ตอนที่ 464
เจ้าเมืองมู่ในตำนาน!
“เข้าใจแล้ว!”
“ใช้เวลาสี่เดือนในการทำความเข้าใจผนังเงาสองแผ่น ความสามารถนี้ก็ถือว่าไม่ เลว”
“แต่แผ่นที่สองกลับทำความเข้าใจนานไปหน่อย ไม่รู้ว่าแผ่นที่สามจะใช้เวลานานเท่าไร?”
“ข้าคิดว่าเขาน่าจะไปพักผ่อนก่อน จะทำความเข้าใจต่อได้อย่างไร?”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้นในตอนที่ศิษย์พี่เหยาทำความเข้าใจวิถีโอสถนั้น ก็ยังพักผ่อนในทุกๆ ครั้งที่ทำความเข้าใจไปแผ่นหนึ่ง เมื่อทำความเข้าใจอย่างละเอียดแล้วค่อยมา อีกครั้ง”
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่เหยาเป็นแบบอย่างของข้า ผนังเงาทั้งสิบสองแผ่นนี้มีวิถีโอสถสิบสองชนิด เขาใช้เวลาเพียงสามปีก็ทำความเข้าใจจนหมดแล้ว”
“ผิดแล้ว หากลบเวลาพักผ่อนออกไป ศิษย์พี่เหยาใช้เวลาเพียงสองปีครึ่งเท่านั้น”
“ใช่ ใช่ ใช่! ข้าพูดผิดไป”
เสียงพูดคุยต่างๆ นานา ดังเข้ามาและก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหยาชิงไห่ปรากฎตัวอย่างกะทันหันหรือไม่จึงทำให้คนที่นี่เริ่มที่จะสนใจมู่ชิงเกอ
แต่มู่ชิงเกอกลับไม่สนใจเดินไปยังผนังเงาแผ่นที่สามแล้ว นั่งสมาธิลงไม่ได้พักผ่อน
เหลียนเฉียวก็ตามนางเดินไปยังผนังเงาแผ่นที่สามแล้วก็หมอบลงข้างกายนาง
สี่เดือนกว่ามานี้นางจ้องมองมู่ชิงเกอเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะดูอย่างไรก็ดูไม่เบื่อ
ภายในกลุ่มคน มีคนร้องอย่างตะลึงออกมา “อา! เขาไม่พักผ่อน ทำความเข้าใจต่อเลยงั้นหรือ?”
แล้วก็มีคนสบถออกมาอย่างดูแคลนว่า “ชิ โลภมาก เขาทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้ทำความเข้าใจได้ช้าลง”
เหยาชิงไห่มองเงาร่างของเหลียนเฉียวแล้วก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย
แต่สุดท้าย เขาก็ยังเดินไปยังผนังเงา แผ่นที่สามที่มู่ชิงเกอเลือก
การเคลื่อนไหวของเขาดึงดูดการสังเกตของคนอื่นๆ เวลานี้พวกเขาถึงได้เดาออกว่าเหตุใดเหยาชิงไห่ถึงอยู่ที่นี่ เป็นเพราะมู่ชิงเกอนั่นเอง
“คนนั้นเป็นใครกันน่ะ? ถึงกับสามารถดึงดูดให้ศิษย์พี่เหยาสนใจได้?”
“ไม่รู้สิ ดูไม่คุ้นหน้าเลยหรือว่าเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสำนัก?”
“หากว่าเป็นเพียงศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสำนักแล้วจะสามารถดึงดูดความสนใจของศิษย์พี่เหยาได้หรือ?”
“ใช่แล้ว! พวกเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าสี่เดือนก่อนในตอนที่สำนักวิถีโอสถของพวกเรารับศิษย์ใหม่นั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องที่เจ้าพูดนั้นใช่เรื่องที่ว่ามีคนทำลายกฎสอบเข้าสู่ส่วนในเลยใช่ไหม?”
“ใช่ เป็นเรื่องนั้น!”
“รู้นะรู้ แต่ว่านี่มันเกี่ยวข้องอะไรกัน?”
“จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาว่าคนที่เข้าสู่ส่วนในโดยตรงเลยนั้นเป็นอันดับหนึ่งของทำเนียบชิงอิงในตอนนี้ เป็นเจ้าเมืองมู่แห่งลั่วซิงเฉิง เป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวของโลกแห่งยุคกลาง!”
“อะไรนะ!”
“จริงหรือเท็จกัน?”
“จริงสิ! เรื่องนี้จะเป็นเท็จได้อย่างไร?”
“สวรรค์! อัจฉริยะเกินไปแล้ว? อันดับหนึ่งแห่งทำเนียบชิงชิง อาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ เจ้าเมืองแห่งลั่วซิงเฉิง ตอนนี้ก็ยังมาสำนักวิถีโอสถของเราเพื่อเรียนการปรุงยาอีก ในโลกนี้มีอัจฉริยะเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว เจ้าจะพูดว่าเพราะสถานะของเจ้าเมืองมู่ผู้นี้ถึงสามารถดึงดูดความสนใจของศิษย์พี่เหยาได้ ส่วนคนผู้นั้นก็คือ เจ้าเมืองมู่ใน ตำนานงั้นหรือ?”
“ข้าดูแล้วมีโอกาสถึงแปดส่วน!”
“แปดส่วนอะไร ข้าว่าใช่เลยต่างหาก!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น แสงสีทองสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากผนังเงาด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของนาง ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนต้องส่งเสียงออกมา
“อา!”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“มีคนสามารถทำความเข้าใจได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ข้าตาพร่าไปใช่ไหม!”
“นี่…นี่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเลยใช่ไหม?”
ถึงในใจจะไม่อยากเชื่อแค่ไหนแต่มู่ชิงเกอก็ยังยืนขึ้นต่อหน้าของพวกเขา แล้วก็เดินไปที่ผนังเงาแผ่นที่สี่อย่างเรียบเฉยจากนั้นก็สะบัดชุดนั่งสมาธิลง เหลียนเฉียวก็เดินตามไป
สิ่งที่มู่ชิงเกอสนใจก็คือวิถีโอสถที่ซ่อนอยู่ในผนังเงาเหล่านี้ ส่วนสิ่งที่เหลียนเฉียวสนใจก็คือมู่ชิงเกอ…หรือจะพูดว่าสนใจ สายตาและกลิ่นอายที่มู่ชิงเกอกับคนในใจของนางคนนั้นมีส่วนคล้ายคลึงกัน
ในตอนที่มู่ชิงเกอนั่งอยู่ตรงหน้าผนังเงาแผ่นที่สี่นั้น นัยน์ตาของเหยาชิงไห่ก็หดตัวลง เขาเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ตกตะลึงในความเร็วในการทำความเข้าใจของมู่ชิงเกอ
แต่ก่อนหน้านี้ก็เห็นๆ อยู่ว่าเขาใช้เวลาทำความเข้าใจในแผ่นที่สองถึงสี่เดือนกว่า
ผนังเงาแผ่นที่สามนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่า…
ในขณะที่เขากำลังพิจารณาอยู่นั้นเอง ผนังเงาแผ่นที่สี่ตรงหน้าของมู่ชิงเกอก็มีแสงสีทองพุ่งออกมาแล้วลอยเข้าไปในหว่างคิ้วของมู่ชิงเกอ ส่วนมู่ชิงเกอก็ยืนขึ้นมาอย่างเคร่งขรึมแล้วเดินไปยังผนังเงาแผ่นที่ห้า
“อา!”
“อัศจรรย์…อัศจรรย์เกินไปแล้ว!”
“เข้า…เข้าใจอีกแล้ว?”
“การทำความเข้าใจกลายเป็นง่ายดายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ภายในหนึ่งชั่วยามก็ทำความเข้าใจผนังเงาสองแผ่นติดต่อกันได้นี่เป็นเรื่องโกหกใช่ไหม?”
“เจ้ามองไม่เห็นหรือไงว่าแม้แต่ศิษย์พี่เหยาก็ยังตกตะลึงน่ะ!”
