Skip to content

พลิกปฐพี 415

ตอนที่ 415

พวกเจ้ายังมีหน้ามาดื่มกิน!

“คำถามของพวกเจ้าก็ได้ถามแล้ว ตอนนี้ถึงตาข้าถามบ้าง” มู่ชิงเกอยืนอยู่ตำแหน่งประธานของงานเลี้ยง ร่างกายเหยียดตรง นัยน์ตาดุดัน

งานเลี้ยงที่แต่เดิมสมควรดื่มกินกันอย่างมีความสุข กลับถูกนางทำลายลงทีละน้อย เปลี่ยนเป็นเงียบสงบและเข้มงวดเหมือนหอลงทัณฑ์

ผ้าม่านเป็นชั้นๆ ขวางกั้นทำให้บรรดาเหล่าคนชั้นสูงของเผ่ามารที่มาร่วมงานมองเห็นสีหน้าของนางได้ไม่ชัดเจน เห็นเพียงแต่เงาร่างคลุมเครือกับนํ้าเสียงที่เย็นชา

เสียงนั่นดูน่าฟังมากแต่กลับให้ความรู้สึกที่ทรงพลัง

ด้านนอกตำหนัก เหล่านางรำที่คุกเข่าอยู่กับพื้นลอบ มองมาที่พระชายาของตนเอง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคารพบูชา

พวกนางยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่สามารถพูดจาอย่างอหังการไม่ตกเป็นรองเช่นนี้ต่อหน้าคนใหญ่คนโตเหล่านี้มาก่อน บรรยากาศอันทรงอำนาจแผ่โอบคลุมไปทั้งตำหนัก

หลิงจิวลอบมองจี่ฝูที่อยู่ด้านข้าง ดูเหมือนกำลังถามว่า ‘พระชายาผู้นี้คิดจะทำอะไร’

จี่ฝูเพียงแต่ส่ายหน้าเงียบๆ ส่งสายตาให้เขาอยู่เฉยๆ

อีกด้านหนึ่ง ชิงเหยียนก็มองไปยังชิงเจ๋อเช่นเดียวกัน ความหมายในสายตาของเขาคล้ายกับของหลิงจิว

ชิงเจ๋อมองมาแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้น ดูเหมือนกำลังพูดว่าไม่ว่าพระชายาคิดจะทำอะไร พวกเขาสี่คนก็เพียงคอยสนับสนุนนางก็พอ คานอำนาจ ทำให้ราชสำนักสงบ เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องทำในเวลานี้

ในระหว่างที่ทั้งสี่คนส่งสายตาหากันนั้นก็ได้เข้าใจตรงกันแล้ว

ส่วนฝั่งทางสั่วเซิ่งสี่คนก็ได้ลอบส่งสายตาหากันเช่นเดียวกัน พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่ามู่ชิงเกอคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่การถูกผู้หญิงคนหนึ่งกดดันนั้นก็ทำให้พวกเขาไม่พอใจ

ภายในงานเลี้ยงเงียบมาก

เพราะไม่รู้ว่าพระชายาคิดจะทำอะไรดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก

มู่ชิงเกอคลี่ยิ้มออกมา นางใช้นัยน์ตาที่เย็นชากวาดมอง ไปยังคนที่อยู่หลังผ้าม่าน ค่อยๆ เอ่ยปากพูดว่า “องค์ราชาหายสาบสูญ แต่พวกเจ้ากลับมีกะจิตกะใจมาดื่ม กินกันอยู่ที่นี่ นี่เป็นความจงรักภักดีของพวกเจ้างั้นหรือ?”

