Skip to content

พลิกปฐพี 462

ตอนที่ 462

วิถีโอสถทั้งสิบสองชนิด!

“ผู้อาวุโสบรรพบุรุษระงับความโกรธด้วย!” เสียงของเหยาชิงไห่ดังมาจากนอกผ้าม่าน

ประโยคนี้ทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกายเย็นชา แล้วก็เปลี่ยนเป็นสว่างจ้าขึ้นมา แล้วนางก็ยืนขึ้น ‘พรึบ’

มือของเด็กหญิงเกือบจะได้สัมผัสใบหน้าของมู่ชิงเกออยู่แล้ว แต่กลับถูกเหยาชิงไห่ขัดจังหวะ ใบหน้าอันน่ารักนั้นจึงเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งน่ากลัว นางตะโกนออกไปใส่เงาร่างคนนอกผ้าม่านว่า “ไสหัวไป!”

พลังไร้รูปดังขึ้นมาทำลายผ้าม่านเป็นชั้นๆ ให้ฉีกกระจาย ผ้าหลายส่วนลอยไปทั่วห้อง พลังนั้นกลับไม่ได้หยุดลง แต่พุ่งเข้าไปโจมตีที่หน้าอกของเหยาชิงไห่ที่ยืนอยู่กลางห้อง

ส่วนเหยาชิงไห่ก็ไม่ได้หลบหลีกยืนต้านรับกระบวนท่านี้

พลังนี้ดูเหมือนกับโจมตีจนหน้าอกของเขายุบตัวลง ร่างกายเขากระเด็นลอยออกไปด้านหลังและพยายามจะอดกลั้นไม่ให้กระอักเลือดออกมา

เหยาชิงไห่ตกลงกลางห้อง เขากุมหน้าอกยืนขึ้นมาแล้วก็ชันเข่าข้างเดียวลงบนพื้น ส่วนอีกมือหนึ่งก็กดยันบนพื้น คํ้าร่างกายของตนเองไม่ให้ล้มลงไป

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่ชิงเกอและเด็กหญิง

ส่วนมู่ชิงเกอก็มองเห็นรอยเลือดที่มุมปากของเขา

“ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ?” มู่ชิงเกอหรี่ดวงตาเล็กลงเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงประโยคนี้

สายตาของนางตกไปอยู่ที่ร่างกายของเด็กหญิงด้านข้าง

เด็กหญิงมองไปที่นาง ทันใดนั้นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก “ไป ไป ไป…พวกเจ้าไป…อย่ามาขัดหูขัดตาข้า!” พูดแล้วนางก็หันกายเดินไปยังเตียง

“ขอบคุณผู้อาวุโสบรรพบุรุษ” เหยาชิงไห่กัดฟันยืนขึ้นมาแล้วก็ส่งสายตาให้มู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอข่มความรู้สึกสงสัยในใจแล้วก็ตามเหยาชิงไห่ออกไป

เมื่อเดินออกไปนอกประตู เหยาชิงไห่ก็รีบกินยาเม็ดหนึ่งลงไปในทันที ส่วนเสี่ยวก่วนที่กำลังนำคนรับใช้ในเรือนมาก็พากันคุกเข่าลงด้วยร่างกายสั่นสะท้านเพราะเด็หญิงที่กำลังโกรธ

มู่ชิงเกอกวาดตามองรอบด้าน แล้วก็ตามเหยาชิงไห่เดินออกจากเรือนสีทอง

เมื่อเดินไปไกลแล้ว เหยาชิงไห่ถึงได้กระอักเลือดออกมา

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร

เหยาชิงไห่เช็ดเลือดที่มุมปากแล้วเอ่ยว่า “เพียงแค่กระอักเลือดเสียเท่านั้น กระอักออกมาก็ไม่เป็นไรแล้ว”

