ตอนที่ 328
น้องมู่ ช่วยหลอมยุทธภัณฑ์ให้ที!
“นายน้อย ด้านหน้ามีเทียบขอเข้าเยี่ยมเยียนส่งเข้ามาสองฉบับ บอกว่าให้มามอบให้แก่ท่าน” เสวี่ยหยาถือเทียบขอเข้าเยี่ยมเยียนสองฉบับเดินเข้ามา ยื่นอยู่ด้าน นอกประตูห้องของมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอกำลังนั่งสมาธิจะฝึกปรือพลัง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก นางหยุดการฝึกปรือพลัง มองไปยังประตู
“เข้ามา” นางเอ่ยปาก
ประตูห้องที่ปิดอยู่ถูกเปิดออก เสวี่ยหยาที่สวมชุดสีเรียบๆ เดินเข้ามา ในมือของนางมีเทียบขอเข้าเยี่ยมเยียนสองฉบับ
นางย่อกายคำนับมู่ชิงเกอ แล้วถึงได้ยื่นเทียบขอเข้าเยี่ยมเยียนไปตรงหน้าของมู่ชิงเกอ
นัยน์ตาอันสดใสของมู่ชิงเกอกวาดมองไปบนเทียบขอเข้าเยี่ยมเยียน แล้วถึงได้รับเอาเทียบขอเข้าเยี่ยมเยียนมาเปิดดู ชื่อบนนั้น ทำให้นางเลิกคิ้วอย่างรู้สึกเหนือ ความคาดหมาย
“อิ๋งเจ๋อ จีเหยาฮั่ว?” ถึงอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ข่าวคราวยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพกำเนิดถูกเล่าลือออกไปนั้น ที่มาหาก่อนใคร อีกทั้งยังมาถึงนางที่นี่ จะ เป็นสองคนนี้ มุมปากเกิดรอยยิ้มขี้เล่นออกมา วางเทียบขอเข้าเยี่ยมเยียนสองฉบับลง มู่ชิงเกอเงยหน้ามองเสวี่ยหยา “พาพวกเขาเข้ามา”
ก่อนที่เสวี่ยหยาจะถอยออกไป นางก็เสริมไปอีกหนึ่งประโยคว่า “ให้โย่วเหอจัดเตรียมที่ทางหน่อย จัดตรงนอกตัวเรือนใต้ต้นไม้”
นางคิดจะรับแขกกลางเรือน
“เจ้าค่ะ นายน้อย” เสวี่ยหยาโค้งกายออกไปจัดการ ตามที่มู่ชิงเกอสั่งทุกอย่าง
ไม่นานเสวี่ยหยาก็พาจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อสองคนเดินเข้ามายังเรือนหลังเล็กที่พักชั่วคราวของมู่ชิงเกอ
สังเกตบรรยากาศซ้ายขวา จากนั้นจีเหยาฮั่วก็ขยับปากพูด “จะพูดอย่างไรนายน้อยของพวกเจ้าก็เป็นคนที่หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้ แต่กลับต้องพักอยู่ในเรือนหลังเล็กที่อยู่ห่างไกลในตระกูลซางเช่นนี้งั้นหรือ?”
ในความคิดของเขา อย่างน้อยมู่ชิงเกอก็จะต้องพักอาศัยอยู่ในห้องโถงที่ดูหรูหรา ถึงจะเหมาะสมกับสถานะอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพของเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้วเสวี่ยหยาก็เพียงยิ้มแล้วตอบออกมาหนึ่งประโยค “นายน้อยของพวกเราชอบความเงียบสงบ สถานที่แห่งนี้เขาก็เป็นคนเลือกเอง”
จีเหยาฮั่วขบริมฝีปาก พึมพำออกมา “คนแปลกประหลาด นิสัยก็แปลกประหลาด”
อิ๋งเจ๋อกลับมองไปยังเขา แล้วก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจ้ากำลังพูดถึงตัวเองอย่างนั้นหรือ?”
จีเหยาฮั่วรีบยิ้มขึ้นมา เอ่ยอย่างได้ใจว่า “ตัวข้านั้นมีรสนิยม!”
