ตอนที่ 345
ความคิดของหานอี้เหริน
“ชิงเกอ ที่นี่ก็คือเมืองเฟิงหยุน และก็เป็นเมืองที่อยู่ในการปกครองของตระกูลหาน เจ้ามาโลกแห่งยุคกลางหลายปีแล้ว ตอนนี้ก็น่าจะรู้ว่าปกติแล้วหากเป็นตระกูลบรรพกาลล้วนแต่จะมีเมืองเป็นของตนเอง ไม่เหมือนกับเมืองอื่นๆ ที่มีหลายตระกูลคานอำนาจแบ่งกันจัดการเมือง” หานฉายไฉ่แนะนำแก่มู่ชิงเกอ
เดินทางออกจากเมืองจิ่วยาง ใช้เวลาครึ่งเดือนในที่สุด พวกเขาก็มาถึงเมืองเฟิงหยุน
ส่วนระยะห่างจากเมืองเฟิงหยุนไปเมืองตามจุดมุ่งหมายของมู่ชิงเกอก็ยังเหลือระยะทางอีกหนึ่งเดือน
“ชิงเกอ ในเมื่อได้มาถึงเมืองเฟิงหยุนแล้วก็พักอยู่ในตระกูลหานชั่วคราวเถอะ พักผ่อนก่อนค่อยเดินทางต่อ” หานฉายไฉ่เสนอ
มู่ชิงเกอไม่ได้ตอบไปในทันที แต่กลับเอ่ยกับมั่วหยางว่า “เหลือเวลาจากที่นัดกันเอาไว้เท่าไหร่?”
มั่วหยางเอ่ยในทันทีว่า “ยังเหลือไม่ถึงครึ่งเดือนขอรับ”
มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถึงได้มองไปยังหานฉายไฉ่แล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็ได้ยินแล้วว่าเวลาของข้านั้นเหลือไม่มาก”
“แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ต้องพักผ่อน เจ้าอยู่เมืองเฟิงหยุนต่อสองวันก็ไม่ได้ทำให้เรื่องของเจ้าล่าช้าลงหรอก เจ้าเพิ่งจะมาถึงถิ่นของข้าเป็นครั้งแรก หรือจะไม่ยอมมอบ โอกาสให้ข้าได้ต้อนรับเลย? ภายในคลังเก็บสุราของข้ายังมีสุราดีหลายไหซ่อนเอาไว้อยู่รอเจ้ามาโดยตลอด” หานฉายไฉ่เอ่ย
“สุราดี?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่พวกบ้าสุรา แต่ก็รู้ว่าสุราที่หานฉายไฉ่เก็บเอาไว้นั้นล้วนแต่เป็นของชั้นยอด เป็นของหายาก
หากว่ารู้แล้วกลับไม่ลองชิมก็คงจะทำให้เสียใจภายหลังได้
จากนั้นมู่ชิงเกอก็พยักหน้า “ก็ได้ เช่นนั้นก็พักในเมืองเฟิงหยุนสามวัน”
หานฉายไฉ่ดีใจมาก “ข้าจะให้คนไปจัดการทันที เอาเรือนพักที่เงียบสงบไม่มีใครรบกวนให้เจ้า”
มู่ชิงเกอพยักหน้า
หานฉายไฉ่หันกายไปสั่งการ จากนั้นองครักษ์คนหนึ่งก็ออกไปจากกลุ่มก่อน เข้าไปยังจวนตระกูลหานที่อยู่ในเมือง
รอจนหานฉายไฉ่หันกลับมา ก็เผชิญหน้ากับสายตาของมู่ชิงเกอพอดี เขาชะงัก เอ่ยถามอย่างแปลกใจว่า “เป็นอะไรไป?”
