ตอนที่ 373
ขนาดธิดาเทพเจ้าก็ยังกล้าชอบงั้นหรือ?
“เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” อิ๋งเจ๋อเหลือบมองเขา เลิกคิ้วขึ้นสูง
จีเหยาฮั่วลูบๆ คาง หรี่ตาเป็นเส้นตรง “ข้าจะไปถามให้ชัดเจน!”
“ถามอะไร?” อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่า มู่ชิงเกอมีคนในใจหรือไม่ หรือคนในใจของเขาใช่ซีเซียนเสวี่ยหรือไม่นั้นเกี่ยวข้องอะไรกับจีเหยาฮั่ว? เหตุใดเขาถึงได้กระตือรือร้นถึงขนาดนี้
จีเหยาฮั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ก็ข้าเป็นห่วงชิงเกอไง! หากว่าคนที่เขาชอบไม่ใช่ธิดาเทพซี เช่นนั้นก็ยังพูดง่าย พวกเราก็สามารถช่วยเขาไปสู่ขอถึงบ้านได้ อาศัยสถานะของพวกเราสองคน ก็ถือว่าไว้หน้าให้ฝ่ายผู้หญิงมากแล้ว? อีกทั้งการถูกชิงเกอชอบก็เป็นบุญของนางอยู่แล้ว แต่หากคนที่มู่ชิงเกอชอบเป็นธิดาเทพซีจริงๆ เรื่องก็ยากแล้ว”
“…” อิ๋งเจ๋อถูกคำพูดนี้ของเขาทำให้นิ่งเงียบไป
เรื่องยาก? อะไรยาก!
ถึงแม้ว่าอิ๋งเจ๋อจะไม่ได้แสดงอารมณ์กายในใจออกมาแต่ก็เข้าใจดี
สถานะของธิดาเทพแขวนอยู่บนนั้น ทั้งชีวิตไม่สามารถแต่งงานกับใครได้ แน่นอนว่าไม่มีผลลัพธ์ที่ดีกับมู่ชิงเกอ
“แล้วเจ้าคิดจะทำอย่างไร?” อิ๋งเจ๋อมองจีเหยาฮั่ว เอ่ยปากถามไป
จีเหยาฮั่วขมวดคิ้วเอ่ยด้วยท่าทางที่ดูเคร่งขรึมว่า “ข้ากำลังคิดหาแผนการ! ถ้าหากว่าชิงเกอชอบธิดาเทพ จริงๆ แล้ว พวกเราจะช่วยเขาได้อย่างไร!”
“ช่วย?” นัยน์ตาของอิ๋งเจ๋อฉายแวววาววาบ รู้ว่าคำว่า ‘ช่วย’ ของจีเหยาฮั่วนั้นมีความหมายอื่น
จีเหยาฮั่วหัวเราะออกมามองอิ๋งเจ๋อ “เจ้าว่าหากพวกเราช่วยให้ทั้งสองคนนี้จากข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว ตระกูลซีกับตำหนักเทพจะยอมรับการสู่ขอในครั้งนี้หรือไม่?”
มุมปากของอิ๋งเจ๋อกระตุก มองเขาอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยกับเขาว่า “เจ้าคิดจะส่งมู่ชิงเกอไปตายงั้นหรือ?”
ตำหนักเทพกับตระกูลซีจะยอมงั้นหรือ? เกรงว่าคงจะร่วมมือกันฆ่ามู่ชิงเกอมากกว่า!
ความคิดนี้ของจีเหยาฮั่วทำให้เขาไม่เห็นด้วย
จีเหยาฮั่วพยักหน้า “ข้าก็คิดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงเหลือเพียงแค่สองวิธี” เขาชูสองนิ้วออกมา
“สองวิธีไหน?” อิ๋งเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นถูกจีเหยาฮั่วดึงดูดให้สนใจ
จีเหยาฮั่งมองไปยังคนสองคนที่เดินอยู่ด้านหน้า เอ่ยด้วยท่าทางที่ดูเคร่งเครียดว่า “วิธีแรกก็คือพวกเราอยู่ที่นี่จัดฉากแกล้งตายให้พวกเขา ให้พวกเขาหายไปจากสายตาของผู้คน จากนั้นก็ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข!”
