Skip to content

พลิกปฐพี 413

ตอนที่ 413

งานเลี้ยง

“อำมหิตถึงเพียงนี้เชียว!” ชิงเจ๋อสบถออกมาอย่างเย็นชา

เยี่ยนหย่าตกใจกับคำพูดของหมอหลวงเฒ่ามาก เดิมนางคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นความลับมาก แต่กลับยังมีคนนอกรู้อีก ทั้งคนๆ นี้กลับยังไม่ตายและยังมาปรากฎ ตัวอยู่ต่อหน้านางในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดอีก

“ไม่! เจ้าพูดจาเหลวไหล! ข้าเพียงแต่ส่งของบำรุงให้แก่นาง ไม่เคยวางยาอะไร” เยี่ยนหย่าร้อนใจ นางคิดจะหาคนสักคนที่สามารถพึ่งได้ แต่กลับพบว่าพวกหลิงจิวสี่คนมองมาอย่างเย็นชา ส่วนพวกสั่วเซิ่งก็ออกตัวปกป้องตนเองอย่างเห็นได้ชัด นางรู้สึกสิ้นหวัง ชี้ไปยังมู่ชิงเกอและตะคอกว่า “เป็นเจ้า! เป็นเจ้าใส่ร้ายข้า! เจ้าคิดทำร้ายข้า!”

มู่ชิงเกอมองนางอย่างเห็นใจ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เหตุใด ข้าต้องทำร้ายเจ้าด้วย? เป็นข้าเชิญเจ้ามาที่นี่งั้นหรือ? หรือว่าข้าบังคับให้เจ้าตุ๋นนํ้าแกง? ข้าเป็นพระชายา เจ้า เป็นขุนนาง เหตุใดข้าต้องให้ร้ายเจ้าด้วย?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น!” เยี่ยนหย่าพยายามคิดหาวิธีให้ตนเองรอด นางร้องออกไปว่า “เป็นเพราะเจ้าอิจฉา! เจ้าอิจฉาข้า!

“อิจฉา?” มู่ชิงเกอหัวเราะเบาๆ “เหตุใดข้าต้องอิจฉาเจ้า? เจ้ามีสิ่งใดที่คู่ควรให้ข้าอิจฉางั้นหรือ?”

นัยน์ตาของเยี่ยนหย่าเกิดความสับสนวุ่นวาย นางตะคอกออกไปว่า “เจ้าอิจฉาข้าที่รู้จักองค์ราชาก่อนเจ้า เจ้ากังวลว่าองค์ราชาจะรำคาญเจ้า เจ้ากังวลว่าสุดท้ายแล้วข้าต่างหากถึงจะเป็นนายหญิงของวังซานไห่!”

นางตะโกนออกไปแต่กลับทำให้นัยน์ตาของทุกคนในตำหนักฉายแววแปลกประหลาด

“ผู้หญิงคนนี้โง่ไปแล้วใช่ไหม? องคราชาจะชอบนางงั้นหรือ?” หลิงจิวเยาะเย้ยขึ้นมา

ชิงเหยียนยิ้มอย่างเย็นชา ไฝใต้ตาดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น “คิดไร้สาระมากเกินไป จนเป็นประสาทแล้ว”

กู่หยาและกู่เย่มองดูละครเงียบๆ ลอบมองท่าทีอันผ่อนคลายของมู่ชิงเกอ ลอบยกนิ้วโป้งให้นางในใจ ‘คุณชายเยี่ยมมาก!’