มู่ชิงเกอกลับถามขึ้นมาว่า “ที่จริงแล้ว ข้ายังคิดถึงครั้งวันที่พวกเราประชันปัญญากันอยู่ ความรู้สึกที่เหมือนกับได้เจอคู่มือนั้นก็ไม่ง่ายเลยที่จะหาอะไรมาแทนที่ได้ แต่ว่า เหตุใดเจ้าต้องละทิ้งสิ่งที่มีแล้วไปไล่ตามสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเองด้วย?”
พูดแล้วนางก็ไม่พูดอะไรอีก ถอนสายตาและถอนหายใจอยู่ในใจ
หานฉายไฉ่ในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เขาที่อยู่ตรงหน้านางในวันนี้ไม่ใช่คนที่มั่นอกมั่นใจ หยิ่งยโส ชอบการแข่งขันเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่กลับกลายเป็นคนที่คอยระมัดระวังกลัวนางไม่พอใจ
หานฉายไฉ่ที่เป็นเช่นนี้เหมือนว่าขาดอะไรไปสักอย่าง
แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว นางจะยังสามารถทำอะไรได้อีก? สิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้ก็คือรอให้หานฉายไฉ่วางทุกอย่างลงจริงๆ กลับไปเป็นตัวเองอีกครั้ง
คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ใจของหานฉายไฉ่เกิดสับสนขึ้นมา
เขาเม้มริมฝีปากนิ่งเงียบ ภายในนัยน์ตาเรียวยาวมองเห็นความเปลี่ยนแปลงไม่หยุด
เขาจะไม่รู้ความหมายที่แท้จริงในคำพูดของมู่ชิงเกอได้อย่างไร? เพียงแต่ว่า ในใจของเขากลับยังอาลัย ปล่อยวางเงาสีแดงยั่วยวนนั้นไม่ลง
“คนๆ นั้นอยู่ดีๆ ก็จากไป ไปทำอะไรหรือ?” หานอี้เหรินมองเห็นองครักษ์ของหานฉายไฉ่จากไป จึงหันไปถามคนของตระกูลหานคนหนึ่ง คนๆ นั้นเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าประมุขน้อยจะเชิญพวกเจ้าเมืองมู่มาพักเป็นแขกในตระกูลหานขอรับ” นัยน์ตาของหานอี้เหรินฉายแววเย็นเยียบ ในใจนึกโมโหขึ้นมา ‘เขากลับกล้าเชื้อเชิญคนเข้าบ้านอย่างใหญ่โตเช่นนี้ หรือเขาลืมไปแล้วว่าพี่ใหญ่นั้นเสียตำแหน่ง ประมุขน้อยแล้วให้เขาขึ้นไปได้อย่างไร?’
นางครุ่นคิดแล้วก็เริ่มวางแผนการ
มุมปากของหานอี้เหรินเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา
หว่างคิ้วกลับมีความคล้ายหานฉายไฉ่อยู่บ้าง นางมองไปยังเงาแผ่นหลังของมู่ชิงเกอ ในใจลอบเอ่ยว่า ‘เป็นเจ้าเองที่รนมาหาเองถึงที่ เช่นนั้นก็อย่าได้โทษที่ข้าลงมือก็แล้วกัน!’
ครั้งนี้นางจะต้องทำให้พี่รองตัดใจจากความคิดที่ไม่สมควรมีอย่างเด็ดขาด และก็ต้องฉวยโอกาสกดดันทางพี่ใหญ่ ขัดขวางไม่ให้เขาฟื้นฟูขึ้นมาอีกได้ยังมี…ที่ สำคัญก็คือนางต้องการให้มู่ชิงเกอตัดความคิดที่อยากจะข้องเกี่ยวในใจไปให้หมด
ใช่ แล้ว!
