Skip to content

พลิกปฐพี 447

ตอนที่ 447

ชิงเกอ เจ้ามาแล้ว!

“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการลงชื่อรับสมัครแล้ว” ทันใดนั้นซางจื่อซูก็มองออกไปยังกลุ่มคนด้านนอกแล้วพูดออกมา

คำพูดของนางทำให้อีกสามคนมองไปยังถนนอย่างไม่รู้ตัว

บนถนนมีคนเดินไปเดินมา ดูเร่งรีบ พวกเขาล้วนแต่กำลังรีบไปลงชื่อที่สำนักวิถีโอสถ

มีเพียงคนที่ลงชื่อแล้วเท่านั้นถึงมีสิทธิ์เข้ารับการทดสอบ

หากพลาดเวลาการลงชื่อไปก็ต้องรอไปอีกสามปี

เหมยจื่อจ้งขมวดคิ้ว แล้วพูดขึ้นว่า “แต่เดิมชิงเกอก็เดินทางมากับข้า แต่ในตอนที่อยู่ในเมืองซีฝูนั้นก็เหมือนเกิดเรื่องอะไรขึ้นทำให้นางต้องรีบไปจัดการ นางบอกข้าว่า หากนางมาลงชื่อไม่ทันก็ให้ข้าลงชื่อแทนนางด้วย”

“เมื่อวานตอนที่ศิษย์พี่ลงชื่อก็ได้ลงชื่อให้ชิงเกอไปแล้วนี่” จูหลิงเอ่ย

เหมยจื่อจ้งพยักหน้า นัยน์ตาฉายแววกังวลใจ “ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่หากนางยังไม่มา การทดสอบในวันพรุ่งนี้ล่ะจะทำอย่างไร?”

ประโยคนี้ทำให้ทั้งสามคนนิ่งเงียบลง นี่เป็นปัญหาสำคัญ

ลงชื่อนั้นสามารถลงชื่อแทนกันได้ แต่การสอบแทนนั้น ทำไม่ได้

จ้าวหนานซิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้น พรุ่งนี้หลังกลับไปข้าจะไปทักทายอาจารย์ผู้คุมสอบเสียหน่อย ขอให้เขาเห็นใจ หากว่าชิงเกอมาไม่ทันกา ทดสอบในวันพรุ่งนี้ ก็จะดูสิว่าจะขอผ่อนผันสอบซ่อมตอนนางมาถึงได้ไหม เพราะถึงอย่างไรด้วยความสามารถของชิงเกอแล้ว การทดสอบเหล่านี้สำหรับนางก็เป็นเพียงแค่การแสดงพอเป็นพิธีเท่านั้น”

วิธีนี้ก็ถือว่าไม่เลว ทั้งสามคนพากันพยักหน้า หลายปีมานี้จ้าวหนานชิงอยู่ในสำนักวิถีโอสถก็ถือว่าเข้าได้ดีกับทุกคน พรสวรรค์ของเขาแต่เดิมก็ไม่เลวอยู่แล้ว รวมกับสถานะราชวงศ์และท่วงท่าที่ดูสูงส่ง ทั้งยังเข้ากับคนได้ดี ทำให้สนิทกับคนจำนวนไม่น้อยในสำนักวิถีโอสถ

สิ่งที่น่าเสียดายเพียงหนึ่งเดียวของเขาก็คือ ซางจื่อซูยังคงไม่รู้สึกอะไรกับเขาเช่นเคย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางแต่ก็รู้สึกมีความสุขด้วย เพราะอย่างน้อยนอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้ชายคนไหนสามารถทำให้ซางจื่อซูพูดหรือยิ้มได้

“ก็ไม่รู้ว่าชิงเกอพบเจอกับเรื่องอะไร มีอันตรายหรือไม่” ซางจื่อซูเม้มริมฝีปาก ขมวดคิ้วเอ่ยออกมา ปัญหานี้ทำให้หัวใจของทั้งสี่คนเกิดความรู้สึกหนักอึ้งขึ้น

มา พากันกังวลใจ

ครู่หนึ่งเหมยจื่อจ้งถึงได้เอ่ยว่า “ข้าเคยเสนอตัวจะไปช่วย แต่ชิงเกอก็ปฏิเสธ การพัฒนาของชิงเกอในไม่กี่ปีมานี้ยากที่จะจินตนาการถึง อาศัยความสามารถของ นางในตอนนี้รวมกับไพ่ตายในมือ น่าจะไม่มีอันตรายถึงชีวิต”

“ใช่แล้ว ศิษย์พี่เหมย ชิเกอเคยพูดหรือไม่ว่าหากนางมาแล้วจะพบกับท่านที่ไหน?” จูหลิงเอ่ย