ประโยคนี้สั้นมาก

แต่กลับทำให้สีหน้าของคนหลังผ้าม่านเปลี่ยนไปในทันที! โทษหนักเพียงนี้พวกเขาไม่อาจรับไหว

ซู่เหยียนยืนขึ้นมาพูดกับมู่ชิงเกอผ่านผ้าม่านว่า “พระชายา องค์ราชาหายสาบสูญนั้นพวกเราก็ร้อนใจมาก งานเลี้ยงในวันนี้จัดเพื่อท่าน…”

“เพื่อข้า?” มู่ชิงเกอตัดบทคำพูดของเขาอย่างไม่เกรงใจ

สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของซู่เหยียนเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูมาก

แต่เนื่องจากมีผ้าม่านกั้นอยู่จึงไม่มีใครเห็น

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “เจ้าเมืองย่อยซู่เหยียน เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

มู่ชิงเกอค่อยๆ นั่งลง เอนหลังพิงเกาอี้ ใช้นิ้วเคาะพนักเก้าอี้เบาๆ “ที่นี่เป็นพระราชวังไท่ฮวงขององค์ราชา ส่วนข้าก็เป็นพระชายาของเขา กลับมาบ้านของตนเอง จำเป็นต้องให้คนนอกอย่างพวกเจ้ามาเลี้ยงต้อนรับด้วยงั้นหรือ?”

ซู่เหยียนไร้คำพูดจะตอบโต้

ความแข็งกร้าวของมู่ชิงเกอทั้งยังมีบรรยากาศที่กดดันคนนี้ทำให้เขาไม่รู้จะไประบายความโกรธที่ไหนดี

เขาเบิกตากว้างมองไปยังมู่ชิงเกออย่างโกรธแค้น ไอพลังมารสีดำรวมตัวอยู่ในฝ่ามือ

ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งมากดที่ข้อมือของเขา

เขาหันไปมองก็พบว่าซูเฉวียนกำลังส่ายหน้าให้เขา

ซู่เหยียนสบถไปหนึ่งคำ แล้วก็นั่งลงอย่างโมโห หันหน้าไปอีกทางดูเหมือนจะไม่อยากสนใจมู่ชิงเกออีก

สั่วเซิ่งเอ่ยปากว่า “พระชายาเข้ามายังพระราชวังไท่ฮวงเป็นครั้งแรก ทั้งองค์ราชาก็ไม่อยู่ อีกอย่างท่านกับองค์ราชาก็ยังไม่ได้อภิเษกสมรสกัน หากจะพูดว่าเป็นเจ้า นายก็ดูจะไกลเกินไป”

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ นัยน์ตาฉายแววดุดัน “ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีงานแต่งงาน แต่ข้าก็ยังเป็นนายหญิงของที่นี่อยู่ดี อย่างเพิ่งรีบโต้แย้ง อย่าลืมเล่าว่าลูกในท้องของข้านั้น เป็นประมุขของพวกเจ้าในอนาคต”

ประมุขในอนาคต!

คำเหล่านี้ทำให้นัยน์ตาของคนนับไม่ถ้วนหดตัวลง

“การทำตัวเป็นเจ้าของบ้านของพวกเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัด คิดว่าหลังจากองค์ราชากลับมาแล้วคงจะผิดหวังมาก” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้น

“โอหังเกินไปแล้วจริงๆ! สถานะของเจ้าองค์ราชายังไม่ทันได้รับรองเลย แต่ตอนนี้กลับยกตัวเป็นพระชายาแล้ว! พวกเราไม่ยอม!” ทันใดนั้นก็มีคนยืนขึ้นมาโต้แย้ง

ความแข็งกร้าวของมู่ชิงเกอทำให้พวกเขาบางคนรับไม่ได้ ไม่ยินยอม

เสียงโต้แย้งทำให้มู่ชิงเกอมองไป ยิ้มเยาะเย้ยแต่ไม่พูดจา

“ใครกล้าไม่ยอม!” ในเวลานี้เอง จี่ฝูก็เอ่ยปากแล้วยืนขึ้นมา

“ไม่ผิด! ข้าจะดูสิว่าวันนี้มีใครกล้าไม่ยอม? สถานะของพระชายาเป็นสิ่งที่เจ้าพวกว่างงานอยู่กับบ้านเหล่านี้ คิดสงสัยได้ง่ายๆ งั้นหรือ?” หลิงจิวก็ยืนขึ้นมาเอ่ยเยาะ เย้ย

“หลิงจิว เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก!” มีอีกเสียงหนึ่งดังออกมา

หลิงจิวยิ้มเยาะ “เกินไปรึ? จะเทียบกับพวกเจ้าที่ไม่เคารพพระชายา ไม่รู้จักเจ้านายและบ่าวได้อย่างไร?”