เหยาชิงไห่ตกตะลึงแล้วจริงๆ เขาถูกความเร็วในการทำความเข้าใจวิถีโอสถของมู่ชิงเกอทำให้ตกตะลึง เขาเองก็เคยทำความเข้าใจวิถีโอสถอยู่ที่นี่ และรู้ว่าความเร็วในการทำความเข้าใจของมู่ชิงเกอเพียงพอที่จะดูเงาในนั้นเพียงรอบเดียวเท่านั้น
รอบเดียว…เพียงแค่รอบเดียว…
เพียงรอบเดียวก็เข้าใจแล้ว ต้องใช้ความสามารถในการเข้าใจมากมายขนาดไหนกัน?
น่าตกใจจริงๆ!
เทียบกับเหยาชิงไห่และคนอื่นๆ ที่ตกตะลึงแล้ว พวกเหมยจื่อจ้งและจ้าวหนานซิงสี่คนกลับรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องปกติ
“เฮ้อ ชิงเกอของพวกเรา หากไม่โจมตีคนสิข้าถึงคิดว่าเป็นเรื่องแปลก” จูหลิงยิ้มแล้วเอ่ยออกมา
ซางจื่อซูก็เผยรอยยิ้มออกมาพูดกับนางว่า “ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน ชิงเกอที่เป็นเช่นนี้ถึงจะปกติ”
จ้าวหนานซิงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้พวกเรายังเป็นห่วงนาง แต่ดูแล้วทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของนางแล้ว”
“ชิงเกอไม่เคยทำให้พวกเราต้องผิดหวัง” เหมยจื่อจ้งยิ้มแล้วเอ่ยออกมา
ทั้งสามคนพยักหน้ายอมรับ
จ้าวหนานชิงพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลายว่า “เช่นนั้นดูแล้วครั้งนี้ชิงเกอก็จะนำความอัศจรรย์ใจมาให้พวกเราอีกครั้ง”
แสงสีทองพุ่งออกมาจากผนังเงาเข้าสู่หว่างคิ้วของมู่ชิงเกอ
“แผ่นที่ห้าแล้ว!”
“ให้ตายสิ! อัจฉริยะ!”
มีคนตกตะลึงจนอดพูดออกมาไม่ได้
“เจ้าเมืองมู่ในตำนานผูนี้เป็นอัจฉริยะจริงๆ! เกิดในรุ่นเดียวกันกับเขาถือเป็นโชคดีของข้าและเป็นความเศร้าของรุ่นข้าด้วย”
“เจ้าเมืองมู่ในตำนาน…”
มู่ชิงเกอนั่งลงตรงผนังเงาแผ่นที่หก ความเร็วของนางไม่ได้เร่งรีบและไม่ได้ชักช้า เหมือนกับเป็นการเดินเล่น ท่าทางเช่นนี้โจมตีทุกคนเข้าอย่างจังรู้สึกว่าภายในใจของตนเองถูกสายฟ้านับหมื่นสายโจมตี
แสงสีทองปรากฎขึ้นอีกครั้ง
“แผ่นที่หกแล้ว!”
มู่ชิงเกอเปลี่ยนแผ่นอีกครั้ง
“อา!”
ในตอนที่แสงสีทองจากผนังเงาแผ่นที่เจ็ดพุ่งออกมาจากผนังเงานั้นกลุ่มคนก็ส่งเสียงตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง แผ่นที่เจ็ดแล้ว!
