Skip to content

พลิกปฐพี 379

ตอนที่ 379

ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

มู่ชิงเกอชะงัก สีหน้าฉายแววกระดากใจ

ซีเซียนเสวี่ยใช้นัยน์ตาอันสดใสมองไปที่เขา นัยน์ตาฉายแววอับอายและขุ่นเคืองใจ

มู่ชิงเกอรีบหันหน้ากลับ หันหลังให้นาง อธิบายว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนถอดเสื้อผ้านะ”

เมื่อพูดจบ มุมปากของนางก็กระตุก รู้สึกว่าไม่อธิบายจะดีกว่า

ส่วนซีเซียนเสวี่ยก็ไม่ได้พูดอะไร

มู่ชิงเกอรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถามว่า “เจ้าสวมเสื้อผ้าดีแล้วหรือยัง?”

“เจ้าหันกลับมาเถอะ” ในที่สุดซีเซียนเสวี่ยก็ส่งเสียงออกมา

มู่ชิงเกอลอบถอนหายใจ หันหน้ามามองนาง ตอนนี้ซีเซียนเสวี่ยลุกขึ้นมาจากพื้นแล้ว นำเสื้อผ้าที่ถูกเม่ยจีถอดออกกลับมาสวมใหม่เรียบร้อย

เพียงแต่ว่าสองแก้มและนัยน์ตาของนางกลับดูแดงก่ำ

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ!” มู่ชิงเกอรีบอธิบายไปหนึ่งประโยค ด้วยกลัวว่าซีเซียนเสวี่ยจะเข้าใจผิด แล้วนางก็เสริมอีกประโยคว่า “มองไม่เห็นอะไรเลย”

นางมองไม่เห็นอะไรจริงๆ ตอนที่เม่ยจีถอดเสื้อผ้านั้น นางกำลังเรียนวิชากลืนวิญญาณอยู่ ไม่ได้สังเกตเลย หลังจากนางจัดการเม่ยจีเสร็จแล้ว หันมาก็เห็นซีเซียนเสวี่ยตื่นพอดี ไหนเลยจะทันได้มองอะไร

อีกอย่าง ล้วนแต่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ที่ซีเซียนเสวี่ยมีนางก็มีเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะได้เห็นแวบหนึงจริงๆ ก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบอะไร เพียงแต่ว่า…

มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ นางรู้ดีว่าในใจของซีเซียนเสวี่ยนั้นตนเองเป็นผู้ชาย

ร่างกายของตนเองถูกผู้ชายมองเห็น ในใจก็ต้องรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่อยู่แล้ว

“เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ข้าจะไม่ให้เจ้ารับผิดชอบด้วยเรื่องเช่นนี้หรอก” ซีเซียนเสวี่ยพูดกับมู่ชิงเกอ

“…” มู่ชิงเกอพูดไม่ออก

รับผิดชอบ? หากนางต้องรับผิดชอบจริงๆ แล้วจะรับผิดชอบมาถึงซีเซียนเสวี่ยได้อย่างไร?

อา!

“เมื่อครู่…” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง รอยแดงบ แก้มของนางค่อยๆ จางลงไป เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ถึงแม้ว่าเมื่อครู่ข้าจะถูกควบคุมอยู่ แต่ก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้า!”

ซีเชียนเสวี่ยขอบคุณอย่างจริงใจ

ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะมู่ชิงเกอช่วย เกรงว่านางคงถูกมารตนนั้นแย่งชิงร่างไปแล้วและอาจจะได้รับความอดสูมากไปกว่านี้อีก หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ นางก็ขอยอมตายดีกว่า

“ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ” มู่ชิงเกอเอ่ย นางมองซีเซียนเสวี่ยและก็เห็นว่านางมองมาเช่นกัน “ในเมื่อตอนนี้พวกเราก็อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ดูแลซึ่งกันและกันก็เป็นเรื่องที่สมควร”

ซีเซียนเสวี่ยยิ้มบางๆ พยักหน้าเล็กน้อย

บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนดูอึดอัดยิ่งนัก

เพื่อคลายความตึงเครียด ซีเซียนเสวี่ยจึงมองซ้ายมองขวาเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “เศษวิญญาณของเม่ยจีไปไหนแล้วล่ะ?”

