Skip to content

พลิกปฐพี 374

ตอนที่ 374

ซากโครงกระดูกเต็มไปหมด

“คนที่ข้าชอบไม่ใช่นาง” ใบหน้าของมู่ชิงเกอดำทะมึน กัดฟันตอบกลับจีเหยาฮั่วไป

จีเหยาฮั่วชะงัก ท่าทางเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

หลังจากชะงักค้างไปครู่หนึ่งแล้ว เขาถึงได้เอ่ยอย่างไม่มั่นใจขึ้นมาว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ? พูดอีกทีสิ”

“ข้าพูดว่า คนที่ข้าชอบนั้นไม่ใช่นาง” มู่ชิงเกอพูดออกไปอย่างหมดหนทาง

ก่อนหน้านี้นางเคยพูดกับจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อว่านางมีคนในใจ ตอนนี้มาพบกับซีเซียนเสวี่ย จึงทำให้ทั้งสองคนเกิดความเข้าใจผิด

“คนที่เจ้าชอบไม่ใช่ธิดาเทพซี? เช่นนั้นเป็นใคร?” จีเหยาฮั่วพูดอย่างประหลาดใจ

เขารู้สึกเหมือนว่าตนเองคิดกังวลใจแทนมู่ชิงเกอไปตั้งนานโดยเปล่าประโยชน์

มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างหมดคำจะพูด “เจ้าอย่าได้สอดรู้สอดเห็นมากจะได้หรือไม่?”

จีเหยาฮั่วยิ้มออกมาอย่างดีใจ “ก็ข้าเป็นห่วงเจ้าไง?”

“ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ทว่าต่อไปเจ้าเป็นห่วงตนเองก็พอ ยังมีอีกอย่าง หากว่าเจ้าชอบซีเซียนเสวี่ยก็สามารถจีบได้เลย ข้าไม่คิดที่จะแย่งชิงกับเจ้า หากว่าเจ้าต้องการจะไปชิงตัวนาง ข้าก็จะไปเป็นเพื่อนเจ้าจนถึงที่สุด” มู่ชิงเกอพูดอย่างหมดหนทาง

ท่าทางของจีเหยาฮั่วเปลี่ยนไปในทันที สายตาเปลี่ยนเป็นหวาดเกรงขึ้นมา “ชิงเกอ! เจ้าคงไม่ได้เข้าใจผิดอะไรใช่ไหม?”

มู่ชิงเกอยกมุมปากขึ้น ภายในสายตาฉายแววเย้าแหย่ ในใจเกิดความรู้สึกเหมือนได้ล้างแค้น!

ทำให้เจ้าคนสอดรู้สอดเห็นผู้นี้หมดเรื่องที่จะสอดรู้สอดเห็นได้อีก!

จีเหยาฮั่วไอออกมาเบาๆ กดเสียงตนเองให้ตํ่าและพูดว่า “ข้าไม่ได้ชอบนาง อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ตาบอด ที่จะมองไม่เห็นว่านางชอบเจ้า”

“ที่ทำให้เจ้าไม่กล้าจีบเป็นเพราะสถานะธิดาเทพของนางงั้นหรือ?” มู่ชิงเกอยั่วยุ

เดิมทีนางคิดจะล้อเล่น ใช้ความคิดของจีเหยาฮั่วที่ใช้กับนางก่อนหน้านี้จัดการเขา แต่ไม่คิดว่าจีเหยาฮั่วจะเปลี่ยนท่าทีเป็นดูเคร่งขรึมจริงจัง เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ถ้า หากว่าข้าชอบผู้หญิงสักคน ทั้งนางเองก็ชอบข้า อย่าพูดแต่ว่าเป็นธิดาเทพเลย ต่อให้เป็นเทพเซียนบนสวรรค์ก็ขวางข้าไม่ได้!”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว รู้สึกเหนือความคาดหมาย

แต่ว่าเมื่อครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก็ไม่รู้สึกว่าเหนือความคาดหมายแล้ว เพราะนิสัยของจีเหยาฮั่วก็คือทำอะไรตามใจตนเอง ไม่สนใจกฎใดๆ มิใช่หรือไง?

มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ “เจ้าที่วันๆ เอาแต่คอยกังวลใจเรื่องงานแต่งงานของคนนั้นทีคนนี้ที เหตุใดตนเองจึงไม่จัดการให้ตนเองบ้างละ?”

ทันใดนั้นจีเหยาฮั่วก็ดูหดหู่ลง นั่งลงกับพื้นเงยหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจยาว

‘มีเรื่องเล่า!’ นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย นั่งลงไปกับเขา ใช้ดวงตาอันสดใสจ้องมองเขา ทำตัวเป็นเข้าอกเข้าใจพร้อมรับฟัง

จีเหยาฮั่วเงยหน้ามองท้องฟ้า ภายในสายตาดูเหมือนว่าได้ดำดิ่งเข้าไปในความทรงจำอันยาวนาน “ครั้งที่ข้ายังเล็ก ได้พบเจอกับพี่สาวนางฟ้าคนหนึ่ง นับตั้งแต่นั้นมา ข้าก็ไม่สนใจเรื่องราวความรักระหว่างหญิงชายอีกเลย”

ท่าทางเบื่อหน่ายเหมือนเข้าใจเรื่องทางโลกดีของเขา ทำ ให้มู่ชิงเกอใช้ฝ่ามือตบหลังหัวของเขาไป

“โอ๊ย!” จีเหยาฮั่วเอามือกุมท้ายทอย ร้องเจ็บออกมา เขามองมู่ชิงเกออย่างแค้นเคือง “ข้าพูดจริงนะ เหตุใดจึงไม่มีใครเชื่อเลย? ปีนั้นข้าได้บอกตาเฒ่า เขาก็ไม่เชื่อ บอกเทียนเทียนนางก็ไม่เชื่อ บอกอิ๋งเจ๋อ เจ้าบ้านั้นก็มองข้าอย่างดูแคลน! มาตอนนี้ ข้าบอกเจ้าแล้ว หากเจ้าจะไม่เชื่อก็แล้วไป ยังมาตีข้าอีก!”

มู่ชิงเกอเยาะเย้ยเขาไปอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าคิดว่าตอนที่เจ้าพูดอยู่ด้วยสีหน้าไร้ความรักนั้นจะทำให้คนเชื่ออย่างนั้นหรือ?”

“แต่ที่ข้าพูดนั้นล้วนแต่เป็นความจริงนะ!” จีเหยาฮั่วเอ่ยอย่างจริงจัง

เขาเก็บงำท่าทีขี้เล่นตามปกติไป มองมู่ชิงเกออย่างจริงจังแล้วเอ่ยว่า “ปีนั้น ข้ามีอายุเพียงแค่ 13 ปี พบเจอนางอย่างบังเอิญ ข้าฝึกฝนอยู่ที่เทือกเขานอกเมืองวั่น เข่อ ส่วนนางนั้นร่างกายเต็มไปด้วยฝนและเลือด ตกลงมาจากฟ้าสลบลงตรงหน้าข้า นางงดงามมากจนทำให้ข้าหลงใหล เจ้าคิดดูว่านางสวยแค่ไหน? ข้าแบกนางเข้าไปยังถํ้าที่อยู่ใกล้เคียง ช่วยรักษาบาดแผลให้นาง แค่ก แค่ก…เช่นนั้น ที่ควรมองเห็น ไม่ควรมองเห็น ที่ควรสัมผัส ไม่ควรสัมผัส ข้าก็ล้วนแต่ทำไปแล้ว แต่แน่นอนว่า ก็เพื่อรักษาบาดแผลให้นาง!”

