ตอนที่ 380
การรบในครั้งนั้น
ใต้ช่องว่างสะพาน ทุกคนพักผ่อนกันอย่างยาวนาน ภายในสนามรบโบราณไม่มีเดือนไม่มีวัน และก็ไม่แยกกลางวันกลางคืน ดูเหมือนว่าเวลาได้หยุดลง
แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าเวลาของที่นี่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ในตอนที่ซีเซียนเสวี่ยฟื้นฟูพลังจิตเสร็จแล้วนั้น พวกมู่ชิงเกอก็รู้แล้วว่าพวกเขาได้เข้ามาในสนามรบโบราณเป็นวันที่สามแล้ว! เพิ่งจะสามวันพวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับเรื่องที่แปลกประหลาดมากมาย ต่อไปก็ไม่รู้ว่ามีอันตรายมากแค่ไหนรอพวกเขาอยู่ และจะมีโอกาสมากมายแค่ไหนที่เรียกหาพวกเขา!
“เดินทางต่อเถอะ” จีเหยาฮั่วคลี่พัดออกมา พัดไปด้านหน้า
พริบตานั้นก็ดูเหมือนดั่งคุณชายผู้สูงสง่า เพียงแต่ว่าท่าทางที่ดูสูงสง่าของเขาอยู่ได้แค่เพียงพริบตาเดียวก็กลับคืนสู่นิสัยเดิมที่ขี้เล่นของเขาแล้ว จีเหยาฮั่วยิ้มมายังด้านหน้าของมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ ทวนหลิงหลงของเจ้าร้ายกาจมาก เจ้าก็อยู่ ด้านหน้าเถอะ ข้าจะระวังหลังเอง!”
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างขบขัน นางก็มีความคิดเช่นนี้
ทั้งสี่คนจัดรูปแบบ มู่ชิงเกอและจีเหยาฮั่วปิดหัวปิดท้าย ซีเซียนเสวี่ยและอิ๋งเจ๋ออยู่ตรงกลางสังเกตซ้ายขวา เดินเข้าไปในสนามรบโบราณ
นอกจากมู่ชิงเกอที่ยังมีจุดมุ่งหมายอย่างอื่นแล้ว ที่เหลืออีกสามคนก็มาที่นี่เพื่อฝึกฝน
ในเมื่อเป็นการฝึกฝน ไม่ว่าจะพบเจออันตรายหรือไม่ก็ ต้องเดินต่อไป!
ทั้งสี่คนเดินไปนานมาก
ทันใดนั้นตรงหน้าของพวกเขาก็สว่างขึ้นมา สายตาเปลี่ยนเป็นกว้างไกล ไม่มีสิ่งกีดขวาง ภูเขาสีดำที่มีมาตลอดเส้นทางก็ถอยออกไปไกลจนมองเห็นเพียงแค่โครงร่างรางๆ และโครงร่างเหล่านั้นก็ถูกหมอกบดบังจนเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจน ใต้เท้าของพวกเขากลายเป็นที่ราบกว้างใหญ่…
“ที่นี่เป็นสถานที่อะไรกัน?” จีเหยาฮั่วยื่นหัวออกมาจากด้านหลัง มองภาพตรงหน้าอย่างตกตะลึง
ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสี่คนเป็นที่ราบกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ที่ราบแห่งนี้เกลี้ยงเกลาดุจกระจกสะท้อนแสงแวววาว
เมื่อคนเดินไปด้านบนก็จะเปลี่ยนเป็นระมัดระวังมาก ด้วยกลัวว่าจะทำให้กระจกแตกแล้วตนเองจะตกลงไป
มู่ชิงเกอก้าวเท้าข้างหนึ่งลงไปบนพื้น
ติ๋ง!
ทันใดนั้นทั้งช่องว่างก็เกิดเสียงสะท้อนกลับมา เสียงก้าวเท้านี้ดูเหมือนจะถูกขยายให้ดังขึ้นจนสะท้อนไปทั่วทั้งช่องว่าง
สะท้อนถึงเก้าครั้งถึงได้หายไป
“ให้ตาย!” จีเหยาฮั่วตะโกนออกมาอย่างตกตะลึง
และที่ตามมานั้นก็เป็นเสียงสะท้อนจากรอบด้าน ‘ให้ตาย! ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย’
เสียงนี้สะท้อนไม่หยุด จนคอของจีเหยาฮั่วแข็งค้าง เผยร่องรอยของความกระดากใจออกมา
รอจนเสียงของเขาหายไปแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้กดเสียงให้เบาลงเอ่ยว่า “ดูแล้วพวกเราไม่สามารถพูดเสียงดังและก็ไม่อาจจะเคลื่อนไหวเสียงดังเกินไปที่นี่ได้”
ทั้งสามคนพยักหน้า โดยเฉพาะจีเหยาฮั่วที่พยักหน้าอย่างรุนแรงเป็นพิเศษ
เมื่อทั้งสามคนเตรียมใจเรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้เอ่ย ว่า “ไปกันเถอะ”
พูดจบแล้วก็ยังคงเป็นนางที่ก้าวเข้าไปเป็นคนแรก สามคนด้านหลังรีบตามไป ความแปลกประหลาดของที่นี่ทำให้พวกเขาระมัดระวังเป็นพิเศษ สังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้าน
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง!