หลังจากเม่ยจีถอดเสื้อผ้าของนางออกแล้ว นางก็สลบไป เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังนั้นนางไม่รู้ แต่ว่าเรื่องก่อนหน้านั้นนางรู้ดี เริ่มจากที่มู่ชิงเกอเล่นกับเม่ยจี จากนั้นความทรงจำของนางก็เริ่มคลุมเครือตั้งแต่ช่วงที่เห็นนัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นสีทอง

“หายไปแล้วหรือ?” ซีเซียนเสวี่ยคิดแล้วก็พูดคำที่ดูเป็นไปได้ออกมา

มู่ชิงเกอพยักหน้าเอ่ยกับนางว่า “ก็ถือว่าใช่”

ซีเซียนเสวี่ยถอนหายใจ เอ่ยขอโทษมู่ชิงเกอว่า “เป็นเพราะข้าเองที่อ่อนแอ ทำให้นางได้โอกาส จนเกือบจะแย่งชิงร่างของข้าได้”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “พลังจิตของเจ้ายังไม่ฟื้นฟูดี แน่นอนว่าไม่ใช่คู่มือของนาง อีกอย่างเศษวิญญาณเหล่านี้ไปมาอย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังมีกลอุบายมากมาย ต่อกรได้ไม่ง่ายเลย”

ซีเซียนเสวี่ยพยักหน้าเงียบๆ

มู่ชิงเกอเอ่ยกับนางว่า “หากว่าเจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว พวกเราก็กลับไปเถอะ คิดว่าจีเหยาฮั่วคงจะรอจนร้อนใจแล้ว”

เมื่อคิดถึงเพื่อนอีกสองคนแล้ว ซีเซียนเสวี่ยถึงได้รีบเอ่ยถามว่า “อิ๋งเจ๋อเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ตอนที่ข้ามา สถานการณ์ก็ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว” มู่ชิงเกอพูดกับนาง

ได้ยินว่าสถานการณ์ของอิ๋งเจ๋อดีขึ้นแล้ว ซีเซียนเสวี่ยถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเรากลับไปเถอะ”

มู่ชิงเกอกับซีเซียนเสวี่ยเพิ่งกลับมาถึงที่พักผ่อนชั่วคราว ก็มองเห็นจีเหยาฮั่วเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ ส่วนอิ๋งเจ๋อที่นั่งอยู่ในหม้อผลาญสวรรค์ก็ลืมตาอยู่ กลิ่นอายสีดำบนร่างถูกขจัดออกไปจนหมดแล้ว

เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมาแล้ว ความกังวลในนัยน์ตาของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

ส่วนจีเหยาฮั่วก็พุ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ทำไมถึงได้นานขนาดนี้? ข้าแทบจะออกไปตามหาเจ้าแล้ว!”

เมื่อครู่นี้เขาร้อนใจมาก ทั้งมู่ชิงเกอก็ยังไม่กลับมา ทั้งยังต้องดูอิ๋งเจ๋อ

“พบเรื่องเหนือความคาดหมายเล็กน้อย จึงล่าช้าไปหน่อย” มู่ชิงเกออธิบายง่ายๆ

แต่จีเหยาฮั่วกลับเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงว่า “พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

พูดแล้ว เขาก็หันไปถามซีเซียนเสวี่ยว่า “ธิดาเทพซี ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

“พบเจอเหล่าเศษวิญญาณในสนามรบโบราณ” มู่ชิงเกอแย่งตอบออกไป

ซีเซียนเสวี่ยเกือบจะถูกแย่งชิงร่าง ประสบการณ์เช่นนี้ยังจะต้องให้นางเล่าออกมาอีกทำไม?