เหมยจื่อจ้งขมวดคิวแล้วนิ่งเงียบลง เขาค่อยๆ ส่ายหน้า “ข้ากับชิงเกอไม่เคยมาที่นี่ ในตอนนั้นก็เพียงแต่พูดว่าเจอกับที่สำนักวิถีโอสถ”

เขายิ้มอย่างขมขื่น “พวกเราไม่รู้ว่าสำนักวิถีโอสถจะกว้างใหญ่ขนาดนี้”

เพียงแค่รอบนอก หากจะตามหาคนๆ หนึ่งก็ยังเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร

“เป็นเพราะข้าคิดไม่รอบคอบเอง” จ้าวหนานชิงเอ่ย “รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องมาก็ควรจะบอกสถานที่นัดหมายแก่พวกเจ้าให้ชัดเจนก่อน”

จูหลิงก็เอ่ยว่า “ใช่! ครั้งนี้ที่ศิษย์พี่เหมยมา หากไม่ใช่ไปพบศิษย์ที่รู้จักกับศิษย์พี่จ้าวพอดี เกรงว่าพวกเราคงจะไม่ได้พบกันอย่างราบรื่นเช่นนี้”

“พวกเราก็ไม่ต้องเป็นกังวลจนเกินไป อิงตามความฉลาดของชิงเกอจะต้องหาพวกเราพบแน่” ซางจื่อซูเอ่ยปลอบใจ

จูหลิงครุ่นคิดแล้วก็เสนอความคิดว่า “พวกเราลองไปรอที่สถานที่ลงชื่อดูไหม? หากว่าชิงเกอมาทันก็จะต้องไปสถานที่ลงชื่อแน่นอน”

“นี่เป็นวิธีที่ไม่เลว” นัยน์ตาของเหมยจื่อจ้งเปล่งประกาย พยักหน้า

การเห็นด้วยของเขาทำให้จูหลิงยิ้มกว้าง นางชอบเหมยจื่อจ้งมาตลอดไม่เคยเปลี่ยนใจ เพียงแต่นางก็รู้ว่าหัวใจของเขาไม่มีนาง ดังนั้นจึงไม่ได้บีบบังคับ และไม่ได้ฝืนร้องขอ

กลับกันการได้มองเห็นเขา หรือได้พูดกับเขาไม่กี่ประโยคก็ทำให้นางมีความสุขไปครึ่งค่อนวันแล้ว

“จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นเลยหรือ?” ทันใดนั้นก็มีเสียงแทรกเข้ามาในบทสนทนาของทั้งสี่คน

เสียงนี้ไม่ได้แปลกหน้าสำหรับพวกเขา

โดยเฉพาะกับเหมยจื่อจ้งที่เมื่อได้ยินเสียงนี้ก็ลุกขึ้นยืนในทันที เผยรอยยิ้มมองไปยังคนที่เข้ามา

“ชิงเกอ!”

“ชิงเกอ!”

“เป็นชิงเกอจริงๆ!”

“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว! แต่เจ้าหาที่นี่พบได้อย่างไร?”

ทั้งสี่คนหันมองไป คุณชายชุดแดงรูปโฉมหล่อเหลาที่เดินยิ้มมาหาพวกเขาคนนี้ หากไม่ใช่มู่ชิงเกอแล้วจะเป็นใครได้อีก?

มู่ชิงเกอปรากฎตัวขึ้นอย่างกะทันหันทำให้พวกเขารู้สึกดีใจมาก

ภายในความดีใจก็ยังมีความอัศจรรย์ใจปนอยู่!

ความกังวลใจที่เคยมีค่อยๆ หายไป มู่ชิงเกอไม่เป็นอะไรและก็ไม่ได้พลาดเวลาการทดสอบ

มู่ชิงเกอเดินมาตรงหน้าของทั้งสี่คน ไม่ได้รีบตอบคำถาม แต่กลับเอ่ยกับทั้งสี่คนว่า “ศิษย์พี่เหมย ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซาง ศิษย์พี่จู ไม่ได้เจอกันนานเลย!”