ผู้หญิงโง่คนหนึ่งที่หลงรักองค์ราชา เพียงแค่นางมาก็จัดการได้แล้ว

คำพูดของเยี่ยนหย่าทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววดูแคลน

นางมองเยี่ยนหย่าแล้วเอ่ยว่า “ยังไม่ต้องพูดว่าความกังวลใจเหล่านี้ของเจ้านั้นมาจากไหน ก่อนหน้านี้ข้าได้พูดอย่างใจกว้างไปแล้วว่ารอองค์ราชากลับมา จะขอ เขาให้รับเจ้าเข้าวัง เพื่อตอบแทนความรักของเจ้า บรรดานางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ล้วนแต่สามารถเป็นพยานได้ แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าที่เรียกข้าว่าน้องสาว และทำให้ข้าซาบซึ้งใจ เบื้องหลังจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ คิดจะทำร้ายลูกในท้องของข้า”

“เจ้า!” เยี่ยนหย่าทรุดลงไปนั่งกับพื้น มองมู่ชิงเกอ อย่างไร้คำพูดจะตอบโต้

นางไม่มีทางตอกกลับได้เลย เพราะว่าทุกๆ คำที่มู่ชิงเกอพูดนั้นเป็นความจริง!

มู่ชิงเกอถอนหายใจอย่างผิดหวัง นางมองไปยังเจ้าเมืองย่อยทั้งแปดแล้วเอ่ยปากว่า “เจ้าเมืองย่อยทั้งแปด ตอนนี้องค์ราชาไม่อยู่ เรื่องนี้เกี่ยวพันธ์ถึงเจ้าเมืองย่อยคน หนึ่ง ทั้งยังมีองคทายาทที่ยังไม่ทันได้เกิด ข้าเป็นเพียงแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรถึงจะดี พวกเจ้าว่าเรื่องนี้จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นได้หรือไม่?”

นางกวาดตามองไปยังทั้งแปดคน มองทุกอารมณ์บนสีหน้าของพวกเขา

ผู้หญิงอ่อนแอ? เจ้ายังอ่อนแอด้วยหรือ คุณชายไม่อายงั้นหรือ’?

จี่ฝูเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ ก้าวออกไปข้างหน้า คำนับแล้วเอ่ยว่า “ทำร้ายองค์ทายาทแต่เดิมก็มีโทษถึงตายแล้ว อีกอย่างเยี่ยนหย่าไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี คิดจะ ทำลายพระชายา โทษนี้ไม่อาจอภัย”

“ไม่ผิด! เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูด เพียงแค่มีใจคิดร้ายต่อองค์ทายาท ไม่ว่าจะมีเหตุผลอะไรก็ไม่น่าให้อภัยแล้ว” หลิงจิวก็แสดงเจตนาออกมา

“ต้องประหารเสีย!”

“ต้องประหารเสีย!

“ต้องประหารเสีย!”

กำแพงถล่มทุกคนช่วยกันผลัก อีกอย่างเยี่ยนหย่านั้นฝันจะเป็นผู้หญิงของซือมั่วมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ได้คบหากับพวกสั่วเซิ่ง มาตอนนี้จะมีใครช่วยนางพูดอีก?

“ไม่! เจ้าไม่อาจฆ่าข้าได้! องค์ราชาไม่อยู่ ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองย่อย ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นพระชายาก็ไม่สามารถฆ่าข้าได้!” เยี่ยนหย่าคว้าฟางเส้นสุดท้ายคิดจะช่วยชีวิตตนเองเอาไว้

เพียงแต่แค่มีชีวิตอยู่ต่อไป รอจนพบกับองค์ราชาแล้วทุกอย่างก็ยังมีโอกาส!

“ข้าไม่ฆ่าเจ้าแน่” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พูดขึ้น

เพียงแต่ว่า นางเพิ่งจะพูดออกไป กลับทำให้คนอื่นๆ ตะลึง มองนางอย่างมึนงง วันนี้ที่มีการแสดงไม่ว่าจะเป็นใครวางแผน แต่ผลสรุปสุดท้ายก็ต้องคิดจะให้เยี่ยน หย่าตายมิใช่หรือ?

เพียงแต่ว่า เหตุใดมาจนถึงจุดสุดท้ายแล้ว คนที่คัดค้านกลับเป็นมู่ชิงเกอผู้ที่โดนทำร้ายเสียเอง?