เมื่อพูดจบแล้วเขาก็ชะงัก หลุดหัวเราะเอ่ยว่า “ข้าลืมไปว่าเจ้าก็เป็นอาจารย์ปรุงยาเช่นกัน จะไม่เข้าใจได้อย่างไร”

“เจ้าตั้งใจมาช่วยข้างั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

เหยาชิงไห่ยิ้ม กลับสู่ความสุขุม “การแข่งขันระหว่างข้ากับเจ้าในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถยังไม่เริ่มขึ้น แน่นอนว่าข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเกิดเรื่อง”

“ในเมื่อเหตุผลครบสมบูรณ์ขนาดนี้ เช่นนั้นการขอบคุณข้าก็จะถอนกลับแล้ว” มู่ชิงเกอกวาดตามองเขา

เหยาชิงไห่เอ่ย “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”

“นางเป็นใครกันแน่?” มู่ชิงเกอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็ถามความสงสัยในใจออกไป

เหยาชิงไห่สูดหายใจเข้าลึกๆ มองออกไปไกลแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นความลับของสำนักวิถีโอสถ นอกจากเจ้าสำนักและปรมาจารย์แต่ละท่านแล้ว ในบรรดาศิษย์ก็มีเพียงข้าคนเดียวที่รู้”

พูดไปเขาก็มองมู่ชิงเกอ “ในเมื่อตอนนี้เจ้าก็ถูกลากเข้ามาด้วย ข้าก็จะบอกให้เจ้ารู้สักหน่อย แต่ก็ไม่สามารถพูดมากได้”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว คำพูดของเหยาชิงไห่ทำให้นางมีความรู้สึกว่าไม่อยากรู้ขึ้นมา มีหลายเรื่องที่เมื่อถูกกำหนดว่าเป็น ‘ความลับ’ แล้วก็จะมีเรื่องพ่วงมาด้วยมากมาย นางไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับความลับของสำนักวิถีโอสถแล้วหาเรื่องให้กับตนเอง

หรอกนะ

แต่หากไม่ถามนางก็รู้สึกว่าเรื่องในวันนี้คงไม่จบง่ายๆ สายตาที่เด็กหญิงคนนั้นมองนางทำให้นางรู้สึกว่านางยังคงจะปรากฎตัวออกมาให้ตนเห็นอีกครั้ง

“สิ่งเดียวที่ข้าสามารถบอกเจ้าได้ก็คือนางไม่ใช่คน” ทันใดนั้นเหยาชิงไห่ก็เอ่ยขึ้น

นี่เป็นคำตอบอะไรกัน? มู่ชิงเกอชะงัก

ไม่ใช่คน?

เช่นนั้นคืออะไร?

เหยาชิงไห่พูดว่า “เมื่อครู่คำเรียกที่ข้าเรียกนาง เจ้าก็ได้ยินแล้ว”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเงียบๆ เหยาชิงไห่เอ่ยขึ้นอีกว่า “ภายในสำนักวิถีโอสถทุกคนที่ รู้จักสถานะของนางก็ล้วนแต่เรียกนางอย่างเคารพเช่นนี้”

มู่ชิงเกอนิ่งเงียบ เดิมทีนางคิดว่านางมารผู้นี้เป็นศิษย์หญิงที่มีเบื้องหลังร้ายกาจภายในสำนักวิถีโอสถเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่านางจะมีสถานะสูงส่งขนาดนี้

มิน่านางถึงทำอะไรก็ได้ภายในสำนักวิถีโอสถโดยไม่มีใครกล้าจัดการ

“เหตุใดนางถึงต้องจับผู้ชายเหล่านั้นด้วย? เสี่ยวก่วนผู้นั้น…” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม

เหยาชิงไห่ยิ้มอย่างขมขื่น “เป็นเพียงเพราะว่านางโดดเดี่ยวและเหงาก็เท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรจริงๆ สำหรับเรื่องของเสี่ยวก่วน…ก็ไม่ใช่อย่างที่เล่าลือกัน”

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ลอบพูดในใจว่า ‘หรือยังมีเรื่องอะไรซ่อนอยู่?’