มู่ชิงเกอลุกขึ้นแล้วเดินไปอีกผนังเงาแผ่นต่อไป
เหลียนเฉียววิ่งเหยาะๆ ตามไป หว่างคิ้วของนางฉายแววไม่พอใจ ดูเหมือนว่าเป็นเพราะความเร็วของมู่ชิงเกอทำให้นางไม่สามารถมองนางอย่างสงบได้ ตรงหน้าของผนังเงาแผ่นที่แปด มู่ชิงเกอนั่งสมาธิลงอีกครั้งแล้วดำดิ่งเข้าไปในโลกของผนังเงา
ส่วนในตอนนี้ เหยาชิงไห่ก็ยืนอยู่ที่เดิมจ้องมองมู่ชิงเกอ ความเย็นยะเยือกเพิ่มขึ้นมาจากหัวใจ เขาค่อยๆ เอ่ยขึ้นในใจว่า ‘เดิมทีคิดว่าเป็นข้าที่ประเมินเจ้าสูงเกินไป แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นข้าที่ประเมินเจ้าต่ำไป’
‘เส้นทางนับหมื่น มุ่งไปสู่ที่เดียวกัน ฟ้ามีวิถีฟ้า ดินมีวิถีดิน ยามีวิถียา วิถียาของข้าสร้างขึ้นจากความว่างเปล่า!’ คนในผนังเงาแผ่นที่แปดยืนไพล่มือไว้ด้านหลัง ตรงหน้าของเขามีพลังจินตนาการนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเป็นยา นัยน์ตาสดใสของมู่ชิงเกอสะท้อนเม็ดยาที่กำลังหมุนวนเม็ดนั้น เหมือนอะไรบางอย่างที่ติดแน่นอยู่ภายในใจในที่สุดก็ถูกทำลายลง ทำให้นางเข้าใจถึงพลังของวิถีโอสถได้ อย่างแจ่มแจ้ง
ภายในผนังเงาแผ่นที่แปดมีแสงสีทองพุ่งออกมา มุ่งตรงเข้าไปในหว่างคิ้วของมู่ชิงเกอ
นางยืนขึ้นมาจัดเสื้อผ้าของตนเอง สะบัดฝุ่นออก ไม่ได้หยุดพักแต่เดินไปยังผนังเงาแผ่นที่เก้าต่อ
“ แผ่นที่…แปด…แล้ว! แผ่นที่…แปด…แล้ว!”
“หรือว่าเขาตั้งใจจะทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบเอ็ดสายภายในวันเดียว?”
“ปีศาจ! วิปริต!”
“หากว่าเขาสามารถทำความเข้าใจผนังเงาทั้งหมดได้ภายในวันเดียว เช่นนั้นความเร็วนี้ก็…”
เฮือก!
ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าลึก
มีคนจำนวนไม่น้อยลอบมองเหยาชิงไห่เงียบๆ เกิดความหวาดกลัวในใจ
“อา! เข้าใจอีกแล้ว!”
“นี่เป็นแผ่นที่เท่าไหร่แล้วน่ะ? ข้านับไม่ถูกแล้ว!”
“แผ่นที่เก้าหรือ?”
“แผ่นที่เก้า!”
“มารดาเขาสิ จะไม่ให้คนมีชีวิตอยู่เลยหรือไร?”
“เจ้าเมืองมู่ในตำนาน เจ้าเว้นทางให้พวกข้าได้ใช้ชีวิตบ้างเถอะ!”
เมื่อได้ยินเสียงการพูดคุยเหล่านี้แล้ว ฝีเท้าของมู่ชิงเกอก็ชะงักลงครู่หนึ่ง ยกยิ้มที่มุมปากแล้วเดินไปยังผนังเงาแผ่นที่สิบต่อไป
ครู่หนึ่งนางก็ได้ยินเสียงครํ่าครวญดังมาจากด้านหลังอย่างต่อเนือง
ดูเหมือนกับว่านางได้ทำเรื่องอะไรที่ทำให้ฟ้าดินโมโหก็ไม่ปาน
มู่ชิงเกอรู้สึกขบขันอยู่ในใจ นางเพียงแต่ใช้เวลามากหน่อยในผนังเงาแผ่นที่สองก็เท่านั้น เมื่อรับรู้กฎในนั้นแล้วถึงได้เพิ่มความเร็ว ไม่ใช่เพราะนางฉลาดมาก ไม่ว่า จะเป็นการปรุงยาหรือว่าทำความเข้าใจวิถีโอสถวิธีการก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
นางไม่เคยลืมว่าเหลือเวลาจากงานชุมนุมใหญ่แห่งสำนักวิถีโอสถไม่มากแล้ว นางไม่สามารถเสียเวลาต่อไปได้อีก
มู่ชิงเกอนั่งสมาธิอยู่ตรงหน้าผนังเงาแผ่นที่สิบ แล้วก็ทำความเข้าใจ
ทุกคนพากันกลั้นลมหายใจไม่กล้าส่งเสียงดังแล้ว จ้องมองมู่ชิงเกออย่างตื่นเต้นและหวาดกลัว