จีเหยาฮั่วไอด้วยความกระดากอายออกมาอีกสองครั้ง “ในตอนนั้นข้ามีความคิดว่า ในเมื่อได้สัมผัสนางแล้ว เกิดเป็นผู้ชายก็ต้องรับผิดชอบ ถึงแม้ว่าข้าอายุยังน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว รอข้าโตกว่านี้จะแต่งงานกับนาง! แต่คิดไม่ถึงว่าในวันที่สองเมื่อข้าไปถึงนางก็ได้จากไปแล้ว ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้เลย ข่าวสารเล็กน้อยก็ไม่มี…”

จีเหยาฮั่วพูดมาถึงตรงนี้ อารมณ์บนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นรู้สึกผิดหวังและหดหู่

“ถึงตอนนี้ข้ายังคงจำครั้งที่นางตกลงตรงหน้าของข้าได้ คราบเลือดบนกระโปรงสีขาวเหมือนกับกลีบของดอกไม้…”

จีเหยาฮั่วพูดจบ สายตาก็ฉายแววคิดถึง

เมื่อมู่ชิงเกอฟังเรื่องราวของเขาจบ พริบตานั้นก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอารมณ์ของตนเองอย่างไร

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องที่นํ้าเน่าขนาดนี้จะเกิดขึ้นกับจีเหยาฮั่ว! เขาที่ดูเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนโง่! “ดังนั้นเจ้าจึงยังไม่เคยละทิ้งความตั้งใจที่จะตามหานาง?”

จีเหยาฮั่วพยักหน้า “ถึงแม้จะรู้ว่าความหวังนั้นมีน้อย แต่ข้าก็จะหาต่อไป! รอหานางพบแล้ว นางยังไม่มีคนรักข้า ก็จะต้องแต่งงานกับนางให้ได้!”

มองเห็นความแน่วแน่ในดวงตาของเขาแล้ว มู่ชิงเกอก็ยิ้มพูดว่า “พยายามเข้า!”

“แน่นอน!” จีเหยาฮั่วมองเขาอย่างมั่นใจ

ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งถึงได้กลับไปยังสถานที่พักผ่อน พวกเขาจากไปนานขนาดนี้อิ๋งเจ๋อคิดไว้อยู่แล้ว ส่วนซีเซียนเสวี่ยกลับเป็นกังวล มีหลายครั้งที่นางคิดจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ถูกอิ๋งเจ๋อห้ามไว้

“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยถามมู่ชิงเกอเสียงเบา

มู่ชิงเกอส่ายหน้า สะบัดชายเสื้อนั่งลง

จีเหยาฮั่วก็นั่งลงข้างอิ๋งเจ๋อ ส่งเสียงไปว่า “พวกเราเดาผิด ความสัมพันธ์ของชิงเกอกับธิดาเทพซีนั้นไม่มีอะไร ที่ดีกับนางหน่อยก็เป็นเพราะนางเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในหมู่พวกเรา บวกกับตอนนี้ไม่สามารถใช้พลังจิตได้”

อิ๋งเจ๋อหันมองเขา ท่าทางเปลี่ยนเป็นดูดุดัน ส่งเสียงไปว่า “เป็นเจ้าที่เดาผิด ข้าไม่เคยเดาอะไร”

จีเหยาฮั่วถูกเขาตอบกลับทำให้มุมปากกระตุก ยิ้มออกมา “ดี ดี ดี เจ้าไม่ได้เดาผิด เป็นข้าที่เดาผิดไปเอง พอใจหรือยัง?”

อิ๋งเจ๋อถอนสายตากลับไปเงียบๆ จบประเด็นนี้ไปอย่างสะใจ

ทั้งสี่คนพักผ่อนไปครู่หนึ่ง หลังจากรู้สึกว่ากำลังฟื้นกลับมาบ้างแล้วก็ลุกขึ้นจากไป ไม่มีใครมีแผนที่ของสนามรบโบราณ และก็ไม่แน่ใจว่าที่นี่มีขนาดกว้างแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้แต่เพียงเดินไปตามความรู้สึก

