ตอนที่ 470
นี่คือหม้อผลาญสวรรค์!
เหลียนเฉียวเดินไปถึงด้านหน้าของมู่ชิงเกอ ดวงตาโตไม่ได้มีรอยยิ้มเช่นเมื่อก่อน กลับมีแต่ความเย็นยะเยือก
แต่มู่ชิงเกอยังคงมองเห็นความโศกเศร้าเสียใจที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของนางได้
“เจ้าคิดจะจากไปงั้นหรือ?” เหลียนเฉียวพูด ในนํ้าเสียงฉายแววเย็นชา
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ถึงแม้ว่าเหลียนเฉียวจะพูดกับนาง แต่นางก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างในนั้น
“พวกเขาบอกข้าว่าเจ้าจะอยู่ที่สำนักวิถีโอสถเพียงช่วงสั้นๆ ใช่หรือไม่?” เหลียนเฉียวเค้นถาม
มู่ชิงเกอถอนหายใจมองนางแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไม่อยู่ที่นี่นานจริงๆ หลังจากจบงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถในครั้งนี้แล้วข้าก็จะจากไป”
“เช่นนั้นข้า…” เหลียนเฉียวพูดออกไป แต่พูดยังไม่จบ ก็ต้องกลืนคำพูดกลับคืนไป
ความตื่นเต้นในสายตาของนางกลายเป็นความว่างเปล่า
“ข้าไม่อาจทำให้เขาลำบากได้” ทันใดนั้นเหลียนเฉียวก็พูดขึ้นมา ส่วน ‘เขา’ ในคำพูดหมายถึงใครนั้นนางเองก็ไม่รู้ นางมองมู่ชิงเกอแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “อย่าตายนะ”
พูดแล้วนางก็หันกายจากไป
อย่าตาย?
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววสงสัย นางไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเหลียนเฉียวเท่าใดนัก
อะไรคือบอกให้นางอย่าตาย?
“นี่ รอเดี๋ยว เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” มู่ชิงเกอร้องเรียกเหลียนเฉียวที่กำลังเดินจากไป
เหลียนเฉียวหยุดลง หันมองนางแล้วยิ้มเยาะ พูดอย่างดูแคลนว่า “ดูแล้วเจ้าไม่ใช่คนที่ชอบอยู่นิ่ง ข้าเพียงแต่เตือนเจ้าเอาไว้ว่าอย่าได้ทรมานตนเองจนตาย ยังมี…”
นางหลุบตาลง นิ่งเงียบแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้ากับเขาเหมือนกันจริงๆ ไม่ใช่เพียงรูปโฉม แต่เป็นความรู้สึกที่มีให้แก่คนโดยรอบ ดังนั้นก่อนที่จะไปก็มาอยู่เป็นเพื่อนข้าสักครู่นะ”
“…” มู่ชิงเกอชะงัก
เหลียนเฉียวไม่ให้โอกาสนางได้ปฏิเสธ ถลึงตาจ้องนางแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าคิดจะจากสำนักวิถีโอสถไปอย่างราบรื่นก็ทำตามที่ข้าบอก!”
พูดแล้วนางก็ก้าวยาวๆ จากไป
มู่ชิงเกอกะพริบตา ความรู้สึกที่เหลียนเฉียวมีให้นางนั้นซับซ้อนมาก
ไม่ได้รังเกียจ และก็ไม่ได้ชอบ แต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่นางเองก็อธิบายไม่ถูก
เหยาชิงไห่เคยพูดแล้วว่าเหลียนเฉียวไม่ใช่มนุษย์ แน่นอนว่านางไม่อาจจะใช้ความรู้สึกของมนุษย์คาดเดาอีกฝ่าย ส่วนเหตุผลที่นางมาพัวพันตนเองก็เป็นเพียงเพราะ
ความคล้ายคลึงเท่านั้น
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วแล้วก็เลิกสนใจ ไม่ไปคิดถึงอีก
ด้านนอกมีเสียงระฆังดังขึ้น
เป็นสัญญาณว่างานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถเป็นเหมือนการชุมนุมแลกเปลี่ยนของอาจารย์ปรุงยา ถือว่าเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่งของอาจารย์ปรุงยา หากสามารถก้าวออกมาในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สุดยอดมากเรื่องหนึ่ง
ดังนั้นในงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถจึงไม่เคยมีของรางวัลมาจูงใจ เพราะการได้จัดอันดับก็ถือว่าเป็นเกียรติยศแล้ว