อย่าพูดแต่ว่าพวกหลิงจิวไม่เข้าใจเลย พวกสั่วเซิ่งก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน แม้แต่กู่หยาและกู่เย่ก็มึนงง ไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอคิดจะทำอะไร

เยี่ยนหย่ามองมู่ชิงเกอ แต่ก็รู้สึกว่านางไม่มีทางจะใจดีอย่างนั้นแน่

มู่ชิงเกอไม่ใส่ใจสายตาของนาง ค่อยๆ เอ่ยว่า “นางพูดไม่ผิด องค์ราชาไม่อยู่ ข้าจะจัดการเจ้าเมืองย่อยได้อย่างไร? ถึงจะยังไม่ต้องตายตอนนี้ แต่ที่สมควรลงโทษ ก็ต้องลงโทษ”

นางเงยหน้ามองเยี่ยนหย่า “ข้าไม่เข้าใจกฎภายในพระราชวังไท่ฮวง ใครจะบอกข้าได้บ้างว่าจะต้องลงโทษอย่างไร?”

หลิงจิวกลอกตาไปมา เข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอทันที เขามองมู่ชิงเกอ นัยน์ตาเปล่งแสงวาววาบ เขายินดีที่จะร่วมมือกับพระชายาผู้นี้จัดการคน อีกอย่างเขา ก็ไม่ชอบคนผู้นี้มานานแล้วด้วย เขาก้าวออกมา เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ความเป็นความตายของนางสามารถรอองคราชากลับมาค่อยกำหนดได้ แต่ทว่า ก่อนที่องค์ราชาจะกลับมาก็ไม่สามารถให้นางอยู่อย่างสุขสบายได้ ตามกฎแล้ว นางทำร้าย ทายาท โทษนี้จะต้องประกาศไปทั่วทั้งแดนมาร และจะต้องปลดนางออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองย่อย เนรเทศ กลายเป็นทาส ห้อยอยู่กลางเมืองให้แดดเผาหนึ่งเดือน รับการถ่มนํ้าลายจากประชาชน”

“ไม่ ไม่ พวกเจ้าไม่อาจทำเช่นนั้นกับข้าได้! ข้าเป็นเจ้าเมืองย่อย! ข้าเป็นเจ้าเมืองย่อยหญิงเพียงคนเดียวนับตั้งแต่มีแดนมารมา! องค์ราชาจะต้องไม่ยอมให้พวกเจ้า ทำเช่นนั้นต่อข้า!” เยี่ยนหย่าตะโกนออกไปอย่างหวาดกลัว

“ทหาร ลากนางออกไปขังเอาไว้ ห้ามให้พบใครเป็นอันขาด เช้าวันพรุ่งนี้ให้ประกาศไปทั่วทั้งแดนมาร ห้อยนางเอาไว้กลางเมือง” กู่เย่เรียกองครักษ์มารมา

องครักษ์มารไม่รู้จักการรักหยกถนอมบุปผา ลากเยี่ยนหย่าเดินออกไปด้านนอกทันที

เสียงร้องของเยี่ยนหย่าสะท้อนไปมาอยู่ในวังซานไห่ เสียงอันโหยหวนนี้ดูโศกเศร้ามาก

มู่ชิงเกอถอนหายใจอย่าง ‘เห็นใจ’ พึมพำออกมาว่า “ข้าได้รับปากให้นางเข้าวังแล้ว เหตุใดต้องร้อนใจเร่งรีบถึงเพียงนี้ด้วย? แล้วเหตุใดถึงไม่ยอมปล่อยลูกของข้า? ปล่อยนางมีชีวิตต่อไปมอบให้องค์ราชามาจัดการเถอะ”

“พระชายาช่างมีจิตใจดีจริงๆ” หลิงจิวเป็นแกนนำชื่นชม

ทั้งแปดคนถูกเรียกมาดูการแสดง มู่ชิงเกอทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกสั่วเซิ่งสามารถหาข้ออ้างมาโจมตีนางได้หากนางแอบจัดการเยี่ยนหย่าไปอย่างลับๆ