วิธีนี้ดูไม่เลว!
อิ๋งเจ๋อเห็นด้วยในใจ
“แต่ว่า…” จีเหยาฮั่วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “วิธีนี้ถึงแม้ว่าจะเสี่ยงน้อย แต่ก็โง่เง่าไปหน่อย ไม่เข้ากับลักษณะนิสัยอหังการของชิงเกอ เขาอาจจะไม่ยอมก็ได้”
“จากนั้น…” อิงเจ๋อเอ่ยถาม
จีเหยาก็ยิ้มขึ้นมา เผยให้เห็นฟันสีขาว “จากนั้นถึงได้เหลือเพียงแค่วิธีเดียว นั้นก็คือพวกเราพาชิงเกอไปแย่งคนกับตระกูลซีและตำหนักเทพ! แย่งธิดาเทพซีกลับไปยังลั่วซิงเฉิงเป็นภรรยาของชิงเกอ! ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เป็นอย่างไร วิธีนี้เท่ใช่ไหมล่ะ! วิธีนี้จะทำให้คนนับถือไปเป็นร้อยๆ ปีเชียวนะ!” จีเหยาฮั่วหัวเราะเสียงดังออกมา
เสียงหัวเราะของเขา ทำให้มู่ชิงเกอและซีเซียนเสวี่ยที่เดินอยู่ด้านหน้าหยุดฝีเท้าลง หันกลับมามองพวกเขา ท่าทางดูมึนงง
แต่ระยะห่างของทั้งสี่คนนั้นค่อนข้างไกล หมอกภายในสนามรบโบราณก็ขัดขวางประสาทสัมผัสไปบ้าง ดังนั้นจึงทำให้พวกนางไม่รู้ว่าจีเหยาฮั่วกำลังหัวเราะอะไรกัน เพียงแต่คิดว่าเขาดูเหมือนคนบ้าที่อยู่ดีๆ ก็หัวเราะขึ้นมา
“จะต้องไปดูหรือไม่?” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยถามมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอเหลือมองจีเหยาฮั่วแล้วก็พยักหน้า
“เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ใช่การรนหาที่ตาย?” อิ๋งเจ๋อมองดูท่าทางของจีเหยาฮั่วแล้วก็ดูเย็นชาขึ้นมา
ถึงแม้ว่าตระกูลจีกับตระกูลอิ๋งจะเป็นตระกูลบรรพกาลอันเก่าแก่ลึกลํ้า แต่ก็ไม่อาจจะต้านทานตำหนักเทพได้ อีกอย่าง หากเป็นอย่างที่จีเหยาฮั่วพูดจริงๆ พวกเขาต้องบุกไปภาคกลางช่วยมู่ชิงเกอแย่งภรรยา ก็ไม่สามารถไปในสถานะของตระกูลตนเองได้ อาศัยได้แต่ความสามารถของตนเอง
ดังนั้น อาศัยเพียงพวกเขาสามคนไปแย่งคนงั้นหรือ?
จากที่อิ๋งเจ๋อมอง นี่ก็ไม่ต่างจากรนหาที่ตายสักเท่าไหร่เลยนะ?