“เศษวิญญาณในสนามรบโบราณ!” จีเหยาฮั่วฟังแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป

ในเวลานี้เอง อิ๋งเจ๋อก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ข้าเคยอ่านเห็นคำอธิบายคร่าวๆ ในบันทึกโบราณ บอกว่ามีบรรดาเทพมารที่มีพลังกล้าแข็งมากมายภายในสนามรบโบราณที่ไม่ยอมตายไปเช่นนั้น ดังนั้นจึงใช้เศษวิญญาณฝึกฝน ล่องลอยอยู่ภายในนี้เพื่อหาร่างเนื้อที่เหมาะสม”

“วิปริตขนาดนั้นเชียว!” จีเหยาฮั่วเอ่ยออกมาอย่างหวาดกลัว

“เศษวิญญาณเหล่านั้นแข็งแกร่งมาก ฝีมือแปลกประหลาด กระบวนท่าธรรมดาจัดการพวกมันไม่ได้” อิ๋งเจ๋อขมวดคิ้วเอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอมองเขา เข้าใจแล้วว่าเพื่อการเข้ามาในครั้งนี้ เขาเตรียมการมาดีมาก อ่านบันทึกโบราณมาไม่น้อยเลย

“ร้ายกาจขนาดนั้น! แล้วพวกเราจะไปต่อสู้ได้อย่างไร?” จีเหยาฮั่วพูดอย่างตะลึงออกมา จากนั้นเขาก็ถามมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ เจ้าสลัดพวกมันหลุดมาได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอทั้งเดินไปทางอิ๋งเจ๋อ ทั้งตอบจีเหยาฮั่วไปด้วย “ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพสามารถทำร้ายเศษวิญญาณได้ ดังนั้นเจ้ากับข้ายังไม่ต้องกังวลมากเท่าไหร่ แต่พวกเขาสองคนต้องระวังแล้ว”

พูดจบแล้วนางก็เอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “เอามือออกมา”

อิ๋งเจ๋อยกมือขึ้นมา ให้มู่ชิงเกอจับชีพจร

จีเหยาฮั่วได้ฟังมู่ชิงเกอพูดแล้วก็กลับคืนสู่นิสัยเดิมชั่วขณะเอ่ยว่า “ที่แท้ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพก็มีข้อดีเช่นนี้นี่เอง! ชิ ชิ เศษวิญญาณ! มาเถอะ! มาตัวหนึ่งข้าก็จะฆ่า ตัวหนึ่ง มาสองตัวข้าก็จะฆ่าสองตัว!”

เขามีกำลังใจฮึกเหิมอยู่ด้านข้าง

ส่วนมู่ชิงเกอเมื่อจับชีพจรให้อิ๋งเจ๋อเสร็จแล้วก็เทนํ้าเย็นราดลงบนความฮึกเหิม ของเขา “ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพของเจ้าเพิ่งสร้างขึ้นมาได้ไม่นานจิตวิญญาณแห่งอาวุธด้านในก็ยังไม่ได้ถูกเพาะเลี้ยงเป็นอย่างดี ในตอนนี้มันก็เหมือนกับเด็กเพิ่ง เกิดใหม่ หากพบกับเศษวิญญาณธรรมดายังพอจัดการ ได้แต่หากพบเศษวิญญาณที่ร้ายกาจ จิตวิญญาณแห่งอาวุธของเจ้าก็อาจจะถูกกินลดระดับกลับกลายไปเป็น ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ”

“ไม่ใช่กระมัง!” สีหน้าของจีเหยาฮั่วฉายแววหดหู่

มู่ชิงเกอเอ่ยกับอิ๋งเจ๋อว่า “กลิ่นอายแห่งความตายด้านในร่างกายของเจ้าถูกขจัดออกไปหมดแล้ว แต่เจ้าก็สูญเสียพลังไปมาก ต้องรีบกินยานั่งสมาธิพักผ่อน”