เหยาชิงไห่ไพล่มือเอาไว้ด้านหลัง สูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสบรรพบุรุษชอบผู้ชายหน้าตางดงามนั้นไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คนด้านนอกคิด บรรดาคนที่ถูกทำร้ายแล้วโยนออกไปก็เป็นเพราะว่าล่วงเกินนาง ส่วนเสี่ยวก่วนนั้นหลังจากเขาถูกจับมาแล้ว เริ่มแรกก็ขัดขืนจริงๆ แต่ต่อมากลับลอบปีนขึ้นบนเตียงของผู้อาวุโสบรรพบุรุษ นางโมโหมากดังนั้นถึงได้…”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก

แนวนี้ยิ่งยากที่จะยอมรับได้หรือไม่?

ถึงแม้เหยาชิงไห่จะเรียกว่าผู้อาวุโสบรรพบุรุษ แต่นางมารผู้นั้นก็มีท่าทางเหมือนกับเด็กอายุไม่กี่ขวบ แต่เสี่ยวก่วนกลับมีความคิดอย่างนั้นกับนางหรือ?

‘เหอ เหอ โลกนี้ไม่ขาดแคลนเรื่องแปลกจริงๆ’ มู่ชิงเกอถอนหายใจในใจ ถ้าหากเรื่องราวเป็นอย่างที่เหยาชิงไห่พูดจริงๆ เช่นนั้นเสี่ยวก่วนก็ไม่สมควรจะได้รับการสงสารเห็นใจ

เมื่อบอกลาเหยาชิงไห่แล้ว มู่ชิงเกอก็ระงับอารมณ์ แล้วกลับไปยังเรือนพักของตนเอง

เพิ่งจะเข้ามานางก็มองเห็นพวกจ้าวหนานชิงกำลังรอตนเองอย่างร้อนใจอยู่ที่นี่ เมื่อมองเห็นนางกลับคืนมาอย่างปลอดภัยแล้ว พวกเขาถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ชิงเกอ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม? นางมารทำอะไรเจ้าหรือไม่?” จ้าวหนานชิงเอ่ยถามในทันที

จูหลิงก็ถามว่า “เรื่องนี้จบแล้วหรือยัง?”

“ชิงเกอ เจ้าคิดจะทำอย่างไร พวกเราจะร่วมทำกับเจ้า” นัยน์ตาของซางจื่อซูฉายแววแน่วแน่เอ่ยออกมา

เหมยจื่อจ้งก็เดินเข้ามาเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “พวกเราออกจากสำนักวิถีโอสถ”

ทั้งสี่คนโอบล้อมนางเอาไว้ตรงกลาง มู่ชิงเกอทั้งโมโหทั้งขบขัน “ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่พวกเจ้าคิด ข้าไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้บาดเจ็บสักนิด”

กลับเป็นเหยาชิงไห่เสียอีกที่ต้องรับการโจมตีไป

“จริงหรือ?” เหมยจื่อจ้งพิจารณามู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า “นางมองออกว่าข้าเป็นผู้หญิงจึงไม่ได้สร้างความลำบากอะไรให้ข้าอีก”

นางไม่ได้พูดเรื่องราวเบื้องลึกอย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงเพราะไม่อยากให้พวกเขาไม่สบายใจแต่ยังเป็นเพราะสถานะของเด็กหญิงคนนั้นเป็นความลับของสำนักวิถีโอสถ มีคนรู้ยิ่งน้อยก็ยิ่งดีกว่า หากว่าให้พวกเขารู้แล้วนางกังวลว่าจะเป็นการ สร้างปัญหาให้พวกเขา

น่าเสียดายที่มีอีกหลายเรื่องที่เหยาชิงไห่ไม่สะดวกจะพูด ทำให้ความสงสัยในใจของนางยากที่จะคลายออกได้