ตอนนี้ทุกอย่างได้ดำเนินการไปอย่างเปิดเผย ใครก็พูดอะไรไม่ได้

มู่ชิงเกอนั้นอ้างว่าตกใจจึงบอกให้คนทั้งแปดและหมอหลวงเฒ่าจากไป หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว กู่หยาและกู่เย่ก็มาเฝ้าอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอเช่นเดิม

“คุณชาย ผู้หญิงเช่นเยี่ยนหย่า เหตุใดต้องพัวพันกับนางอีกด้วย ฆ่าไปก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ?” กู่หยามองมู่ชิงเกออย่างไม่เข้าใจ

มู่ชิงเกอกลับยืดตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยความเกียจคร้าน ขยับแขนขาออกกำลังกาย “เหลือไว้ให้องค์ราชาของพวกเจ้าฆ่าไม่ดีหรือไง? ข้าฆ่าไปแล้ว เกิดเขากลับมา แล้วปวดใจเล่าจะทำอย่างไร?”

พูดแล้วนางก็เบ้ปาก

ถึงจะพูดว่าเป็นผู้หญิงมีใจให้เอง แต่นางก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ดี

คำพูดของนางทำให้กู่หยาและกู่เย่คอแข็งทื่อขึ้น ไม่กล้าพูดมาก เกรงว่าจะชักนำเปลวไฟมาเผาตนเอง

หลังจากขยับเคลื่อนไหวแขนขาที่นอนจนชาแล้ว มู่ชิงเกอก็เอามือไพล่หลังยืนอยู่ในตำหนัก ถอนหายใจเอ่ยว่า “สงครามในวังเช่นนี้ช่างน่าปวดหัวจริงๆ”

นางชอบการฆ่าศัตรูทิ้งภายในกระบวนท่าเดียวมากกว่า!

เยี่ยนหย่าผู้นั้นก็หาเรื่องตายเอง เดิมทีนางยังคิดจะใช้วิธีที่ไม่ค่อยโปร่งใสจัดการนาง แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเตรียมตัวมาพร้อมสรรพ ลดความวุ่นวายของตนเองไปได้มาก

“อยู่ในพระราชวังไท่ฮวงคุณชายสามารถทำอะไรตามใจชอบได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร” กู่เย่เงยหน้าแล้วพูดออกมาประโยคหนึ่ง

แต่มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “ตอนนพระราชวังไท่ฮวง กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อน ข้าไม่อาจทำให้ศัตรูมีข้ออ้างได้ เพียงแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายหน่อยก็เท่านั้น ผลลัพธ์ที่ข้าต้องการก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ไม่ถือว่าเป็นอะไรมาก”

พูดแล้ว นางก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง มองดูกู่หยา และกู่เย่ “หากมีสักวันที่ข้าได้ครอบครองวังซานไห่แห่งนี้จริงๆ แล้วมีผู้หญิงกล้ามาตอแยองค์ราชาของพวกเจ้า ข้าก็จะไม่ทักทายหรือสนใจใคร จะทุบตีให้พิการแล้วโยนออกไป ของของข้า คนของข้า ใช่สิ่งที่ใครจะมาหมายปองได้งั้นหรือ?”

กู่หยาและกู่เย่พยักหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ดูเหมือนว่าการกระทำอย่างอหังการเช่นนี้ถึงจะเหมาะกับนิสัยของคุณชาย ถึงแม้วันนี้จะจัดการจนเยี่ยนหย่าไร้คำจะพูด และก็ทำให้เจ้าเมืองย่อยเหล่านั้นหาข้ออ้างอะไรมาไม่ได้ แต่ก็ยังทำให้คุณชายรู้สึกอึดอัดอยู่ดี

‘ทุกอย่างนี้ก็เพื่อองค์ราชา!’ กู่หยาและกู่เย่มองตากันเงียบๆ ในใจก็คิดไป หากไม่ใช่เพื่อช่วยซือมั่วรักษาความสงบในเมืองไท่ฮวงแล้ว มู่ชิงเกอจะยอมทนงั้นหรือ?