อิ๋งเจ๋อพยักหน้า กระโดดออกมาจากหม้อผลาญสวรรค์ เพียงเขาออกมามู่ชิงเกอก็เก็บหม้อผลาญสวรรค์ทันที เวลานี้เองซีเซียนเสวี่ยเอ่ยกับจีเหยาฮั่วว่า “เศษ วิญญาณเหล่านี้มีแบ่งตามระดับชั้นแน่นอน ก่อนหน้านี้ ข้าเฝ้ายามอยู่ข้างหน้า พบกับเศษวิญญาณชุดแรก ดูเหมือนว่าจะพูดไม่ได้ ดวงตาไม่มีแสงสีเขียว แต่ว่าภาย หลังมีมาอีกสามตัว สามารถพูดภาษาคนได้ ทั้งยังกลืนกินเศษวิญญาณก่อนหน้าลงไปภายในคำเดียว”

คำพูดที่นางพูดออกมาทำให้สีหน้าของจีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อเคร่งเครียดขึ้น

จีเหยาฮั่วมองพัดของตนเอง เอ่ยถามกับมู่ชิงเกอว่า “พูดเช่นนี้ก็แสดงว่า พัดของข้าสามารถต่อกรได้เพียงแต่เศษวิญญาณชั้นตํ่าเท่านั้นน่ะหรือ?”

“ลองดูก็จะรู้แล้ว” มู่ชิงเกอตอบ

นางเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “ในเมื่อที่นี่มีเศษวิญญาณปรากฎออกมา ก็แปลว่าไม่ปลอดภัยแล้ว พวกเราต้องรีบเปลี่ยนสถานที่ พวกเราทุกคนต้องการการพักผ่อนและ ฟื้นฟูกำลังให้เต็มที่”

คำพูดของนางทำให้ทั้งสามเคร่งขรึมขึ้น

เพิ่งจะเข้ามาในสนามรบโบราณเพียงไม่กี่วัน พวกเขาก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อยแล้ว

ซีเซียนเสวี่ยนั้นถูกเว่ยมั่วลี่ทำร้ายที่ปากทางเข้า ทั้งเมื่อครู่ก็ถูกเศษวิญญาณครองร่างอีก อิ๋งเจ๋อนั้นยิ่งถูกกลิ่นอายแห่งความตายกัดกร่อนร่างจนเกือบจะตายอยู่ใน สนามรบโบราณ มู่ชิงเกอก็สูญเสียพลังจิตไปมาก ทั้งยังไม่มีเวลาได้ฟื้นฟูกลับมาเต็มที่ ต้องต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ส่วนจีเหยาฮั่วก็เช่นเดียวกัน เพื่อที่จะรักษาอิ๋งเจ๋อ ตัวเองก็ถูกแรงสะท้อนกลับ

ดังนั้น ในตอนนี้พวก เขาทั้งสี่ล้วนแต่ต้องการสถานที่ที่เงียบและปลอดภัยเพื่อฟื้นฟูพลัง

มิเช่นนั้นเส้นทางต่อไปก็จะเพิ่มความลำบากมากขึ้น!

หลังจากพูดคุยกันแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินไปข้างหน้าต่อ

ตามเส้นทางได้พบเจอเศษวิญญาณระดับตํ่าอยู่บ้าง ซึ่งล้วนแต่ถูกมู่ชิงเกอปล่อยทวนหลิงหลงออกไปจัดการ บางครั้งก็เหลือสักตัวสองตัวให้จีเหยาฮั่วได้ฝึกมือ

เมื่ออิ๋งเจ๋อได้พบเศษวิญญาณเหล่านั้นด้วยตาของตนเองแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นเงียบนิ่งตลอดเส้นทาง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