“ชิ หาผู้หญิงมาสักคนแล้วก็พูดว่าตนเองเป็นพระชายา ผู้หญิงคนนี้พวกเจ้าเป็นผู้หามา มันแน่นอนอยู่แล้วที่พวกเจ้าจะสนับสนุน เช่นนั้นพวกเราก็จะไปหาผู้หญิงมา เช่นเดียวกัน พูดว่านางก็เป็นผู้หญิงขององค์ราชา แล้วก็เป็นพระชายาอีกดีหรือไม่?” มีคนพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

บรรดาคนชั้นสูงที่ว่างงานเหล่านี้เริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้ว

ดูเหมือนว่าคิดจะเอาความโกรธแค้นที่โดนมู่ชิงเกอกดดันเมื่อครู่ไปลงกับพวกหลิงจิว

ส่วนพวกสั่วเซิ่งกลับเงียบลงในเวลานี้ ดูเหมือนกำลังรอดูสถานการณ์

แต่ว่าคำพูดด้วยความโกรธนี้ดูเหมือนจะสะกิดใจพวกเขาเข้า พวกเขาทั้งสี่ลอบส่งสายตาปรึกษากันว่าวิธีนี้เป็นไปได้หรือไม่

หากพวกเขาหาผู้หญิงคนหนึ่งมาแล้วบอกว่าเป็นผู้หญิงขององค์ราชา จะสามารถทำลายอำนาจของพระชายาผู้นี้ลงได้หรือไม่?

มู่ชิงเกอเหมือนมองความคิดของพวกเขาออก นางหัวเราะเยาะขึ้นมา “เจ้าคิดว่าองค์ราชาของพวกเจ้าเป็นอะไร พวกผู้หญิงตามรายทางก็สามารถชอบลงได้งั้น หรือ?”

ในคำพูดเสียดแทงนี้ก็ยังไม่ลืมที่จะชมตนเอง ความหมายนอกเหนือจากคำพูดนี้ก็คือนางนั้นไม่ใช่คนที่ผู้หญิงธรรมดาทั่วๆ ไปจะเปรียบเทียบด้วยได้

มู่ชิงเกอหัวเราะเยาะ “ไม่ว่าพวกเจ้าจะสงสัยอย่างไร ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นตัวปลอม แต่คนลงมือคนแรกนั้นเรียกว่าฉลาด ส่วนคนที่สองนั้นเรียกว่าโง่”

พูดจบแล้วนางก็กวาดตามองไปยังที่ที่พวกสั่วเซิ่งอยู่ เหมือนไม่ได้ตั้งใจ

นางสงบและสุขุมถึงขนาดนี้ ความเด็ดขาดเช่นนี้คนธรรมดาไม่มีทางมีได้แน่

แม้จะถูกกั้นด้วยผ้าม่านแต่พวกสั่วเซิ่งสี่คนก็สัมผัสได้ถึงสายตาอันแข็งกร้าว หัวใจพวกเขาเต้นแรงขึ้น พวกเขารู้ว่านี่เป็นการเตือน พระชายาผู้นี้กำลังเตือนพวกเขาว่า อย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ ที่จะทำให้คนหัวเราะเยาะเอาได้ พวกสั่วเซิ่งสี่คนตกตะลึงมาก

‘ผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว!’