แม้ว่าพวกเขาจะระวัง แต่ทุกๆ ก้าวก็ยังเกิดเสียงดังขึ้นและสะท้อนอยู่ดี
เมื่อเดินเข้าไปใกล้หน่อย มู่ชิงเกอถึงได้พบว่า พื้นของที่นี่ ที่พูดว่าเหมือนกระจกนั้น น่าจะพูดว่าเหมือนแก้วเสียมากกว่า เพราะว่าใต้เท้าของพวกเขามีบางสิ่งอยู่ และพวกเขาก็สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน!
“นี่…พวกนี้คือ…” ซีเซียนเสวี่ยอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ เมื่อเห็นมู่ชิงเกอสังเกตพื้นใต้เท้านั้นนางก็สังเกตตาม และก็พบบางอย่างในนั้น เสียงของนางดึงดูดให้อิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วสนใจ พวกเขาก็มองลงไปใต้พื้นพร้อมกัน ชั่วขณะนั้นนัยน์ตาก็หด ตัวลง
ครู่หนึ่งจีเหยาฮั่วถึงได้พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นๆ ว่า
“พวกเขาตายแล้วหรือว่าแค่หลับอยู่?”
ทันใดนั้นก็มีลมเย็นพัดเข้ามาที่หลังคอของพวกเขา ชั่วขณะนั้นก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่ากระดูกสันหลังหนาวเย็นเยือก
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ ขมวดคิ้วแล้วก็เดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว แล้วถึงได้ชันเข่าลงใช้มือลูบไปบนพื้น มองดูบรรยากาศด้านล่าง
เมื่อนางก้มลงแล้ว สามคนที่เหลือก็ก้มลงตาม ดูโลกใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาอย่างละเอียด
ใต้เท้าของพวกเขาเหมือนถูกพื้นโปร่งใสผนึกโลกอีกใบหนึ่งเอาไว้โลกเมื่อนับแสนปีก่อนใต้เท้าของพวกเขานั้น มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนพวกเขาถืออาวุธ ท่าทางดูบ้าคลั่งฆ่าล้างกันและกัน
“นี่ก็คือภาพบรรยากาศมุมใดมุมหนึ่งในสงครามครั้งนั้นงั้นหรือ?” ซีเซียนเสวี่ยยืนขึ้นมา
ภาพที่ปรากฎอยู่ใต้พื้นนั้นน่าตกใจมาก แม้นางจะเป็นถึงธิดาเทพ แต่ก็ไม่เคยเห็นคนของเผ่าเทพมาก่อน และยิ่งไม่ต้องพูดไปถึงคนของเผ่ามาร
ที่แท้แล้วคนของเผ่าเทพมารก็ไม่ได้แตกต่างไปจากพวกเขาเลย
พวกเขามีรูปร่างเหมือนกัน ที่ไม่เหมือนก็มีแต่ความแข็งแกร่ง และอ่อนแอ เท่านั้น!
“สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงๆ หรือว่าเป็นเพียงแค่ภาพมายากันแน่?” อิ๋งเจ๋อก็เอ่ยอย่างตะลึงออกมา
แต่จีเหยาฮั่วกลับเอ่ยขึ้นในเวลานี้ว่า “ที่ข้าเป็นห่วงก็คือ ถ้าหากว่าพวกเขาเป็นของจริง ทั้งยังไม่ตาย เพียงแต่ถูกผนึกไว้ที่นี่เท่านั้น หากว่าพวกเราไม่ระวังทำที่นี่แตกไป แล้วพวกเขาฟื้นขึ้นมาล่ะ พวกเราจะทำอย่างไรดี?”
คำพูดของเขาทำให้อิ๋งเจ๋อและซีเซียนเสวี่ยขมวดคิ้วขึ้น ครั้งนี้พวกเขารู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของจีเหยาฮั่วว่าไม่ได้ดูเหลวไหล
ถ้าหากว่าคนของเผ่าเทพมารเมื่อแสนปีก่อนเหล่านี้ฟื้นตื่นขึ้นมา เกรงว่ามันอาจจะเป็นหายนะสำหรับพวกเขา
อิ๋งเจ๋อมองออกไป ที่ราบเรียบแห่งนี้ดูไร้ที่สิ้นสุด ใครก็ไม่รู้ว่าพื้นด้านล่างนี้จะมีเทพมารจำนานมากมายขนาดไหน!