เดินไปนานมาก ในที่สุดพวกเขาก็หาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับพักผ่อนได้

เป็นสะพานหินหักแห่งหนึ่ง ส่วนโค้งใต้สะพานมีช่องว่าง เพียงพอให้พวกเขาสี่คนเข้าไปอยู่พอดี ทั้งยังลึกลับมาก ยากทีจะพบเห็น

หลังจากจุดกองไฟเพื่อขับไล่ความหนาวเย็นแล้ว ทั้งสี่คนก็กินยาแล้วนั่งสมาธิพักผ่อนของใครของมัน

มู่ชิงเกอตั้งทวนหลิงหลงเอาไว้นอกช่องว่างสะพาน เพียงแค่มีเศษวิญญาณเข้ามาใกล้ทวนหลิงหลงก็จะจัดการขจัดอันตรายให้พวกเขาเอง

หลังจากมู่ชิงเกอนั่งสมาธิจนรู้สึกว่าพลังจิตกลับมาเต็มสมบูรณ์แล้ว ก็ฝึกฝนเนื้อหาในเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง การเข้ามาในสนามรบโบราณในครั้งนี้ทำให้นางได้รับรู้ถึงประโยชน์ของเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลาง!

ในตอนที่นางฝึกฝนจบและลืมตาขึ้นมานั้น ก็พบว่าอิ๋งเจ๋อได้ลืมตาขึ้นมาก่อนนางแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งจ้องเปลวไฟเงียบๆ ไม่พูดไม่จา มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว

จากนั้นอิ๋งเจ๋อก็หันหน้าไปที่มู่ชิงเกอและพูดว่า “ดีขึ้นแล้วหรือ?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า อิ๋งเจ๋อถอนสายตากลับ มองกองไฟต่อ แล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “ข้ากำลังคิดว่าตนเองมาที่นี่เร็วเกินไปหรือไม่”

ประสบการณ์ภายในไม่กี่วันมานี้ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเป็นตัวถ่วง

“พวกเราเป็นกลุ่มเดียวกัน ไม่มีใครเป็นตัวถ่วง” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้น

เวลานี้เอง ซีเซียนเสวี่ยก็ลืมตาขึ้นมา นางมองอิ๋งเจ๋อแล้ว เอ่ยว่า “หากว่าเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าที่มีระดับพลังตํ่าที่สุดในพวกเราสี่คน ก็ยิ่งจะเป็นตัวถ่วงน่ะสิ?”

อิ๋งเจ๋อนิ่งเงียบลง

ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องให้ต้องครุ่นคิด มู่ชิงเกอกับซีเซียนเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก รอเพียงเขาคิดได้เอง

ผ่านไปครู่หนึ่ง จีเหยาฮั่วก็ลืมตาขึ้น เมื่อมองเห็นอิ๋งเจ๋อที่นิ่งเงียบก็ชะงักไป แล้วเผยรอยยิ้มออกมา ยกมือตบๆ บ่าของอิ๋งเจ๋อ “พี่น้อง จุดมุ่งหมายที่เจ้ามาที่นี่ก็เพื่อหาความรู้สึกที่อยากจะทะลวงระดับใช่ไหม? ไม่แน่ว่าพวกเราเดินไปเดินไป เจ้าก็อาจจะทะลวงสู่ระดับสีทองก็ได้ ถึงตอนนั้นแล้ว ข้าก็ยังต้องการให้เจ้าปกป้อง เจ้าก็อย่าได้รังเกียจข้าที่ถ่วงขาเจ้าก็แล้วกัน!”

อิงเจ๋อหันมองรอยยิ้มของเขาแล้วอารมณ์ก็ดีขึ้นมาก

มู่ชิงเกอมองจีเหยาฮั่ว รู้สึกถึงข้อดีของคนผู้นี้แล้ว นั่นก็คือ มีชีวิตชีวา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!