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอถึงได้ลูบหว่างคิ้วแล้วลุกขึ้นมา
รอบด้านกลายเป็นเงียบสงบลงมาก พวกเขาถูกมู่ชิงเกอทำให้ตกตะลึงจนไร้คำพูดจะพูดแล้ว
“ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่มองเห็นชิงเกอเป็นเช่นนี้ ข้าจะรู้สึกสดชื่นมาก” จ้าวหนานซิงกอดอก ยืดหลังตรง
“ข้าก็เหมือนกัน” ซางจื่อซูเอ่ย
จูหลิงยิ้ม “ข้าก็เช่นกัน”
นางมองเหมยจื่อจ้ง ส่วนเหมยจื่อจ้งถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่นัยน์ตาก็แสดงออกทุกอย่าง
“แผ่นที่สิบเอ็ด…”
ในตอนที่มู่ชิงเกอเดินไปยังผนังเงาแผ่นที่สิบเอ็ดนั้น ทุกคนก็ตะลึงงันกันไปหมดแล้ว
หลังจากนางเดินไปถึงผนังเงาแผ่นที่สิบเอ็ดแล้ว ก็มองไปยังเหยาชิงไห่ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน พยักหน้ายิ้มบางๆ เหมือนเป็นการทักทาย
เหยาชิงไห่เผยยิ้มอย่างขมขื่น เขาเป็นศิษย์อันดับหนึ่งในสำนักวิถีโอสถแห่งภาคตะวันออก อาจารย์ของเขา เจ้าสำนักวิถีโอสถเคยพูดว่าเขาจะเป็นอันดับหนึ่งในวิถีโอสถของโลกแห่งยุคกลางในอนาคต ใครจะรู้ว่าจะมีมู่ชิงเกอโผล่ออกมา เมื่อมีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่ก็เหมือนเป็นการโจมตีอัจฉริยะทุกคนบนโลก
“แผ่นที่สิบเอ็ดก็เข้าใจอีกแล้ว!”
“เหลืออีกแค่แผ่นเดียว!”
“หากแผ่นสุดท้ายถูกทำความเข้าใจแล้ว เจ้าเมืองมู่ในตำนานผู้นี้ก็จะทำลายสถิติของสำนักวิถีโอสถแล้ว!”
“ทั้งยังต่อหน้าศิษย์พี่เหยาเสียด้วย” มีคนพูดเบาๆ ออกมา
มู่ชิงเกอเดินไปหน้าผนังเงาแผ่นสุดท้าย แล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วนั่งลง
ผนังเงาทั้งสิบสองแผ่นหมายถึงวิถีโอสถสิบสองชนิด ตอนนี้เหลือเพียงแค่ชนิดสุดท้ายแล้ว เมื่อทำความเข้าใจผนังเงาทั้งสิบสองชนิดแล้ว นางจะได้รับคำตอบอะไร?
“ให้ตายสิ! ทำไมการเข้าใจวิถีโอสถเมื่อมาอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองมู่แล้วก็ง่ายดายเหมือนกับการกินข้าวดื่มนํ้าอย่างนั้น?”
“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อเข้าใจผนังเงาทั้งสิบสองแผ่นแล้ว ก็จะเกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้นในปีนั้นตอนที่ศิษย์พี่เหยาใช้เวลาสามปีทำความเข้าใจวิถีโอสถได้สำเร็จนั้น…”
เขายังพูดไม่จบ ผนังเงาแผ่นที่สิบสองก็มีแสงสีทองพุ่ง ขึ้นไปบนท้องฟ้า
เหมือนมีเสียงระฆังดังมาจากสวรรค์
เสียงนี้ดังมาจากที่ไกลมาก แฝงไปด้วยกลิ่นอายโบราณ
เสียงและแสงทำให้คนทั้งสำนักวิถีโอสถตกใจ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรือว่าปรมาจารย์วิถีโอสถล้วนแต่มองแสงที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างตกตะลึง แม้แต่อาจารย์ปรุงยาระดับมหาเทพเพียงหนึ่งเดียวในสำนักวิถีโอสถอย่างเจ้า
สำนักเองก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของเขาฉายแววเปล่งประกาย…