“องค์ราชาของพวกเจ้า…มีข่าวใดๆ มาหรือไม่?” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้ว เอ่ยถามออกไป นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล

ประโยคนี้ดูเหมือนว่ามู่ชิงเกอจะถามเกือบทุกๆ ครึ่งวัน

แม้ในใจของนางจะรู้ดีว่า เพียงแค่มีข่าวอะไร กู่หยาและกู่เย่จะต้องบอกนางก่อนแน่นอน แต่นางก็ยังอดถามออกไปไม่ได้

ดูเหมือนว่าหากไม่ได้ถามแล้วนางจะรู้สึกไม่สงบ ความกลัวไร้ที่มากำลังรัดพันนางอยู่

“คุณชายวางใจได้ ตะเกียงชีวิตขององค์ราชายังอยู่ดี อยู่องค์ราชาจะต้องไม่เป็นอะไรมากอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังตามหาไม่เจอชั่วคราวก็เท่านั้น” กู่หยาปลอบ ใจ

มู่ชิงเกอหลุบตาลง สายตาไปหยุดอยู่ที่กระดิ่งที่เอวของตนเอง นางใช้นิ้วเกี่ยวกระดิ่งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แล้วเขย่าเบาๆ

เสียงกระดิ่งอันสดใสดังขึ้นในวังซานไห่ แต่ก็ไม่มีอะไรตอบกลับมา

ภายใต้ความมืดในหนองนํ้าแห่งหนึ่งที่ห่างไกลไปจากพระราชวังไท่ฮวงนับหมื่นลี้ เสียงกระดิ่งเสียงหนึ่งดังลอยออกมา เมื่อคนที่เดินผ่านมาริมฝังได้ยินเข้าก็สะดุ้ง ตกใจ

“เสียงอะไรน่ะ?”

“ดูเหมือนจะเป็นเลียงกระดิ่งนะ!”

“ที่นี่จะไปมีกระดิ่งได้อย่างไร?”

“ตรงนั้นเหมือนจะมีคน!”

ภายในวังซานไห่ นางกำนัลดึงผ้าคลุมไข่มุกราตรีออก แสงสว่างเย็นตาสาดกระจายออกมาจากไข่มุกราตรี ทำให้ตำหนักใหญ่สว่างขึ้น

แสงสว่างจากไข่มุกราตรียังไม่เพียงพอ นางกำนัลจึงนำเทียนมาเสริม

แสงสีเหลืองส้มและสีสดใสเกี่ยวพันกันทำให้เกิดความสว่างไสวไปทั่วทั้งวังซานไห่

กู่หยาเดินมาถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยกับนางว่า “พระชายา วังหน้ามีการจัดงานเลี้ยงและเชิญท่านไปร่วมงาน”

มู่ชิงเกอวางบันทึกในมือลง เงยหน้ามองไปยังกู่หยา รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “ตอนนี้ซือมั่วไม่อยู่ ข้าก็ไม่ได้จัดงานเลี้ยง แล้วเป็นใครที่สามารถจัดงานเลี้ยงในพระราช วังไท่ฮวงทั้งยังเชิญข้าไปร่วมอีก?”

นัยน์ตาของกู่หยาฉายแววหนักอึ้ง เอ่ยตอบว่า “เป็นเจ้าเมืองย่อยสั่วเซิ่ง เซ่อฉิน ซู่เหยียนและซูเฉวียนจัดขึ้น พูดว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับพระชายา”

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะออกมา “ซือมั่วไม่อยู่ พวกเขาจึงคิดว่าตนเองเป็นเจ้านายไปแล้วจริงๆ”

นางนั้นเป็นนายหญิงแห่งพระราชวังไท่ฮวง ยังต้องการพวกเขามาจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้อีกหรือ?

“ที่พูดว่าต้อนรับนั้นน่าจะเป็นเท็จ มีเจตนาไม่บริสุทธิ์นั้นถึงเป็นของจริง” มู่ชิงเกอพูดอย่างเย็นชาออกไปประโยคหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!