ทันใดนั้น ภายในนัยน์ตาของหานอี้เหรินก็เผยร่องรอยของความเอียงอาย
นางจดจำขึ้นมาในทันที ชายที่ทำให้นางหวั่นใจคนนั้น นับตั้งแต่ปรากฎตัวที่ข้างกายของมู่ชิงเกอมาก็ไม่เคยได้พบอีกเลย นางลอบสืบจากหานฉายไฉ่หลายครั้ง แต่จนถึงสุดท้ายก็ยังไม่ได้คำตอบ
คิกถึงตรงนี้ในใจของนางก็เกิดความแค้นเคืองขึ้นมา
นางมองไปยังหายฉายไฉ่ ในใจเอ่ยว่า ‘ในเมื่อท่านก็ไม่ยอมให้ข้าได้อยู่ด้วยกันกับคนที่ข้ารัก แล้วเหตุใดข้าต้องยอมให้ท่านสมปรารถนาด้วย? อีกอย่างข้าทำเช่นนี้ก็
เพื่อประโยชน์ของท่าน และก็เป็นการช่วยท่าน!’
ยังมี…ในเมื่อนางไม่สามารถหาข่าวเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นจากหานฉายไฉ่ได้ เช่นนั้นก็ไปหาจากมู่ชิงเกอ!
นัยน์ตาของหานอี้เหรินฉายปณิธานอันแรงกล้าออกมา ลอบสาบานในใจว่าจะต้องได้ทุกอย่างมาจากปากของมู่ชิงเกอ จากนั้นก็ไปตามหาคนในใจของนาง
นางเชื่อว่าอาศัยสถานะและรูปโฉมของนางจะต้องทำให้เขาพอใจได้อย่างแน่นอน และได้กลายเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดข้างกายของเขา
“ถึงแล้ว ที่นี่ก็คือจวนของตระกูลหาน” กลุ่มคนมาถึงหน้าประตูคฤหาสน์แล้วหานฉายไฉ่จึงแนะนำแก่มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอหันมองไปแวบหนึ่ง สิ่งปลูกสร้างของภาคเหนือกับภาคตะวันตกมีความต่างกัน
แต่ว่าคฤหาสน์ของตระกูลบรรพกาลนี้โดยพื้นฐานแล้วก็จะคล้ายๆ กัน
มาถึงตระกูลหาน มู่ชิงเกอกลับไม่ได้เจอบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลหาน หานฉายไฉ่อธิบายว่าบรรดาผู้อาวุโส ส่วนมากของตระกูลหานนั้นล้วนแต่ไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ของตระกูล เหลือไว้เพียงบรรดารุ่นเยาว์ไว้ที่นี่ ยังมีรุ่นบิดามารดาของพวกเขาเท่านั้น
พูดถึงรุ่นบิดามารดา ตระกูลหานก็แยกย้ายกันออกไป ตามปกติแล้วหากไม่มีเรื่องสำคัญเร่งด่วน รุ่นของบิดามารดาก็จะไม่ออกหน้า
เขาอธิบายเช่นนี้มู่ชิงเกอก็เข้าใจแล้ว
อธิบายง่ายๆ ก็คือ ถึงแม้ว่าตระกูลใหญ่จะอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่ก็ล้วนมีประตูเรือนของตนเอง เพียงแค่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ของทั้งตระกูล ก็จะต่างคนต่างอยู่ ไม่จำเป็นต้องอยู่รวมกันตลอดเวลา หานฉายไฉ่แนะนำว่าพื้นที่คฤหาสน์ของตระกูลหานนี้ ภายในมีเรือนพักนับหมื่น ล้วนแต่เป็นที่อยู่ของสายหลัก ตระกูลหาน
แค่คิดก็รู้แล้วว่าตระกูลหานนั้นรุ่งเรืองมาก