แต่ว่า จีเหยาฮั่วกลับไม่ได้คิดเช่นนี้ คำพูดของอิ๋งเจ๋อไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเขาเลย เขากลับเอ่ยว่า “เรื่องราวอยู่ที่การกระทำของคน หากไม่ลองเต็มที่แล้วชิงเกอจะยอม งันหรือ? อย่างมากก็แค่ร่วมตายกับเขา พวกเราก็ถือได้ว่าตายอย่างสะใจแล้ว ข้ายังไม่เคยได้ยินว่ามีคนกล้าส่งสาส์นท้ารบให้ตำหนักเทพมาก่อน”
พูดจบแล้ว เขาก็เสริมกับอิ๋งเจ๋อไปประโยคหนึ่งว่า “ข้าจะไปร่วมรบกับชิงเกอแน่นอน เจ้านั้นคิดถึงแต่ตระกูลจนเกินไป ความรับผิดชอบเยอะเกินไป หากว่าไม่ไปด้วยกัน ส่งใจไปช่วยก็ได้แล้ว”
“ข้าไม่ใช่คนกลัวตาย” อิ๋งเจ๋อพูดอย่างเย็นชา
จีเหยาฮั่วยิ้มอย่างดีใจ “พี่น้อง ข้าดูเจ้าไม่ผิดจริงๆ! แต่ว่าพวกเราพูดเรื่องเหล่านี้เร็วเกินไป ข้าจะต้องหาโอกาสถามมู่ชิงเกอถึงการตัดสินใจของเขาให้แน่ชัดก่อนถึงจะได้”
จีเหยาฮั่วตัดสินใจ
เวลานี้เอง มู่ชิงเกอกับซีเซียนเสวี่ยก็ได้เดินมาใกล้แล้ว และมองเห็นท่าทางที่ดูจริงจังนี้ของเขาพอดี นางอดถามออกไปอย่างแปลกใจไม่ได้ “พวกเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไรกันหรือ?”
อิ๋งเจ๋อมองพวกนางสองคนแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
จีเหยาฮั่วรีบเก็บงำความรู้สึก ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร ว่างแล้วพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้น เป็นอย่างไรบ้าง พวกเจ้าเดินอยู่ด้านหน้าพบเจออะไรหรือไม่?”
เขารีบเบี่ยงประเด็นในทันที
มู่ชิงเกอเห็นเขาไม่ยอมพูด ก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อ เพียงแต่เอ่ยตามเขาไป “ด้านหน้าไม่มีอะไรผิดปกติ มีภูเขาสีดำ ม่านหมอก…แต่ว่าไม่เห็นซากศพของสัตว์อสูรอีกแล้ว”
พูดถึงซากสัตว์อสูรใบหน้าของจีเหยาฮั่วก็ฉายแววแปลกประหลาด
แม้ว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นจะตายไปนับแสนปีแล้ว แต่การเหยียบไปบนตัวของพวกมันใช้ซากของพวกมันเป็นทางเดินก็ยังทำให้รู้สึกสยดสยองอยู่บ้าง
อิ๋งเจ๋อกลับขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พูดตามเหตุผลแล้ว ยิ่งเข้าไปใกล้ด้านในของสนามรบโบราณมากเท่าไหร่ ซากศพก็น่าจะเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะถูก เหตุใดทางเข้าถึงได้มีซากสัตว์อสูรมากมายขนาดนั้น แต่พวกเราเดินเข้ามาด้านในกลับไม่เจอเลย?”