ระหว่างที่พูด ทั้งสามคนก็ได้มาถึงนอกตัวเรือนแล้ว มองเห็นประตูเรือนที่ซ่อนอยู่ในภูเขาป่าไม้จำลอง
“ที่นี่เงียบสงบจริงๆ สายตาของนายน้อยพวกเจ้าไม่เลวเลยที่เดียว” อิ๋งเจ๋อมองไปรอบด้าน แล้วก็เอ่ยขึ้นกับเสวี่ยหยา
เสวี่ยหยายิ้ม ไม่ได้พูดมาก
นำทั้งสองคนเข้ามาในเรือนหลังเล็ก ผ่านเส้นทางคดเคี้ยว เมื่อสายตาเห็นได้ชัดเจนแล้ว ทั้งสามคนก็มองเห็นเงาร่างสีแดงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ใต้ต้นไม้ ราวกับหมอกควันและราวกับดวงอาทิตย์สว่างไสวเสียจนทำให้คนไม่เต็มใจที่จะละสายตา
จีเหยาฮั่วกับอิ๋งเจ๋อล้วนแต่ชะงักไป เหตุใดพวกเขาถึงรู้สึกว่า เพิ่งจะไม่เจอกันเพียงไม่นาน แต่ดูเหมือนว่ามู่ชิงเกอจะงดงามขึ้นหลายส่วน?
“เภทภัย! ปีศาจแท้ๆ!” จีเหยาฮั่วเอ่ยเสียงเบา
ชายที่งดงามคนหนึ่ง เผชิญหน้ากับชายอีกคนที่งดงามยิ่งกว่า ในสถานการณ์ปกติก็จะไม่อิจฉาแต่เป็นถอนหายใจ
“ประมุขน้อยอิ๋ง ประมุขน้อยจีมายังเรือนของข้าอย่างกะทันหันเช่นนี้ช่างทำให้ที่นี่ของข้าสว่างไสวขึ้นมาจริงๆ!” มู่ชิงเกอยิ้มแล้วก็เอ่ยปากขึ้นก่อน
เมื่อนางพูด ทั้งสองคนก็ได้สติขึ้นมาในทันที อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้ว ในใจนึกสงสัยเรื่องที่ตนเองเสียกริยาไป
จีเหยาฮั่วกลับไม่ได้รู้สึกกระดากใจสักเท่าไหร่ ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่ามู่ชิงเกอหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้พวกเรารู้สึกสนใจคิดจะมาดูว่าใช่เจ้าหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้พบแล้วจะเป็นเจ้าจริงๆ”
“คงไม่ใช่ว่าประมุขน้อยจีคิดว่าเป็นคนที่มีชื่อแซ่เดียวกันหรอกกระมัง?” มู่ชิงเกอยิ้มหยอกเย้า
สำหรับอิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วแล้ว นางก็ไม่ได้มีความทรงจำที่เลวร้ายด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นการไม่ตีกันไม่รู้จักกัน แต่ก็ไม่ได้ผูกใจเจ็บแค้นแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม นางกลับรู้สึกว่า ทั้งสองคนนี้ไม่ถือว่าเลวร้าย
“แต่ก่อนคิดว่าเป็นเช่นนั้น” จีเหยาฮั่วยิ้มกว้างเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอผายมือ ชี้ไปที่นํ้าชาและอาหารว่างที่จัดไว้บนโต๊ะ แล้วเอ่ยเชิญทั้งสองคน “เชิญนั่งเถอะ”
อิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วนั่งลง รวมกับมู่ชิงเกอล้อมวงกันสามคน
โย่วเหอกับเสวี่ยหยาก้าวออกมา หลังจากรินนํ้าชาให้ทุกคนแล้ว ก็เดินออกไปคอยที่นอกประตูเรือน ซึ่งสามารถเตรียมพร้อมสำหรับรับคำสั่งได้ตลอดเวลา ทั้งยังสามารถป้องกันไม่ให้มีคนเข้ามารบกวนการสนทนาด้านในได้อีกด้วย
หลังจากจีเหยาฮั่วพิจารณามู่ชิงเกอแล้ว ก็ยังพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ก่อนหน้านี้เห็นเจ้าออกหน้าแทนซางเสวี่ยอู่ ยังคิดว่าเจ้ารักนาง แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นพี่ชาย”
พี่ชาย?