นอกจากเหมยจื่อจ้งแล้ว นางก็ไม่ได้เจอหน้าอีกสามคนเกือบห้าปีกว่าแล้ว

เมื่อพบกันอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่ใช่วัยรุ่นคึกคะนองอีกต่อไป หว่างคิ้วของแต่ละคนเพิ่มความเป็นผู้ใหญ่เข้ามาหลายส่วน

ทั้งห้าคนได้รวมตัวกันอีกครั้งทำให้ล้วนแต่หุบยิ้มไม่ลง แม้จะเป็นซางจื่อซูที่เป็นสาวงามผู้เย็นชาก็ยังเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา นัยน์ตาที่มองมู่ชิงเกอเปล่งประกาย

ความเข้าใจผิดในตอนนั้นไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกกระดากใจระหว่างทั้งสองคนเลย กลับเพิ่มความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

“รีบนั่งเร็ว!” จ้าวหนานชิงยิ้มให้กับมู่ชิงเกอ

ทั้งสี่คนขยับเว้นที่นั่งให้แก่มู่ชิงเกอ หลังจากมู่ชิงเกอนั่งลงแล้ว จ้าวหนานชิงก็รินชาแล้วยื่นไปให้นาง

“ชิงเกอ เจ้าหาพวกเราพบได้อย่างไร” จูหลิงยิ้มแล้วเอ่ยออกมา

มู่ชิงเกอยกจอกชาขึ้นมา จิบไปคำหนึ่ง หลังจากวางจอกชาลงถึงได้อธิบายให้ทั้งสี่คนฟังว่า “ข้าวางเครื่องหอมสะกดรอยไว้บนตัวของศิษย์พี่เหมยน่ะ”

พูดแล้วนางก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้เหมยจื่อจ้ง

เหมยจื่อจ้งประหลาดใจ เขาชะงักแล้วเอ่ยว่า “เจ้าวางเครื่องหอมสะกดรอยไว้บนตัวข้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ข้าไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”

มู่ชิงเกอยิ้มให้เขาแล้วเอ่ยว่า “ข้าลอบวางเอาไว้ในก่อนที่จะจากกัน แต่เดิมคิดจะบอกท่านไว้ แต่ก็ยากจะอธิบายจึงไม่พูด ถึงอย่างไรหากถูกศิษย์พี่พบเจอแล้ว ศิษย์พี่ก็คงไม่ล้างออก แต่จะยิ่งรักษาอย่างระมัดระวังมากขึ้น”

เหมยจื่อจ้งยิ้มอย่างหมดหนทาง “แต่ข้าก็ไม่ได้ค้นพบเลย”

เขาเองก็เป็นอาจารย์ปรุงยา กลับสัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของมู่ชิงเกอไม่ได้เลย จะให้เขาไม่หดหู่ใจได้อย่างไร?

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสงสัยถึงวิชาปรุงยาของตนเองขึ้นมา

“แค่ก ศิษย์พี่เหมยก็อย่าได้หดหู่ใจไปเลย เครื่องหอมสะกดรอยนี่ไร้สีไร้กลิ่น นอกจากข้าแล้วไม่มีใครสามารถสัมผัสได้อีก” มู่ชิงเกออธิบาย

เหมยจื่อจ้งพยักหน้าแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าก็ไม่ ต้องปลอบใจข้า แพ้ให้เจ้านั้นข้ายอมรับทั้งกายและใจ”

ทั้งห้าคนหัวเราะขึ้นมา ดูเหมือนได้กลับไปสู่ช่วงเวลาในโรงโอสถแคว้นอวี๋อีกครั้ง

เพื่อนเก่าได้พบหน้าทำให้รู้สึกดีจริงๆ

เมื่อพูดคุยกันได้ครู่หนึ่งแล้ว ซางจื่อซูก็เอ่ยถามว่า “ชิงเกอ เจ้าจากไประหว่างการเดินทางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า? ตอนนี้จัดการเสร็จหรือยัง? หากว่าต้องการให้

พวกเราช่วยเหลืออะไรก็เอ่ยปากได้เลย”

ยากมากที่นางจะพูดเยอะขนาดนี้ แต่นี่ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายคือมู่ชิงเกอ

แต่เดิมมู่ชิงเกอก็คิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อคิดไปถึงร่างกายของซือมั่วแล้ว ก็ลองถามว่า “ภายในสำนักวิถีโอสถนั้นมีอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพกี่คน?”

“อาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพ?”

“ระดับมหาเทพ!”

