังสามารถหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ เวลานั้นข้าก็จะไม่ ได้ยั่วโมโหเขา เพียงแต่จะดีต่อเขา ประจบเขา”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังจะไปอีกหรือ?” อิ๋งเจ๋อเอ่ย

จีเหยาฮั่วกลับอ้าปากพูดอย่างมั่นใจว่า “เรื่องนั้นข้าไม่สนใจ เขาติดหนี้พัดข้าอยู่หนึ่งเล่ม!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!