นี่เป็นปัญหาหนึ่ง แต่ว่าในตอนนี้ก็ยากที่จะรู้คำตอบ
เพราะว่าสนามรบโบราณสำหรับพวกเขาทั้งสี่คนแล้วก็ดูลึกลับมาก
“ข้าเคยเห็นในบันทึกโบราณว่าในตอนที่ช่องว่างแห่งนี้ ถูกปิดผนึกนั้น ที่จริงแล้วยังมีคนและสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อยที่ยังมีชีวิตอยู่” ทันใดนั้น ซีเซียนเสวี่ยก็พูดออกมาประโยคหนึ่ง
ประโยคนี้ทำให้ทั้งสามคนเหมือนมีความคิดอะไรบางอย่างแต่ก็จับเอาไว้ไม่อยู่
“เดินไปข้างในต่อก่อนเถอะ” จีเหยาฮั่วเอ่ย
มู่ชิงเกอพยักหน้า หันกายเดินไปด้านหน้าต่อ
เวลานี้เอง จีเหยาฮั่วก็ไม่ได้พัวพันกับปัญหาเรื่องความรู้สึกของมู่ชิงเกอต่อ แต่เดินตามไปและสังเกตสถานการณ์รอบๆ ไปด้วย พื้นที่ที่ม่านหมอกถูกพัด กระจายไปก็ทำให้เขามองเห็นบรรยากาศได้ชัดเช่นกัน ตอนนี้พื้นดินที่พวกเขาเหยียบย่างเข้าไปนั้นดำและแข็งมาก ภายในดินสีดำดูเหมือนจะมีกลิ่นของเลือดโชยออกมา บางที่สิ่งที่ทำให้พื้นดินกลายเป็นสีดำได้ขนาดนี้ก็อาจจะเป็นเพราะถูกเลือดสาดย้อม เมื่อผ่านไปยาวนานในที่สุดถึงได้แข็งตัวขึ้นมา
“ที่นี่ดูรกร้างยิ่งนัก สัมผัสกลิ่นอายแห่งชีวิตไม่ได้เลย” เดินไปครู่หนึ่ง ซีเซียนเสวี่ยก็เอ่ยขึ้นมา
ท้องฟ้าด้านในนี้เป็นสีเทาขมุกขมัวตลอดเวลา แยกกลางวันกลางคืนไม่ออก
มีบางครั้งเท่านั้นที่ท้องฟ้าจะมีเมฆสีแดงลอยผ่าน แต่ก็ทำให้ดูหดหู่มาก
ที่ทำให้คนหวาดหวั่นใจมากที่สุดก็คือความเงียบโดยรอบ ยิ่งเงียบก็ยิ่งทำให้คนไม่กล้าผ่อนคลาย
พวกเขารู้สึกว่าตนเองเดินมาได้ครึ่งวันแล้ว แต่ก็ราวกับว่าได้เดินมาทั้งวัน สองขาดูหนักอึ้งแต่บรรยากาศรอบด้านก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“พวกเราหาที่พักผ่อนสักหน่อยก่อน เพิ่มพลังกาย” มู่ชิงเกอมองไปทางจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อ
ในตอนนี้ชายฉกรรจ์ทั้งสองเดินจนเหนื่อยแล้ว หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม
มองมาทางซีเซียนเสวี่ย เดิมทีอาการบาดเจ็บของนางก็ยังไม่หายดี ทั้งไม่สามารถใช้พลังจิต ดังนั้นนางในตอนนี้ จึงมีสีหน้าซีดขาว เหงื่อผุดซึมออกมา แต่ก็ยังคงกัดฟันไม่ร้องออกมาสักคำ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของนางแล้ว จีเหยาฮั่วก็เหมือนว่าได้สลัดภาระหนักออกไปได้ “ควรจะพักผ่อนมานานแล้ว”
ทั้งสี่คนเดินไปยังภูเขาสีดำเหล่านั้น เลือกหาที่ที่มีรอยเว้าและบังลมได้
จีเหยาฮั่วก่อกองไฟ เสียงของฟืนที่ถูกไฟเผา ในที่สุดก็ทำให้ช่องว่างที่เงียบเหงาแห่งนี้มีกลิ่นอายแห่งชีวิตเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
“ต้องการดื่มนํ้าหรือไม่?” ซีเซียนเสวี่ยหยิบถุงนํ้าของตนเองออกมา นั่งอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอและเอ่ยถาม
สายตาของมู่ชิงเกอมองไปยังถุงนํ้าในมือของนางแล้วก็ส่ายหน้า
ซีเซียนเสวี่ยไม่ได้เผยร่องรอยผิดหวังออกมา เพียงแต่เก็บถุงนํ้ากลับไปเงียบๆ
จีเหยาฮั่วมองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ยืนขึ้นแล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ ไปทำธุระเร่งด่วนเป็นเพื่อนข้าหน่อย!”