คำพูดของนางทำให้จ้าวหนานชิงและจูหลิงล้วนแต่พูดออกมาอย่างประหลาดใจ แม้แต่ซางจื่อซูก็มองนางอย่างสงสัย

จ้าวหนานชิงเอ่ยว่า “ถึงแม้จะมีอาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพภายในสำนักวิถีโอสถแต่ก็มีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ปรุงยาระดับมหาเทพได้ตลอด แม้จะปรุงยาระดับมหาเทพได้ก็มีระดับไม่สูงมาก อีกทั้งภายในนั้นคนที่มีความสามารถสูงที่สุดก็คือหัวหน้าสำนักวิถีโอสถส่วนใน แต่ข้าได้ยินมาว่ายาระดับมหาเทพระดับสูงที่สุดที่เขาเคยปรุงออกมาได้ก็คือยาระดับสูง”

“ยาระดับมหาเทพนั้นปรุงได้ยากมาก มีอาจารย์ปรุงยาจำนวนไม่น้อยในสำนักวิถีโอสถที่หยุดอยู่ที่นี่ ศึกษามาทั้งชีวิตคิดจะทะลวงขอบเขตเข้าสู่อาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพแต่ก็เปล่าประโยชน์” จูหลิงเอ่ยต่อ

“เพียงแค่ระดับสูง…” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว

เดิมนางคิดว่าหากภายในสำนักวิถีโอสถมีคนที่มีระดับปรุงยาถึงระดับมหาเทพ อีกทั้งยังสามารถปรุงยาระดับสูงสุดคุณภาพสูงสุดได้ นางก็สามารถไปขอให้พวกเขาปรุงยาให้ซือมั่วได้… แต่ตอนนี้ดูแล้ว ถึงสำนักวิถีโอสถจะเป็นที่รวมตัวของอาจารย์ปรุงยาในโลกแห่งยุคกลาง แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำตามความต้องการของนางได้

‘ดูแล้วต้องรอให้ตัวเองทะลวงขอบเขต’ มู่ชิงเกอลอบพูดในใจ นางมั่นใจในตนเอง เพียงแค่ซือมั่วต้องอดทนต่อความเจ็บปวดของร่างกายไปอีกสักพัก

“ชิงเกอ เจ้าต้องการยาระดับมหาเทพงั้นหรือ?” ซางจื่อซูเอ่ยถาม

มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมาถึงได้พบว่าทั้งสี่คนมองมาที่ตนเองอย่างเป็นห่วง นางจึงยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้า เรื่องของซือมั่วนางไม่อยากให้คนรู้มากนัก ไม่ใช่ไม่เชื่อใจแต่เป็นเพราะนางคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูด

การปฏิเสธของนางทำให้พวกเขาไม่ได้ถามต่อไปอีก จ้าวหนานชิงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดีที่วันนี้เจ้ามาถึง มิเช่นนั้น พวกเราก็ต้องไปคิดหาวิธีทำให้อาจารย์คุมการทดสอบอะลุ่มอะล่วยให้เจ้าแล้ว”

มู่ชิงเกอยิ้ม “ข้าจดจำช่วงเวลารับสมัครศิษย์ของสำนักวิถีโอสถได้อย่างชัดเจน ไม่กล้าชักช้า เดิมคิดว่าจะสามารถมาถึงก่อนได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสำนักวิถีโอสถรับสมัครศิษย์หรือไม่ที่ทำให้ประตูมิติในเมืองซีฝูถูกใช้จนเต็ม ทำให้ข้าต้องนั่งเรือโดยสารมา เสียเวลาไปมากจนทำให้พวกเจ้าต้องเป็นกังวล เป็นข้าผิดเอง”

จูหลิงหัวเราะกลบเกลื่อน “ในเมื่อเป็นเจ้าผิดเอง เช่นนั้นงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าในคืนนี้ก็ให้เจ้าจ่ายแล้วกัน”

“ได้!” มู่ชิงเกอพยักหน้า

จ้าวหนานชิงเย้าแหย่ว่า “ดี วันนี้ก็ให้ชิงเกอเลี้ยงสักมื้อ เจ้าเมืองมู่แห่งเมืองลั่วซิงเฉิงรํ่ารวยกว่าพวกเรามากนัก คืนนี้พวกเราก็กินมื้อใหญ่ กินอะไรที่เคยได้แต่กลืน นํ้าลายมองบ้าง”

มู่ชิงเกอถูกล้อเลียนทำให้ซางจื่อซูที่ไม่ค่อยพูดและเหมยจื่อจ้งที่เงียบสงบอยู่ตลอดล้วนแต่หัวเราะออกมา

“พวกเจ้าล้วนแต่เป็นอาจารย์ปรุงยา จะจนได้หรือ?” มู่ชิงเกอยิ้มอย่างขมขื่น

คนเหล่านี้คิดจะให้นางเลี้ยงก็เท่านั้น ถึงได้พูดซะตัวเองดูน่าสงสาร

อาจารย์ปรุงยาจะขาดแคลนเงินทองงั้นหรือ?