ม่านหมอกด้านหน้าดูหนาแน่นขึ้นมาอีก

ม่านหมอกสีเทาเหล่านี้ดูเหมือนกับกลิ่นอายของความตายที่รวมตัวกันมาขัดขวางการเดินไปข้างหน้าของทั้งสี่คน

“ระมัดระวังตัวด้วย” ก่อนเข้าไปในม่านหมอก มู่ชิงเกอก็เอ่ยเตือนทุกคน

เมื่ออยู่ภายในม่านหมอกแล้ว แม้ว่าจะเป็นประสาทสัมผัสของนาง ก็ยังมองเห็นไม่ชัดในระยะหนึ่งจั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย

“ข้าว่าพวกเราจูงมือกันเดินเถอะ จะได้ไม่พลัดหลงกัน” จีเหยาฮั่วเสนอออกมา

แต่อิ๋งเจ๋อที่อยู่ด้านข้างของเขากลับส่งสายตารังเกียจออกมามองดูเขา

ชั่วขณะนั้นจีเหยาฮั่วก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา “นี่! หมายความว่าอย่างไร?”

“ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น พวกเราใช้พลังจิตจูงนำทางกันไปก็ได้แล้ว” มู่ชิงเกอเสนอความคิด

“แต่ว่าพลังจิตของข้า…” ซีเซียนเสวี่ยพูดออกมาอย่างลำบากใจ

มู่ชิงเกอพลิกมือ ในมือมีผ้าสีแดงแถบหนึ่ง วางปลายหนึ่งไว้ในมือของนาง อีกปลายตนเองถือเอาไว้ “เช่นนี้ก็ได้แล้ว”

ซีเซียนเสวี่ยมองผ้าสีแดงในมือ แล้วก็พยักหน้ายิ้ม

มู่ชิงเกอก้าวเดินเข้าไปในม่านหมอก มือถือผ้าจูงซีเซียนเสวี่ย

แม้ว่านางจะตอบตกลงว่าภายในสามเดือนนี้จะไม่ปฏิเสธซีเซียนเสวี่ย แต่นางก็จะไม่ทำเรื่องอะไรที่อาจจะทำให้คนเข้าใจผิด

มือจูงมือสำหรับนางแล้วดูสนิทสนมเกินไปหน่อย และสำหรับซีเซียนเสวี่ยก็เช่นเดียวกัน

ทั้งสี่คนเข้าไปในม่านหมอก และก็ถูกหมอกกลืนไปในพริบตาจนมองไม่เห็นเงาร่าง ดีที่ก่อนจะเข้ามาพวกเขาได้ใช้พลังจิตนำทางกันแล้ว จึงสามารถรับรู้ตำแหน่งของทุกคนได้

เดินอยู่ในม่านหมอกไปสักพัก ในที่สุดม่านหมอกก็ค่อยๆ จางออกไป สายตาของทั้งสี่คนก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง

แต่เมื่อพวกเขามองภาพตรงหน้าได้ชัดเจนแล้วกลับ ชะงักอยู่กับที่

เกล็ดหิมะสีเทาขาวลอยพลิ้วหนาแน่น ดูเหมือนว่านับแสนปีมานี้ไม่เคยได้หยุดตกเลย

รอบกายของพวกเขา มองไปทางไหนก็มีแต่เสาน้ำแข็ง บางก็ตั้งตรง บ้างก็ล้มลง

ชั้นนํ้าแข็งใต้ฝ่าเท้าก็หนามาก

“ที่นี่หนาวเย็นมาก ดูเหมือนจะหนาวเย็นกว่าเส้นทางที่ผ่านมาอีก กลิ่นอายแห่งความตายก็ดูหนาแน่นกว่า” ซี เซียนเสวี่ยถูมือไปบนแขน นางในตอนนี้ไม่สามารถใช้พลังจิตเพื่อรักษาความอบอุ่นให้ตนเองได้ ดังนั้นนางจึงรับผลจากอุณภูมิที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนที่สุด