หานฉายไฉ่พามู่ชิงเกอไปถึงเรือนที่มีบรรยากาศเงียบสงบหลังหนึ่ง เอ่ยกับนางว่า “รู้ว่าเจ้าไม่ชอบปัญหา ยิ่งไม่ชอบการพบปะผู้คน จึงไม่พาเจ้าไปแนะนำตัว ที่นี่อยู่ ในขอบเขตเรือนของข้า เจ้าวางใจได้จะไม่มีใครมารบกวนเจ้าแน่นอน”
เขาจัดการเช่นนี้ก็เพื่อมู่ชิงเกอ
นางพยักหน้า “ข้าก็อยู่เพียงชั่วคราวสามวันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้คนอื่นแตกตื่น”
หานฉายไฉ่ยิ้มพยักหน้า “สำหรับบิดามารดาของข้า…”
เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วถึงพูดว่า “มารดาของข้าสิ้นไปนานแล้ว บิดาก็ไม่ได้อยู่เรือนเดียวกับข้า ดังนั้นพบหรือไม่พบก็เหมือนกัน”
มู่ชิงเกอพยักหน้า นางเป็นแขกแน่นอนว่าต้องทำตามที่เจ้าบ้านจัดการ
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าพักผ่อนไปก่อน สายๆ ข้าค่อยมาหาเจ้า” หานฉายไฉ่พูดจบก็ไม่พัวพันต่อ หันกายจากไป
รอจนเขากลับไปถึงเรือนของตนเองแล้วนั้นก็พบว่าหานอี้เหรินอยู่ในห้องของเขา
“เจ้ากำลังทำอะไร?” นัยน์ตาเรียวยาวของหานฉายไฉ่ ฉายแวววาววาบ มองไปยังหานอี้เหริน
หานอี้เหรินเห็นเขากลับมาแล้ว ก็เดินเข้าไปหาเขา พูดกับเขาว่า “พี่รอง ท่านจัดให้เจ้าเมืองมู่ผู้นั้นพักอยู่ที่นี่กับท่านงั้นหรือ?”
หานฉายไฉ่ดูไม่พอใจพูดว่า “เขาเป็นเพื่อนของข้า แน่นอนว่าต้องจัดให้อยู่ที่นี่กับข้า”
“พี่รอง!” หานอี้เหรินอดไม่ได้ร้องออกไป “หรือว่าท่านลืมบทเรียนของพี่ใหญ่ไปแล้ว? หากว่าเขาไม่มีจุดอ่อนนั่น ท่านคิดว่าท่านจะได้ขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งของเขาได้ง่ายๆ เช่นนี้หรือ? หากว่าถูกคนของเขาพบว่าท่านแอบซ่อนผู้ชายเอาไว้คนหนึ่ง พวกเขาจะแก้แค้นท่านอย่างไร?”
“หานอี้เหริน เรื่องของข้าข้าจัดการเองได้ เจ้าจัดการตัวเองให้ดีก็พอ ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวาย” หานฉายไฉ่ตักเตือน
หานอี้เหรินสีหน้าเปลี่ยน มองหานฉายไฉ่อย่างปวดใจ “พี่รอง ท่านเปลี่ยนไปจริงๆ! ท่านกับพี่ใหญ่เป็นเหมือนกันล้วนแต่ถูกผู้ชายที่งดงามล่อล่วงจนเป็นเช่นนี้”
“หุบปาก! หากว่าไม่มีเรื่องอื่น ตอนนี้เจ้าก็ไสหัวกลับเรือนของเจ้าไปซะ ข้าขอเตือนเจ้าว่า ช่วงสามวันที่ชิงเกออยู่นี้ เจ้าอย่าได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นเด็ดขาด มิเช่นนั้น ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นน้องสาวต่างมารดาของข้า ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” เสียงของหานฉายไฉ่ดูเย็นยะเยือก นัยน์ตาคู่นั้นก็ฉายแววอำมหิตโหดเหี้ยม
หานอี้เหรินสีหน้าขาวซีดมองเขาอย่างตื่นตะลึง