เพียงแค่สุ่มปรุงยาเม็ดหนึ่งออกไปขายก็ได้เงินมาเป็นถุงเป็นถังแล้ว

อาจารย์ปรุงยาเป็นอาชีพที่ไม่ขาดแคลนเงินทองมากที่สุดในโลกแห่งยุคกลาง!

“สรุปแล้ว ถึงอย่างไรก็เทียบกับเจ้าเมืองมู่ไม่ได้” จ้าวหนานชิงเอ่ยล้อ

มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยว่า “ศิษย์พี่จ้าวยังจะมาล้อเล่นกับข้าอีก”

จ้าวหนานซิงยิ้มจนตาโค้ง ท่าทางแสดงออกทุกอย่าง

ทั้งห้าคนนั่งอยู่ในโรงนํ้าชาครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอถึงได้เสนอออกมาว่า “ไปดูสถานที่ลงชื่อสักหน่อยเถอะ”

เมื่อ นางมาถึงก็ตามหาเหมยจื่อจ้งมาที่นี่แล้ว ยังไม่ได้เห็นสำนักวิถีโอสถจริงๆ เลย

จ้าวหนานซิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “สถานที่รับสมัครตั้งอยู่ด้านหน้าประตูใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ พวกเราไปดูหน่อยก็ดี ผ่านไปอีกสองชั่วยามก็จะปิดรับสมัครแล้ว”

พูดแล้วทั้งห้าคนก็ยืนขึ้น วางเงินค่าชาแล้วก็เดินออกไปจากโรงนํ้าชาเพื่อไปยังประตูใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ ตลอดเส้นทางก็เห็นคนเร่งรีบเดินทางไปสถานที่รับสมัครมากมาย บรรดาคนที่เดินผ่านพวกเขาล้วนแต่ถูกดึงดูดด้วยรูปโฉมที่งดงามของพวกเขาทำให้ต้องหันมามองหลายครั้ง

รอจนพวกเขาไปถึงสถานที่รับสมัครแล้ว คนที่รอลงชื่อก็ยังคงแออัดอยู่

“ดูแล้ว ข้าก็ไม่ถือว่ามาสายนัก” มู่ชิงเกอยิ้ม

แต่จ้าวหนานชิงกลับแทงใจดำเอ่ยว่า “คนในวันนี้ถือว่าน้อยที่สุดแล้ว เจ้าไม่เห็นสถานการณ์ในวันก่อนๆ ตอนที่เริ่มเปิดรับสมัคร”

มู่ชิงเกอได้ฟังแล้วก็ตกใจ มองเขาอย่างแปลกใจ

ภาพคนที่แออัดกันอยู่ตรงหน้ายังถือว่าน้อยแล้วงั้นหรือ?

เหมยจื่อจ้งก็ยิ้มแล้วก็พูดออกมาว่า “ศิษย์น้องจ้าวพูดไม่ผิด เมื่อวานตอนที่ข้ามาลงชื่อ แม้แต่ตรงนี้ก็ยังเดินมาไม่ถึง สุดท้ายยังคงเป็นศิษย์น้องจ้าวที่ช่วยลงชื่อให้ พวกเราสองคน”

มู่ชิงเกอขบลิ้น มองไปยังภาพคนที่กำลังต่อแถว แล้วก็บันไดที่กว้างเป็นพิเศษและอาคารที่สูงใหญ่ของสำนักวิถีโอสถพร้อมเอ่ยขึ้นในใจว่า ‘สำนักวิถีโอสถเป็นที่นิยมในโลกแห่งยุคกลางจริงๆ!’

ทันใดนั้นนัยน์ตาของนางก็หดตัวลง สายตาไปหยุดอยู่ที่คนๆ หนึ่งในกลุ่มคนที่แออัดอยู่ตรงที่ลงชื่อ

‘ซ่งจิ่นซาน!’ มู่ชิงเกอพูดชื่อคนๆ นั้นขึ้นมาในใจ ผู้หญิงที่นั่งเรือกับนางมาจากทะเลหยางไห่ นางเคยพูดว่าตนเองจะมาสำนักวิถีโอสถ ตอนนี้ดูแล้วก็คงมาเพราะสำนักวิถีโอสถรับสมัครศิษย์

“เจ้ามองดูอะไรหรือ?” ซางจื่อซูพบความผิดปกติของมู่ชิงเกอจึงถามออกมาอย่างสงสัย

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับมาอย่างสงบนิ่ง ค่อยๆ ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

นางไม่ได้คิดจะเข้าไปทักทาย เพราะระหว่างนางและซ่งจิ่นซานก็ไม่ถือว่าเกี่ยวข้องอะไรกัน ดังนั้นนางจึงไม่คิดจะอธิบายให้คนข้างกายฟัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!