สีหน้าของมู่ชิงเกอมืดทะมึน พูดออกมาว่า “เรียกอิ๋งเจ๋อไปเป็นเพื่อนสิ”
จีเหยาฮั่วกับพูดอย่างไม่ยอมว่า “เขาไม่เร่ง ข้าเร่ง”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก “ข้าก็ไม่เร่ง”
“ไอหยา เจ้าก็พาข้าไปหน่อยสิ” จีเหยาฮั่วส่งสายตาให้มู่ชิงเกอ
ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เข้าใจว่า เจ้านี่มีเรื่องจะพูดกับตนเอง ไม่ได้ปวดฉี่จริงๆ
ในเมื่อไม่ใช่เรื่องที่น่ากระดากใจ นางก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงแล้ว นางยืนขึ้นเดินตามจีเหยาฮั่วไปยังที่ๆ อิ๋งเจ๋อและซีเซียนเสวี่ยมองไม่เห็น
เมื่อแน่ใจว่าห่างดีแล้ว จีเหยาฮั่วถึงได้ถามอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “เจ้าชอบธิดาเทพจริงๆ งั้นหรือ?”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของมู่ชิงเกอกระตุก เอ่ยเสียงเข้มว่า “ไม่ได้ชอบ”
แต่จีเหยาฮั่วกลับไม่เชื่อ ใช้มือตบไหล่ของมู่ชิงเกอ ยิ้มและเอ่ยว่า “อย่าปิดบังอีกเลย ข้ากับอิ๋งเจ๋อมองออกแล้ว ว่าพวกเจ้าสองคนนั้นดูไม่ธรรมดา”
“อะไรไม่ธรรมดา?”มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นางไม่ได้พูด เรื่องที่ซีเซียนเสวี่ยเสนอมาออกไป
“นางดูพึ่งพิงเจ้ามาก อีกอย่างเจ้าก็ไม่ได้ผลักไสนาง” จีเหยาฮั่วเลิกคิ้วเอ่ย
มู่ชิงเกอไร้คำพูดจะต่อ นางไม่รู้ว่าจะอธิบายอะไรกับจีเหยาฮั่ว แต่ว่าระหว่างนางกับซีเซียนเสวี่ยนั้นเป็นเรื่องบริสุทธิ์ใจกันจริงๆ
“ระหว่างข้ากับนางนั้นไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าคิด” ครู่หนึ่งมู่ชิงเกอถึงได้อธิบายออกมา
จีเหยาฮั่วกลับคิดว่านางจงใจปิดบัง โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้องอธิบาย ข้าเข้าใจเจ้า น้องชาย ไม่อาจไม่พูดได้ว่า ตัวพี่ชายนี่รู้สึกนับถือเจ้ายิ่งนัก ถึงแม้ว่าปากของข้าจะพูดว่าจะไล่จีบธิดาเทพซีกลับไปเป็นเจ้าสาว แต่ก็เป็นเพียงพูดเล่นๆ สนุกๆ เท่านั้น ไม่เคยได้ทำจริงๆ แต่ว่าเจ้า! แค่ก แค่ก กลับกล้าเมินเฉยต่อตำหนักเทพและตระกูลซี เอาหัวใจของธิดาเทพซีมาไว้ในกำมือได้! วางใจเถอะ พี่ชายสนับสนุนเจ้า หากว่าเจ้าจะไปภาคกลางเพื่อแย่งชิงคน ก็ให้นับพี่ชายไปด้วยอีกหนึ่ง! ต่อให้บุกนํ้าลุยไฟ ข้าก็จะร่วมบุกตะลุยไปกับเจ้า!”
มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก ลอบเอ่ยในใจว่า ‘เจ้าเข้าใจกับผีน่ะสิ!’