เด็กหญิงที่เขาเรียกว่าผู้อาวุโสบรรพบุรุษไม่ใช่คน เช่นนั้นเป็นอะไรกันแน่? เป็นเหมือนกับพวกไป๋สี่ หยินเฉินที่เป็นสัตว์อสูรหรือ? หรือเป็นจิตวิญญาณแห่งอาวุธเหมือนเหมิงเหมิง? หรือว่าเป็นแบบหยวนหยวนที่เป็นพญาเพลิง? มู่ชิงเกอไม่ได้รับคำตอบ สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจในใจ ‘สิ่งมีชีวิตในโลกใบนี้สลับซับซ้อนเกินไปจริงๆ!’

วันที่สองมู่ชิงเกอไปโรงเก็บเทียบยาในส่วนใน นางใช้เวลาไปสามวันถึงได้อ่านหนังสือที่สนใจทั้งหมดจนจบรอบหนึ่ง จากนั้นนางก็ไปยังที่ตั้งผนังเงาทั้งสิบสองแผ่นอีกครั้ง นางต้องการจะเริ่มทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองชนิดที่ซ่อนอยู่ในผนังเงาอย่างเป็นทางการ!

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกแปลกใจก็คือนางเพิ่งจะเดินออกจากเรือนก็พบกับเด็กหญิงกำลังยืนรอนางอยู่ด้านนอก

การปรากฎตัวของเด็กหญิงดึงดูดให้คนรอบข้างสนใจ

ดูจากท่าทีแล้วนางมารที่ทำให้ผู้คนแตกตื่นไปทั่วทั้งสำนักโอสถส่วนใน ไม่ค่อยออกมาเคลื่อนไหวต่อหน้าผู้คน

“ชิงเกอ นางคือ…” เหมยจื่อจ้งก็เดินออกมาจากเรือนของตนเองและก็เห็นฉากนี้เข้า พวกเขานัดกันดีแล้วว่าวันนี้จะไปทำความเข้าใจวิถีโอสถด้วยกัน

ส่วนพวกจ้าวหนานชิงทั้งสามก็มีเรื่องของตนเองต้องทำ จึงไม่สามารถอยู่ข้างกายของพวกเขาทั้งสองคนในเวลานี้ได้ คำถามของเหมยจื่อจ้งทำให้มู่ชิงเกอไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

“ข้ามาหาชิงเกอ” เด็กหญิงยิ้มหวานแล้วก็เดินเข้ามาตรงหน้าของมู่ชิงเกอ สองตายิ้มจนโค้งเป็นวงพระจันทร์ พูดจาคล่องแคล่ว “เจ้าจะไปผนังเงาใช่ไหม ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุก มองไปทางเหมยจื่อจ้ง แล้วก็เอ่ยกับเขาว่า “ศิษย์พี่เหมยท่านไปก่อนเถอะ ข้าจะตามไปทีหลัง”

เหมยจื่อจ้งพยักหน้า ถึงแม้ว่าในใจจะสงสัยว่ามู่ชิงเกอไปรู้จักเด็กหญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เขาก็ไม่ได้ตื๊อจะอยู่ต่อ

หลังจากเขาไปแล้ว เด็กหญิงถึงเอ่ยว่า “ที่เจ้ามาพบข้า ที่จริงก็คือกลัวว่าข้าจะจับเขาใช่ไหม”

“นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่ง” มู่ชิงเกอไม่ได้ปฏิเสธ

นัยน์ตาของเด็กหญิงฉายแววเจ้าเล่ห์ “เขาเป็นคนในใจของเจ้างั้นหรือ?”