มู่ชิงเกอหันไปมองนางแวบหนึ่ง ดีดพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดออกมาก้อนหนึ่ง ลอยไปอยู่ข้างกายของซีเซียนเสวี่ย ชั่วขณะนั้นความอบอุ่นจากพญาเพลิงอัคคีแรกกำเนิดก็ขับไล่ความหนาวเย็นไปจากร่างกายของนาง

ซีเซียนเสวี่ยรู้สึกสบายขึ้นมาหน่อยถึงได้มองมู่ชิงเกอ อย่างซาบซึ้งใจ เอ่ยว่า “ขอบคุณ”

“พวกเจ้าดูว่าภายในเสานํ้าแข็งพวกนั้นคืออะไร!” ทันใด นัน จี เหยาฮั่วก็ตะโกนมาทางทั้งสามคนเหมือนว่าพบเจออะไร

มู่ชิงเกอเงยหน้ามองออกไป ดูอย่างละเอียดแล้วนัยน์ตา หดตัวลง ภายในเสานํ้าแข็งเหล่านั้นซ่อนเศษซากร่างเอาไว้

เศษซากร่างเหล่านี้ ไม่ใช่สัตว์อสูรอีกแล้ว แต่เป็นคน!

เศษซากร่างเหล่านี้ถูกแช่แข็งไว้ในเสานํ้าแข็ง มีบางมือที่ยังกุมอาวุธอยู่

ความหนาแน่นของเสานํ้าแข็ง ภายในนั้นบรรจุเศษซากร่างนับไม่ล้วน จนยากที่จะจินตนาการได้ว่ามีคนตายในสงครามกี่คนกันแน่!

“แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!” จีเหยาฮั่วเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพึมพำออกมา

ซีเซียนเสวี่ยก็ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างกายของมู่ชิงเกอ มองไปรอบด้านแล้วก็เอ่ยเสียงเบาว่า “บางทีคนเหล่านี้อาจจะเป็นบรรดาทหารของเผ่าเทพและมาร แต่ว่าเหตุใดซากร่างของพวกเขาถึงได้เปลี่ยนเป็นชิ้นส่วนเช่นนี้? แล้วเหตุใดจึงถูกแช่ไว้ด้านในชั้นนํ้าแข็งเหล่านี้ด้วย?”

ทุกอย่างที่อยู่ในสนามรบโบราณแห่งเทพมารล้วนแต่แปลกประหลาดและก็ไม่ปกติ

และนี่ก็ทำให้พวกเขาต้องระมัดระวังตัวอยู่ตลอดทั้งๆ ยังไม่ทันได้พบเจอกับอันตราย

“ที่นี่มีกลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้นมาก” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็หยุดเดิน ขมวดคิ้วออกมา

“กลิ่นอายแห่งความตาย?” จีเหยาฮั่วหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ เอ่ยว่า “ภายในสนามรบโบราณแห่งเทพมาร มีที่ไหนที่กลิ่นอายแห่งความตายไม่เข้มข้นบ้าง?”

มู่ชิงเกอกลับขมวดคิ้วและส่ายหน้า เหมือนกำลังครุ่นคิด และเอ่ยออกมา “กลิ่นอายแห่งความตายของที่นี่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้”

“ไม่เหมือน?” จีเหยาฮั่วไม่เข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ แต่ดวงตาทั้งคู่ก็ฉายแววระมัดระวังขึ้นมา

อิ๋งเจ๋อก็เอาอาวุธของตนเองออกมา แล้วเข้ามาใกล้ๆ ทั้งสามคนโอบล้อมซีเซียนเสวี่ยที่ไม่สามารถใช้พลังจิตได้ชั่วคราวไว้ตรงกลาง

‘มีอะไรไม่เหมือน?’ มู่ชิงเกอก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี เพียงแต่นางสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างกลิ่นอาย แห่งความตายของที่นี่กับก่อนหน้านี้มันดูเหมือนว่ากลิ่นอายแห่งความตายก่อนหน้านี้นั้นตายแล้ว แต่กลิ่นอายแห่งความตายของที่นี่นั้นยังเป็นอยู่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!