มู่ชิงเกอค่อยๆ ยืนขึ้นมา มองไกลออกไป แล้วเอ่ยกับทั้งสามคนว่า “เดินไปดูข้างหน้าต่อกันเถอะ”
ในใจของนางนั้นตื่นเต้นมาก เข้ามาตั้งหลายวัน ในที่สุดก็ได้พบกับซากศพเทพมารที่สมบูรณ์ไร้ตำหนิ รู้สึกมีความหวังว่าจะได้เลือดของเทพมารแล้ว
แต่ว่า คำพูดของอิ๋งเจ๋อและจีเหยาฮั่วนั้นกลับทำให้นางต้องครุ่นคิดอีกครั้ง
นางไม่แน่ใจว่าภาพที่เห็นด้านหน้านั้นเป็นของจริงหรือของปลอม และหากเป็นของจริง เกิดว่ายังไม่ตายเพียงแต่ถูกผนึกไว้เหมือนดั่งที่จีเหยาฮั่วพูด…หากนางเปิดออกแล้วพวกเขาฟื้นขึ้นมาละจะทำอย่างไรดี?
นางยังไม่ได้บ้าถึงขนาดจะคิดว่าระดับพลังของตนเองในตอนนี้จะต่อสู้ชนะเทพมารเมื่อแสนปีก่อนได้!
ดังนั้น นางจึงตัดสินใจจะเดินไปข้างหน้าต่อ สำรวจอีกรอบ
ทั้งสี่คนเดินไปบนพื้นด้วยความเงียบ แต่ข้างหูก็ยังได้ยินเสียงก้าวเท้าดังสะท้อนอยู่เหมือนเดิม
ยิ่งพวกเขาเข้าไปลึกมากขึ้น ภาพใต้เท้าของพวกเขาก็ยิ่งน่าตกตะลึงมากขึ้น
ใต้พื้นที่โปร่งใสนั้น ที่พวกเขามองเห็นไม่ได้มีเพียงแต่ภาพเผ่าเทพมารฆ่าล้างกันเท่านั้น ยังมีภาพรถศึกชนกัน สัตว์อสูรที่เป็นพาหนะคำรามอย่างบ้าคลั่ง เสียงเกือกม้า ดูเหมือนว่าจะสะท้อนไม่หยุดอยู่ข้างหู พวกเขาทั้งสี่คนเห็นและรับรู้ได้ถึงความความดุเดือดของสงครามในครั้งนั้น พวกเขามองเห็นความบ้าคลั่งและเกรี้ยวกราดบนใบหน้าของคนเผ่าเทพและมาร มองเห็นความเฉยชาและไอสังหารบนใบหน้าของคนเผ่าเทพ สงครามในครั้งนั้น ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร แล้วฝั่งไหนเป็นฝ่ายเริ่มยั่วยุก่อน?
ผ่านไปเป็นแสนปี ไม่มีใครรู้แล้ว คนที่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นเหล่านี้ดูเหมือนมีชีวิต เหมือนถูก ผนึกไว้ในระหว่างทำสงคราม ท่าทางในเวลานั้นยังคงถูกรักษาเอาไว้ดังเดิมเหมือนเมื่อแสนปีก่อน
“ข้ารู้สึกได้ว่าสงครามครั้งนั้นโหดร้ายทารุณมาก!” จีเหยาฮั่วเก็บท่าทางที่ดูขี้เล่นของตนเองกลับไป เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น
นับตั้งแต่เพิ่งเข้ามาจนมาถึงตอนนี้ เขามองเห็นความตายมากเกินไป สงครามโบราณนี้เป็นเหมือนหลุมฝังศพ!
“บางทีภาพเหล่านี้ก็ทำให้พวกเราได้เห็นความเป็นจริงของสงครามเมื่อแสนปีก่อน” อิ๋งเจ๋อเอ่ยเสียงเข้ม
ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหวั่นไหว เอ่ยปากถามว่า “ภายในตำหนักเทพเขียนบันทึกถึงสงครามในครั้งนี้ว่าอย่างไร?”
ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่านางถามซีเซียนเสวี่ย ดังนั้นหลังจากเสียงของมู่ชิงเกอจบลงแล้ว จีเหยาฮั่วและอิ๋งเจ๋อก็ล้วนแต่มองซีเซียนเสวี่ย
ซีเซียนเสวี่ยเม้มริมฝีปากเอ่ยว่า “บันทึกในตำหนักเทพ เพียงแต่พูดว่าในการศึกครั้งนั้น สุดท้ายแล้วเผ่าเทพชนะ เป็นเพราะว่าสงครามในครั้งนั้นได้ทำลายโลกมนุษย์ไปไม่น้อย บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในเผ่าเทพทนไม่ได้ที่จะเห็นสิ่งมีชีวิตถูกทำลาย ดังนั้นในตอนที่เผ่ามารส่งหนังสือหย่าศึก มาจึงเสนอให้รวมพลังของสองเผ่าผนึกที่นี่เอาไว้ เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ทำลายสถานที่อื่นๆ ต่ออีก ส่วนนับตั้งแต่นั้นมาเผ่าเทพและมารก็แบ่งเขตแดนกันในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร จัดตั้งเส้นแบ่งเขต คนของเผ่าเทพผ่านไปไม่ได้ คนของเผ่ามารก็เข้าไม่ได้”
‘จัดตั้งเส้นแบ่งเขต?’ มู่ชิงเกอฟังมาถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว เห็นชัดๆ ว่าซือมั่วสามารถรู้ข่าวสารของเผ่าเทพได้ เช่นนั้นก็หมายถึงว่า ภายในเผ่าเทพนั้นมีสายสืบของเขาแฝงตัวอยู่ หรือไม่ก็เขามีวิธีที่จะเข้าไปในเมืองของเผ่าเทพ
สำหรับสงครามในครั้งนั้น…
มู่ชิงเกอก็เพียงแค่ฟังๆ ไปเท่านั้น นางรู้ว่าอะไรเรียกว่าการเขียน อะไรที่เรียกว่าประวัติศาสตร์บนหนังสือล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถูกคนดัดแปลงขึ้นมาทั้งนั้น “ข้าเคยได้ยินอาจารย์พูดว่าหลังจากจบศึกครั้งใหญ่แล้ว เมืองของเผ่ามารก็แตกแยกเป็นหลายส่วน หลังจากราชาเผ่ามารคนเก่าลงจากตำแหน่งไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ราชาคนใหม่ก็เก่งกาจมาก ใช้เวลาสั้นๆ เพียงแค่หมื่นปีรวมเมืองของเผ่ามารให้เป็นหนึ่ง เหมือนว่าจะมีสัญญาณความเคลื่อนไหวบางอย่าง” ซีเซียนเสวี่ยพูดถึงข่าวลับข่าวหนึ่งออกมาอีก
คนที่พูดไม่ได้คิดอะไร แต่คนที่ได้ยินกลับคิด
มู่ชิงเกอใจเต้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางรู้สึกอยู่ตลอดว่าราชาคนใหม่ของเผ่ามารที่ซีเซียนเสวี่ยพูดถึงนั้นเป็นซือมั่ว!
ซือมั่วเป็นคนของเผ่ามารนั้นไม่ใช่ความลับอีกแล้ว ในใจนางรู้ดี
และในสายตาของนาง ซือมั่วไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของคนอื่น!
ดังนั้นเขามีโอกาสที่จะเป็นราชาคนใหม่ของเผ่ามาร!
มู่ชิงเกอรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเต้นเร็วขึ้น ดูเหมือนว่าจะเห็นซือมั่วได้ชัดเจนขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้นางก็สามารถถามกับซือมั่วไปตรงๆ เพราะเขาจะไม่ปิดบังนาง
แต่ทั้งสองคนก็ชอบความรักที่เหมือนการละเล่นเช่นนี้ คนหนึ่งไม่ถาม คนหนึ่งไม่พูด ให้ทุกอย่างค่อยๆ เผยออกมาเอง
“สนใจพวกเขาเผ่าเทพมารไปทำไม ถึงอย่างไรแล้วก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร…” จีเหยาฮั่ว ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ห่างจากพวกเราไกลเกินไป”
เขาพูดตามจริง เพราะภายในหลายพันปีมานี้ก็ไม่มีตำนานว่ามีใครได้เข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารมาก่อน
แต่ว่า ทันใดนั้นซีเซียนเสวี่ยกลับพูดขึ้นมาว่า “ไม่! เจ้าพูดผิดแล้ว แผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารไม่ได้ไกลไปจากพวกเรา! หลังจากนี้ห้าปี สุสานเทพจะเปิด พูดกันว่าในตอนที่สุสานเทพเปิดขึ้นนั้น สุสานมารก็จะเปิดออกพร้อมกัน สถานที่ทั้งสองอาจจะเกิดขึ้นทับซ้อนกัน”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!”
คนที่ตกตะลึงก่อนใครนั้นไม่ใช่จีเหยาฮั่วและมู่ชิงเกอ แต่เป็นอิ๋งเจ๋อ!