ได้ยินคำเรียกขานนี้แล้ว มุมปากของมู่ชิงเกอก็กระตุกเล็กน้อยอย่างไร้ร่องรอย “อีกอย่าง เจ้ากลับยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตรา ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้!” จีเหยาฮั่วเอ่ยออกมาอีก
หากพูดว่าแต่ก่อนเขาสนใจในตัวมู่ชิงเกอ ก็มาจากที่เขาสามารถรับกระบวนท่าจากอิ๋งเจ๋อได้สามกระบวนท่า เช่นนั้นตอนนี้ ความสนใจในตัวมู่ชิงเกอของเขากลับยิ่งลึกลํ้าขึ้นไปอีก เพราะว่าเขาเป็นอาจารย์หลอมศาสตรา แล้วยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายในโลกแห่งยุคกลาง เป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ไม่มีอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพปรากฎออกมา ไม่แน่ เจ้าก็คืออาจารย์หลอมศาสตรา ระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวของโลกแห่งยุคกลาง!” จีเหยาฮั่วพูดมาถึงตอนนี้ นัยน์ตาก็สว่างไสวขึ้นมา
เขาชื่นชมถึงขนาดนี้ ทำให้มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น มองไปทางเขาแล้วเอ่ยว่า “ประมุขน้อยจีมาที่นี่ คงไม่ได้เพียงแต่มาดูความคึกคักใช่หรือไม่”
จีเหยาฮั่วยิ้มเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าพัดหยกของข้าถูกเจ้าทำลายไป”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ยกจอกชาที่อยู่ตรงหน้าของตนเองแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ใช่ แล้วเป็นอย่างไร?”
“เพียงแค่เจ้ายอมรับก็พอแล้ว!” จีเหยาฮั่วย้ายเก้าอี้ไปใกล้มู่ชิงเกออีกหน่อย เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่สู้เจ้าช่วยข้าหลอมขึ้นสักอันเถอะได้ไหม?”
มู่ชิงเกอมองเขาอย่างนึกสนุก “ประมุขน้อยจีคงไม่ใช่ว่าลืมไปแล้วหรอกนะว่าข้าเคยพูดว่าหากข้าเป็นคนของตระกูลซางก็จะไม่หลอมศาสตราให้เจ้าน่ะ”
มุมปากของจีเหยาฮั่วกระตุก ในใจรู้สึกเสียใจย้อนหลัง เขาเอ่ยอย่างหน้าด้านว่า “ในตอนนั้นไม่รู้ว่าเจ้ามีความสามารถนี่ อีกอย่าง กระบวนท่านั้นข้าก็แพ้ไปแล้ว ต่อมา ยังโดนใต้เท้าคนหนึ่งโผล่มาแก้แค้นให้เจ้าอีก บุญคุณความแค้นระหว่างเราก็ถือว่าชำระล้างไปแล้ว เอาอย่างนี้เถอะ เจ้าช่วยข้าหลอมอาวุธ ข้าจะตอบแทนเจ้าเป็นอย่างไร?”
มู่ชิงเกอยิ้มไม่พูดจา ยกจอกชาส่งไปยังริมฝีปากแล้วจิบไปหนึ่งคำ
เห็นท่าทีของนางแล้ว จีเหยาฮั่วก็รีบเอ่ยว่า “อย่างไร? ค่าตอบแทนแล้วแต่เจ้าจะเรียก เพียงแค่เจ้าพยักหน้าก็พอ”
เขาร้อนใจเช่นนี้ก็เป็นเพราะมู่ชิงเกอเป็นอาจารย์หลอมศาสตราเพียงคนเดียวของโลกแห่งยุคกลาง หากว่าเป็นคนอื่นมาหลอมอาวุธให้เขา ยังต้องดูว่าเขาจะยินยอม
หรือไม่
มู่ชิงเกอวางจอกชา ค่อยๆ ส่ายหน้า จีเหยาฮั่วรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่ยอมแพ้ “เพราะเหตุใดเล่า หรือว่าเจ้าต้องการให้ข้าประกาศขอโทษเจ้าไปทั้งโลก เจ้าถึงจะยอมวางความความเข้าใจผิดครั้งก่อน?”