ความร้ายกาจของนางไม่ใช่ระดับพลัง แต่เป็นความเฉลียวฉลาดและความหยิ่งผยอง

ความหยิ่งผยองเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะนางมีความกล้ามากก็คือมีความมั่นใจมาก!

และก็บังเอิญมากที่มู่ชิงเกอมีครบทั้งสองอย่าง!

นางสามารถทั้งอยู่อย่างสงบสุขุมได้ ไม่ว่าทุกคนจะถามอย่างไรก็เอาหลักฐานออกมาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องคิดจะทำให้นางยอมถอย

สองฝ่ายที่กำลังโต้แย้งกันอย่างดุเดือดค่อยๆ สงบลง เพราะคำพูดของมู่ชิงเกอ

คนนับไม่ถ้วนในงานเลี้ยงต่างคิดไม่ออกว่านางอาศัยอะไรมาหยิ่งผยองขนาดนี้

แม้แต่จี่ฝู หลิงจิว ชิงเหยียนและชิงเจ๋อก็ล้วนแต่ลอบเช็ดเหงื่อในใจ รู้สึกว่ามู่ชิงเกอประมาทเกินไปแล้วจริงๆ หากว่าถูกจับจุดได้ไม่ใช่ว่าจะทำให้เสียเรื่องทั้งหมด หรือ?

‘ผู้หญิงขององค์ราชาคนนี้…ไม่ควรล่วงเกิน’ ชิงเจ๋อนิ่งเงียบลงไป สรุปออกมาแล้วถ่ายทอดเสียงไปให้อีกสามคน

ทั่วทั้งตำหนัก คนที่เข้าใจมู่ชิงเกอมากที่สุดก็คือกู่หยา และกู่เย่

เมื่อมองเห็นว่าสถานการณ์ทั้งหมดถูกมู่ชิงเกอควบคุมไว้ได้แล้วนั้น ทั้งสองคนก็เกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา คุณชายของพวกเขายังไม่ทันได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่เลย! เจ้าพวกคนเหล่านี้คิดจะกดดันคุณชาย นี่คือการหาเรื่องเจ็บตัวรู้ไหม?

คิดถึงปีนั้น ในครั้งที่คุณชายยังเป็นคนไร้ค่า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ราชาก็ยังสงบสุขุม ไม่มีท่าทีของความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เจ้าพวกเหล่านี้จะถือว่าเป็นตัวอะไรได้!

“หากว่าข้าจำไม่ผิด คนที่อยู่ในตำหนัก นอกจากเจ้าเมืองย่อยแปดคนแล้วก็ล้วนเป็นชนชั้นสูงที่ว่างงานอยู่ที่บ้านใช่หรือไม่?” ทันใดนั้นนั้าเสียงของมู่ชิงเกอก็เปลี่ยนไป พูดขึ้นเหมือนไม่ได้ตั้งใจ

คำพูดที่จริงจังก่อนหน้านี้กลายเป็นเหมือนการพูดคุยเล่นภายในบ้านตามปกติไป

อารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาเช่นนี้ทำให้บรรดาคนเผ่ามารที่อยู่ในตำหนักเดาไม่ออกว่าพระชายาผู้นี้คิดจะทำอะไร? มีนิสัยอย่างไรกันแน่?

ถึงจะไม่รู้ความคิดของนางแต่ก็ยังมีคนยินดีที่จะเข้าร่วมกับนาง

ชิงเหยียนมองไปยังมู่ชิงเกอจากหลังผ้าม่านแล้วตอบว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ”

มู่ชิงเกอพยักหน้า แล้วค่อยๆ พูดขึ้นว่า “ในเมื่อว่างงานอยู่ที่บ้านก็สงบเสงี่ยมเพาะปลูกต้นไม้ดอกไม้ไป ไม่ต้องกระโดดออกมาเป็นเป้าให้คนยิง เข้าใจคำว่าว่างงานไหม?”