ดูเหมือนว่าจะไม่กล้าเชื่อว่าเขาจะพูดกับตัวเองเช่นนี้เพื่อคนอื่น
ภายใต้สายตาที่บีบคั้นของหานฉายไฉ่ นางหันกายจากไปในทันที แต่ว่าความไม่ยินยอมในใจกลับเพิ่มขึ้นมาก ยิ่งเกลียดแค้นมู่ชิงเกอมากขึ้น
พุ่งกลับไปยังเรือนของตนเอง หานอี้เหรินก็พังของในเรือน โยนทิ้งลงพื้น
นางระบายความโมโห ทำให้สาวใช้ในเรือนของนางไม่กล้าเข้าใกล้
รอจนนางระบายอารมณ์ไปพอสมควรแล้วถึงได้หยุดทำลายข้าวของในเรือน พูดอย่างแค้นเคืองออกมาว่า “พี่ รอง ในเมื่อท่านลุ่มหลงไม่ยอมตื่น เช่นนั้นก็มีเพียงข้าที่จะช่วยท่านลงมือแล้ว ข้าทำเพื่อประโยชน์ของท่าน ตอนนี้ท่านอาจไม่เข้าใจโทษข้า แต่ต้องมีสักวันที่ท่านจะรู้ถึงความหวังดีของข้า!”
หานอี้เหรินพูดจบ นัยน์ตาตาของนางเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว
นางกวักมือเรียกบ่าวที่ตนเองไว้ใจเข้ามา กระซิบที่ข้างหูนางจากนั้นก็ให้ถอยออกไป
หานอี้เหรินยิ้มเย็น “ครั้งนี้จัดการปัญหาทุกอย่างให้เสร็จในคราวเดียว จากนั้นก็เพียงแค่รองานแต่งระหว่างตระกูลหานและตระกูลหร่วนแล้วทุกอย่างก็จะเสร็จ สมบูรณ์”
มู่ชิงเกอนั่งสมาธิอยู่ในเรือน ความเงียบสงบรอบด้านทำให้นางรู้สึกสบายมาก
นางหลับตาลง รอบร่างกายปรากฎสีทองวาบออกมาอย่างต่อเนื่อง บางครั้งเป็นสีทองอ่อนและบางครั้งก็เป็นสีทองบริสุทธิ์
ข้างกายของนางไม่ไกล มีมั่วหยางยืนอยู่ เขารักษาความสงบ นัยน์ตาฉายแววคาดหวังมองดูมู่ชิงเกอ
ไกลออกไป สาวใช้ของหานอี้เหรินก็นำผู้ชายที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาแต่หว่างคิ้วกลับเต็มไปด้วยไอความชั่วร้ายเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาคลานขึ้นมาบนภูเขา เล็กๆ แห่งหนึ่ง มองลอดกิ่งไม้ใบไม้มา สามารถมองภายในเรือนได้พอดี
สาวใช้นางนั้นเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ บ่าวเห็นคุณชายที่งดงามดุจเทพเซียนถูกประมุขน้อยจัดให้เข้าไปอยู่ที่นั้น เรื่องอื่นๆ ก็ไม่รู้แล้ว ขอคุณชายใหญ่โปรดปล่อยข้าไปเถอะ”
หานหัวหั่วมองเข้าไปเห็นมู่ชิงเกอที่นั่งอยู่ในเรือนภายในแวบเดียว เพียงแค่แวบเดียวก็ถูกรูปโฉมของเขาทำให้ลุ่มหลงแล้ว ในใจนึกตะลึง ‘บนโลกนี้ยังมีคุณชายที่รูปงามเช่นนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ เทียบกับพวกก่อนหน้าเหล่านั้น นี่ถึงเป็นความงดงามที่แท้จริง!’
ขณะที่เขากำลังดำดิ่งไปกับรูปโฉมของมู่ชิงเกออยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงข้างหู จึงสะบัดมืออย่างรำคาญ “ไสหัวไปให้พ้น อย่ามาเกะกะสายตาข้าอยู่ที่นี่ รบกวนข้าชื่นชมคนงาม!”