มู่ชิงเกอมองจีเหยาฮั่ว
เขาคนนี้มีนิสัยเอาแต่ใจตนเอง ดูเหมือนล่องลอย แต่กลับมีความภาคภูมิใจของตนเอง นอกจากที่ชอบทำอะไรไม่สนใจผลลัพธ์แล้ว ก็ถือว่าไม่มีอะไรที่ทำให้คน
รู้สึกรังเกียจอีก หากว่าอาศัยโอกาสนี้เกี่ยวสัมพันธ์กับตระกูลจี สำหรับมู่ชิงเกอแล้วก็นับเป็นเรื่องที่ดี
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอม เพียงแต่ประมุขน้อยจีรู้หรือไม่ว่า หากจะหลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพออกมาได้นั้น จำเป็นต้องมีจิตวิญญาณแห่งอาวุธด้วย” มู่ชิงเกอเอ่ย
“จิตวิญญาณแห่งอาวุธ? นั้นคืออะไร?” จีเหยาฮั่วมึนงง
มู่ชิงเกอยิ้ม เอ่ยว่า “จิตวิญญาณแห่งอาวุธก็คือ วิญญาณของอาวุธ มีวิญญาณถึงมีจิต อีกอย่าง จิตวิญญาณแห่งอาวุธยังต้องเข้ากันกับอาวุธด้วย นี่ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ”
จีเหยาฮั่วขมวดคิ้วฟังจนจบ ในใจก็เข้าใจแล้วว่ายุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพไม่ได้หลอมขึ้นมาง่ายๆ “นั่นก็ใช่ หากว่ายุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพหลอมขึ้นได้ง่ายๆ ก็คงจะไม่ใช้เวลาเป็นหลายพันปีถึงได้มีเจ้าที่เป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพออกมาแค่เพียงคนเดียว”
จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มเอ่ยว่า “แต่ทว่า ข้าก็ไม่ใช่คนช่างเลือก หลอมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เจ้าหลอมพัดหยกระดับเทวะชั้นยอดให้ข้าอันหนึ่งเป็นอย่างไร? เพียงแค่เจ้าตกลง ต้องการวัตถุดิบอะไรข้าก็จะจัดการให้ นับแต่นี้ต่อไปเจ้าก็คือพี่น้องของข้าจีเหยาฮั่ว ใครกล้ารังแกเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าจัดการมันเอง!”
ดวงตาของมู่ชิงเกอหรี่เล็กลงมา “ใช้พัดหยกระดับเทวะชั้นยอด แลกกับพี่น้องอย่างประมุขน้อยจี ดูแล้วการค้าครั้งนี้หากไม่ทำ ฟ้าดินก็คงยากที่จะให้อภัย”
“นั่นสิ นั่นสิ! ไหนเลยจะแค่ฟ้าดินไม่ให้อภัย เห็นได้ชัดว่าเป็นการทำร้ายฟ้าดิน!” จีเหยาฮั่วเห็นมู่ชิงเกอตกลง ก็รีบคว้าเอาโอกาสปีนขึ้นไปในทันที
มู่ชิงเกอยิ้ม “เช่นนี้แล้ว รอข้าคิดชัดเจนดีแล้วว่าจะหลอมพัดหยกอย่างไร ค่อยคุยกับประมุขน้อยจีอีกครั้ง”
“ดี! เจ้าก็อย่าได้เกรงใจอีกเลย ข้าโตกว่าเจ้า ต่อไปเรียกข้าว่าพี่ใหญ่จี ข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องมู่เป็นอย่างไร?” จีเหยาฮั่วเอ่ยยิ้มๆ ออกมา
น้องมู่? สุสาน*[1]!
มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก เอ่ยกับเขาว่า “เรียกข้าว่ามู่ชิงเกอเหมือนเดิมเถอะ”
“ตามใจเจ้า ตามใจเจ้า” จีเหยาฮั่วพูดอย่างไม่ใส่ใจ เป้าหมายสำเร็จแล้ว ตอนนี้เขาผ่อนคลายมาก
เวลานี้ มู่ชิงเกอถึงได้มองไปยังอิ๋งเจ๋อที่ไม่พูดอะไรสักคำ พูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่จีมาเพื่อขอให้ข้าหลอมอาวุธให้ เช่นนั้นประมุขน้อยอิ๋งเล่า?”
อิ๋งเจ๋อเงยนัยน์ตาอันลึกลํ้าขึ้นมองเขา ค่อยๆ เอ่ยว่า “ข้ามาก็เพราะอยากจะดูว่าเหตุใดตระกูลซางถึงยังไม่มีความเคลื่อนไหว”
“ไม่ใช่ไม่มีความเคลื่อนไหว เพียงแค่สถานที่จัดงานเลี้ยงชื่นชมผลงานไม่ได้อยู่ในเมืองฝูซา” มู่ชิงเกอยิ้มแล้ว เอ่ยออกมา
ดูแล้วซางซุ่นหวางพูดไม่ผิด ตระกูลต่างๆ ด้านนอกล้วนแต่กำลังรอการเคลื่อนไหวของตระกูลซาง หากว่ายังไม่จัดงานเลี้ยงชื่นชมผลงานอีก เกรงว่าเรื่องนี้คงจะยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่อยู่ในเมืองฝูซางั้นหรือ?” อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้ว
มู่ชิงเกอค่อยๆ พยักหน้า
“ไม่อยู่เมืองฝูซา เช่นนั้นไปจัดอยู่ที่ไหน?” อิ๋งเจ๋อเอ่ยถาม
มู่ชิงเกอกลับทำตัวเป็นมีเลศนัย “ประมุขน้อยอิ๋งใจเย็นๆ เรื่องนี้ผ่านไปไม่เกินสองวัน ก็จะมีการประกาศออกไป ว่าเป็นเวลาไหน สถานที่ไหนที่จะจัดงานเลี้ยงชื่นชมผลงาน ถึงตอนนั้นก็จะมีการระบุไว้”
อิ๋งเจ๋อมองเขาเงียบๆ จากรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากของเขาแล้วก็มองไม่เห็นร่องรอยอะไรอีก สุดท้ายจึงได้แต่ อ่ยว่า “ได้ เช่นนั้นข้าก็จะรอ”
นิ่งเงียบไปเพียงพริบตา เขาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “สามารถให้พวกเราได้ชื่นชมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพก่อนจะได้ไหม?”
ประเด็นนี้ทำให้ชั่วขณะนั้นจีเหยาฮั่วก็กระตือรือร้นขึ้นมา เขายื่นตัวเข้ามา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ใช่เลย ใช่เลย ในเมื่อล้วนแต่เป็นพี่น้องแล้ว ไม่สู้ให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาบ้างเป็นอย่างไร?”
แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าในระหว่างที่พวกเขากำลังรอคอย “ในเมื่อเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ หากว่าตอนนี้ให้พวกท่านดูแล้ว รอวันที่จัดงานเลี้ยงชื่นชมผลงานวันนั้น สำหรับพวกท่านสองคนแล้วก็ไม่ใช่การรอคอยอะไรใหม่ แล้วหรือ?”
คำพูดของนางพูดมาถึงตรงนี้แล้ว อิ๋งเจ๋อกับจีเหยาฮั่วก็ล้วนแต่เป็นคนฉลาด ไม่ได้ดื้อดึงต่ออีก
ภายในเรือนหลังเล็ก พวกเขานั่งเล่นกับมู่ชิงเกอไปครู่หนึ่ง พูดเรื่องไร้สาระกันไป จากนั้นก็ขอลาแยกย้าย
แน่นอนว่า ในความเป็นจริงจะมีแค่จีเหยาฮั่วพูดอยู่ตลอด มู่ชิงเกอคอยตอบรับแค่ประโยคสองประโยค ส่วนอิ๋วเจ๋อก็เงียบขรึมดังเดิม
[1] *คำว่าน้องมู่ และ สุสาน ออกเสียงว่า “มู่ตี้” เหมือนกัน เป็นคำพ้องเสียง