มู่ชิงเกอเคาะพนักเก้าอี้ แล้วก็ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ข้าแค่จะบอกพวกเจ้าว่าเรื่องที่ไม่สมควรวุ่นวายก็อย่าได้เข้ามาวุ่นวาย มีบ้างครั้งที่เมื่อวุ่นวายเกินไปแล้ว ก็อาจจะทำ ให้คนเข้าใจผิดว่าพวกเจ้ามีความคิดเป็นอื่นได้”

“พวกข้าเพียงแต่กังวลถึงความปลอดภัยขององค์ราชา และเป็นห่วงองค์ทายาทเท่านั้น! อย่างไรกัน? พระชายายังจะเอาเรื่องนี้มาเอาผิดพวกเรางั้นหรือ?” มีคน พูดขึ้นมาอย่างไม่ยอม

“เอาผิดรึ?” มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “เจ้าถือว่าได้เตือนข้า พูดกันว่าหากรับตำแหน่งใหม่ต้องแสดงอำนาจสักสามรอบ ข้าเพิ่งมาได้ไม่นาน ถึงอย่างไรก็ต้องแสดงอำนาจ บ้าง ก่อนหน้านี้เจ้าเมืองย่อยเยี่ยนหย่าคิดทำร้ายองค์ทายาทถึงได้ถูกแขวนให้แดดเผาอยู่กลางเมืองหลวงไม่ให้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง ตอนนี้พวกเจ้าคิดจะให้ข้าเอาผิด อีกงั้นหรือ? ข้าต้องคิดดีๆ แล้วว่าจะเอาผิดอย่างไรดี”

“เจ้า!” คนที่เอ่ยปากคนนั้นโมโหจนพูดไม่ออก

ในสายตาของพวกเขานั้นมู่ชิงเกอเป็นพระชายาที่เผด็จการมาก

“กังวลถึงความปลอดภัยขององค์ราชาก็อยู่กับบ้านดีๆ อย่าเข้ายุ่งวุ่นวายเรื่องไม่เป็นเรื่อง สำหรับเรื่ององค์ทายาทนั้น พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง เขายังอยู่ดี ในท้องของข้า” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววเย็นชาและแข็งกร้าว

มู่ชิงเกอสบถไปคำหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “หากว่ามีใครลอบคิดทำอะไรลับหลังข้าก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเอาเขาไปประหารก็แล้วกัน!”

พูดแล้วนางก็มองไปยังพวกสั่วเซิ่งทั้งสี่คน ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเมืองย่อยสั่วเซิ่ง เจ้าเมืองย่อยเซ่อฉิน เจ้าเมืองย่อยซู่เหยียน เจ้าเมืองย่อยซูเฉวียน พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่?”

พวกสั่วเซิ่งทั้งสี่คนโดนเรียกชื่ออย่างกะทันหันก็ทำให้ร่างกายแข็งทื่อ

พวกเขาลอบยุยงให้พวกคนชั้นสูงที่ถูกริบอำนาจเหล่านี้ต่อต้านมู่ชิงเกอ แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกนางมองออกได้เพียงแค่แวบเดียว

‘นางมีที่มาเป็นอย่างไรกันแน่? ถึงได้ยากต่อกรด้วยเช่นนี้!’

ทั้งสี่คนคิดในใจพร้อมกัน

ความเงียบของพวกเขา ทำให้รอยยิ้มเยาะที่มุมปากของมู่ชิงเกอถูกกดลึกขึ้น นางเอ่ยถามว่า “อย่างไร? ที่ข้าพูดนั้นถูกต้องหรือไม่?”

หรือว่านางยังตักเตือนไม่ชัดเจนพอ?

ทั้งสี่คนได้สติขึ้นมาแล้วก็ยืนขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย พูดกับมู่ชิงเกอว่า “พระชายากล่าวได้ถูกต้อง! หากว่ามีคนกล้าทำอะไรลับหลัง พวกเราจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่”

พวกเขาเข้าใจแล้วว่าพระชายาผู้นี้บีบให้พวกเขาแสดงท่าที!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!