สาวใช้คนนั้นดุจดั่งได้ปลดปล่อยภาระหนักอึ้งรีบหันกายจากไป
ส่วนหานหัวหั่วกลับหมอบอยู่ที่เดิม มองไกลออกไปต่อ เพียงแต่ระยะห่างไกลเกินไปดูแล้วก็ทำให้ใจของเขาหงุดหงิดหมดความอดทน
ภายในเรือนแสงสีทองบนผิวของมู่ชิงเกอหายไปแล้ว นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นพ่นลมหายใจออกมา
“คุณชาย…” มั่วหยางเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น
มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “ยังไม่ทะลวง”
มือนางถือขวดยาเปล่า พูดกับตัวเองว่า “หากว่ายาระดับเทวะที่ใช้ทะลวงขอบเขตนี้ไม่ใช่ข้าปรุงขึ้นมาเอง ข้าล้วนแต่จะคิดแล้วว่ามันเป็นของปลอม”
“คุณชาย เรื่องการทะลวงระดับไม่สามารถเร่งรีบได้” มั่วหยางเอ่ยปลอบ
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ข้าเพียงแต่แปลกใจ นับตั้งแต่ที่ข้าฝึกฝนตามเนื้อหาในเคล็ดวิชาเทวะแล้ว พละกำลังที่จะต้องใช้ในการทะลวงระดับทุกครั้งก็จะมากขึ้นในการจะทะลวงสู่ระดับสีทองครั้งนี้ข้าได้รวบรวมพลังจิตมาตั้งนาน ทั้งยังกินยาระดับเทวะที่ใช้ทะลวงขอบเขตไปถึงสามเม็ด แต่กลับยังขาดอีกนิดเดียว นี่เป็นเพียงแค่ระดับสีทองเท่านั้น รอถึงขอบเขตต่อไปข้าจะต้องเอาอะไรมาฝึกฝนกัน?”
มั่วหยางขบริมฝีปากตอบว่า “บ่าวได้ส่งคนตามสัตว์อสูรจอมตะกละออกไปแล้ว ให้มันตามหาเหมืองศิลาวิญญาณต่อ ตราบใดที่เรายังมีศิลาวิญญาณไม่สิ้นสุด คุณชายก็สามารถทะลวงระดับได้ต่อเรื่อยๆ”
มู่ชิงเกอพยักหน้า นัยน์ตาสดใสฉายแววเด็ดเดี่ยว “ครั้งนี้ ไม่ว่าจะอย่างไร ก่อนไปถึงเมืองเทียนผิง ข้าต้องทะลวงสู่ระดับสีทองให้ได้”
“ชิงเกอ” ทันใดนั้นเสียงของหานฉายไฉ่ก็ดังขึ้นมา
มู่ชิงเกอและมั่วหยางสบตากันแวบหนึ่ง นางดึงความคิดกลับ นางเก็บขวดเปล่าในมือแล้วก็ยืนขึ้นมาจากหินแบนเรียบขนาดใหญ่
เพิ่งจะจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย หานฉายไฉ่ก็ก้าวยาวๆ เข้ามา
บนเนินเขา หานหัวหั่วมองเห็นหานฉายไฉ่เดินเข้ามา นัยน์ตาก็ปรากฎร่องรอยความแค้นขึ้น ความลุ่มหลงในดวงตาถูกทำลายไปจนหมดสิ้น เขาซ่อนตนเองเป็นอย่างดี ลอบจ้องมองทั้งสองคน
“เจ้าพักผ่อนดีแล้วหรือยัง? ข้ามาพาเจ้าไปดูคลังสุรา”
หานฉายไฉ่พูดกับมู่ชิงเกอ พูดถึงสุราดี มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสดใสก็ เปล่งประกายขึ้น นางพยักหน้าเอ่ยว่า “ดี”