สีหน้าของมู่ชิงเกอหนักอึ้งขึ้น ปฏิเสธทันทีว่า “ไม่ใช่ เขาเป็นเพียงศิษย์พี่ของข้า”

เด็กหญิงพยักหน้า ท่าทางที่ไม่ใส่ใจนั้นก็ไม่รู้ว่านางจะฟังเข้าใจหรือไม่ ซึ่งท่าทางเช่นนี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้นมา

“เจ้ามาหาข้ามีจุดมุ่งหมายอะไร?” มู่ชิงเกอถามอย่างระมัดระวัง

สถานะของเด็กหญิงลึกลับมาก ทั้งยังมีสถานะสูงส่งในสำนักวิถีโอสถ หากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากจะเกี่ยวข้องอะไรกับนางนัก

“เรียกข้าว่าเหลียนเฉียว เจ้าเรียกข้าว่าเหลียนเฉียว ข้าจะเรียกเจ้าว่าชิงเกอ” เด็กหญิงเอ่ย

มู่ชิงเกอหรี่ตาเล็กลง เมื่อเห็นนางรู้ชื่อของตนเองแต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร แต่นางมาถึงที่นี่ก็เพื่อจะบอกชื่อของตนเองให้นางรู้อย่างนั้นหรือ?

“เจ้าจะไปผนังเงาใช่ไหม? ไปเถอะ” เหลียนเฉียวเอ่ยเร่ง

มู่ชิงเกอไม่ขยับเพียงมองนางพร้อมกับครุ่นคิด

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” มู่ชิงเกอถามเสียงเข้ม

หน้าตาของเหลียนเฉียวเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา ไม่มีไอสังหารแม้แต่น้อย เพียงแต่มู่ชิงเกอก็ไม่มีทางลืมเรื่อง เมื่อวันก่อนว่านางสู้เด็กหญิงคนนี้ไม่ได้!

“ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร เจ้าจะไปทำความเข้าใจวิถีโอสถที่ผนังเงา ข้าก็จะอยู่ดูเจ้าข้างๆ เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจข้า” เหลียนเฉียวพูดอย่างไร้เดียงสา

“เจ้าจะดูข้าทำไม?” มู่ชิงเกอกัดฟันถามออกไป

เหลียนเฉียวยักไหล่ขึ้น “หลายปีมานี้เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าพบว่าเหมือนเขาที่สุด ถึงแม้เจ้าจะเป็นผู้หญิงแต่ก็ช่วยไม่ได้ อะไรที่เรียกว่ามองดูเพื่อคลายความอยาก เจ้าก็เข้าใจอยู่ใช่ไหม”

ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็รู้สึกอยากจะถามว่าคนๆ นั้นในใจของนางเป็นใคร

แต่เมื่อคำพูดมาอยู่ที่ริมฝีปากนางก็กลืนกลับลงไป

“เจ้าจะตามข้าไปจริงๆ งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอถามเสียงเข้ม

เหลียนเฉียวเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง ยักไหล่ขึ้น ความหมายนั้นแสดงออกอย่างชัดเจน “ถึงแม้เจ้าจะปฏิเสธ หลังจากเจ้าเข้าสู่สมาธิแล้ว ข้าก็ไปอยู่ดี”

มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “เช่นนั้นเจ้าจะมาถามข้าอีกทำไม?”

เหลียนเฉียวกลับเอ่ยว่า “ที่ถามเจ้าก็เป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่ง ข้าได้ไล่คนในเรือนของข้าไปหมดแล้ว ข้าตัดสินใจแล้วว่าก่อนที่เขาจะกลับมาข้าจะติดตามเจ้า”

มู่ชิงเกอเหลือบมองนางแวบหนึ่งแล้วก็ก้าวเท้าไปโดยไม่พูดสักคำ

เพียงนางเดินไป เหลียนเฉียวก็ตามไปในทันที สองตายิ้มโค้งเป็นวงพระจันทร์ใบหน้างดงามก็ดูสดใสร่าเริงขึ้นในพริบตา

ที่มู่ชิงเกอเงียบก็เพราะว่านางได้ตัดสินใจแล้วว่าวันต่อๆ ไปจะอยู่ที่ผนังเงาจนถึงวันเริ่มงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ

หลังจากงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถสิ้นสุดลงแล้วนางก็จะออกไปจากสำนักวิถีโอสถ

ถึงตอนนั้นแล้วเหลียนเฉียวอยากจะตามนางไปหรือ? จะทำได้งั้นหรือ? นางยอมแต่คนในสำนักวิถีโอสถคงจะไม่ยอมแน่

มู่ชิงเกอมาถึงตรงหน้าผนังเงาทั้งสิบสองแผ่น

มีคนจำนวนไม่น้อยเมื่อพบว่ามีเด็กหญิงตามมู่ชิงเกอมาคนหนึ่งก็มองมาอย่างแปลกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นว่าบนร่างของเด็กหญิงคนนี้ยังมีป้ายสถานะของสำนักวิถีโอสถอยู่ด้วยก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ

มีศิษย์บางคนที่รู้สถานะของเหลียนเฉียวเท่านั้นถึงได้มีสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วหลบเข้าไปในกลุ่มคน

ดูแล้วชื่อเสียงนางมารของเหลียนเฉียวจะทำให้คนหวาดกลัวได้ไม่น้อยเลย

มู่ชิงเกอเดินเข้าไปนั่งอยู่หน้าแผ่นผนังเงาที่นางทำความเข้าใจครั้งก่อน หลังจากนั่งสมาธิแล้วนางก็สงบจิตใจเริ่มทำความเข้าใจ

ส่วนเหลียนเฉียวก็คุกเข่านั่งลงข้างนาง ใช้มือเท้าแก้มยิ้ม จ้องมองใบหน้าของมู่ชิงเกอ

ภาพเช่นเดิมปรากฎขึ้นตรงหน้าของมู่ชิงเกออีกครั้ง

ประโยคที่ว่า ‘ใช้ใจเป็นหม้อหลอม ฟ้าดินล้วนเป็นโอสถ’ ดังกลับไปกลับมาไม่หยุด เหมือนต้องการให้มู่ชิงเกอรับรู้และเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง

หนึ่งวัน สองวัน…สามวัน…สิบวัน…

หลังจากที่มู่ชิงเกอทำความเข้าใจอยู่ตรงหน้าผนังเงาเป็นวันที่สิบสองนั่นเองก็มีแสงสีทองสายหนึ่งลอยออกจากผนังเงาพุ่งเข้าไปในหว่างคิ้วของนาง ทำให้ทั้งตัว นางชะงักแล้วก็เบิกตาขึ้น

“เข้าใจแล้ว!”

“เร็วขนาดนี้เชียวหรือ? เพิ่งจะกี่วันเอง?”

“สิบ…สิบสองวัน”

เกิดเสียงพูดคุยวิเคราะห์ขึ้นรอบด้าน แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมู่ชิงเกอเลย

นางลืมตาขึ้นก็มองเห็นเหลียนเฉียวกำลังยิ้มให้นางอยู่ นางรู้สึกจนปัญญากับความอดทนและดื้อดึงของเหลียนเฉียวจริงๆ

นางไม่พูดจาเดินไปยังผนังเงาอีกแผ่น แล้วก็หาที่ว่างนั่งลง

เพียงแค่นางนั่งลง เหลียนเฉียวก็ตามมาแล้วคุกเข่าลงข้างกายนางเช่นเดิม

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ เริ่มทำความเข้าใจอีกครั้ง

ภายในผนังเงาแผ่นนี้ก็มีอาจารย์ปรุงยาผู้หนึ่งกำลังปรุงยาอยู่เช่นเดียวกัน เพียงแต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ก็คือเขาใช้พลังจิตของตนเองเป็นวัตถุดิบยา กำลังปรุงยาอยู่ในหม้อ

นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลงอย่างตกตะลึง วิถีโอสถอันนี้ก็ทำให้นางได้รู้จักการปรุงยาใหม่อีกครั้ง

‘พลังจิตก็สามารถใช้ปรุงยาได้ด้วยหรือ?!’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!