บรรดาอาจารย์ปรุงยาที่มาร่วมงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถก็มาเพื่อแข่งขันเอาชื่อเสียง
เมื่อได้ยินเสียงระฆัง มู่ชิงเกอก็จัดชุดของตนเองแล้วก้าวออกไปด้านนอก
นางเดินทางไปยังสถานที่แข่งขัน บนเส้นทางก็พบเจออาจารย์ปรุงยาจำนวนไม่น้อย
แต่เมื่ออาจารย์ปรุงยาเหล่านั้นมองเห็นนางต่างก็มีท่าทีแปลกๆ แล้วพากันเร่งฝีเท้าจากไป
“รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นอสูรร้ายน่ากลัวเลย” มู่ชิงเกอพึมพำออกมา
เมื่อนางเดินไปถึงสถานที่แข่งขันก็มองเห็นอัฒจันทร์รูปวงแหวนและคนจากตระกูลต่างๆ นั่งอยู่บนนั้น นางจึงได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถในโลกแห่งยุคกลาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางมองเห็นว่ามีคนของตำหนักเทพนั่งอยู่ตรงกลางของอัฒจันทร์ด้วย
“ท่านตา ลูกพี่ออกมาแล้ว!” มู่เสวี่ยอู่เพียงกวาดตาก็มองเห็นมู่ชิงเกอ จึงพูดกับซางซุ่นหวางอย่างตื่นเต้น
ซางซุ่นหวางยิ้ม นัยน์ตาที่ดุดันลึกลํ้าคู่นั้นฉายแววเอ็นดู
การปรากฎตัวของมู่ชิงเกอทำให้คนที่เกี่ยวข้องกับนางพากันตื่นเต้นขึ้นมา มู่เฟิงและมู่เฉินก็เป็นหนึ่งในนั้น หานฉายไฉ่เองก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาไม่ได้เข้าไปพัวพันมู่ชิงเกอเช่นเคย แต่กลับแอบซ่อนความรู้สึกซับซ้อนที่มีต่อนางเอาไว้ตรงส่วนลึกในใจ
“ชิงเกอ!” เสียงร้องตะโกนเสียงหนึ่งดึงดูดสายตาของ มู่ชิงเกอไว้
เมื่อนางมองไปก็มองเห็นจีเหยาฮั่วกำลังโบกไม้โบกมือให้นางอยู่บนอัฒจันทร์
นางยิ้มให้เขาบางๆ แล้วถอนสายตากลับ
เพราะไม่ทันรู้ตัวเหยาชิงไห่ก็เดินเข้ามาใกล้นางแล้ว
“งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถไม่มีกฎอะไรมากมาย เจ้าเลือกตำแหน่งที่ชอบตามใจได้เลย” เหยาชิงไห่
มองมาทีนางแล้วเอ่ยบอก
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น ตอนนี้นางรู้สึกได้ถึงความสบายๆ ของงานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถ ความสบายๆ เช่นนี้ไม่ค่อยเข้ากับชื่อเสียงของมันเลย
มู่ชิงเกอครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็เดินไปยังตำแหน่งตรงกันข้ามกับเหยาชิงไห่
ตำแหน่งที่ทั้งสองคนเลือกก็คือใจกลางของลานแข่งขัน
เพียงพวกเขาทั้งสองคนปรากฎตัว กระจกดำก็ฉายขึ้นในทันที ดึงดูดให้คนนอกและในลานแข่งขันรวมถึงที่อยู่ด้านในสำนักวิถีโอสถล้วนแต่เคลื่อนไหวขึ้นมา
นอกสำนักวิถีโอสถ ภายในกระจกดำที่ลอยอยู่กลางอากาศ ภาพที่มู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่ปรากฎตัวทำให้ผู้ คนที่สัญจรไปมาบนถนนตื่นเต้นขึ้นมา
“ว้าว! เป็นประมุขน้อยเหยาแห่งตระกูลเหยา ได้ยินมาว่าหลายปีมานี้เขาเป็นอันดับหนึ่งในสำนักวิถีโอสถมาโดยตลอด!”
“ประมุขน้อยเหยาหล่อเหลาจริงๆ!” มีผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างลุ่มหลง
“พรสวรรค์ในการปรุงยาของประมุขน้อยเหยาก็ไร้เทียมทาน!” ผู้หญิงอีกคนก็เอ่ยตาม
ข้างกายของพวกนางมีผู้ชายคนหนึ่งหัวเราะและเอ่ยว่า “ข่าวของพวกเจ้าเก่าไปแล้วกระมัง? หรือพวกเจ้าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน เจ้าเมืองมู่ได้ทำลายสถิติของประมุขน้อยเหยาไปแล้ว? เขาใช้เวลาเพียงแค่สี่เดือนในการทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งหมดของสำนักวิถีโอสถได้แล้ว”
“ใช่ ใช่ ใช่ ข้าก็ได้ยินมาเช่นนี้ และข้าก็ยังได้ยินมาอีกว่าในตอนนั้นประมุขน้อยเหยาเองก็อยู่ที่นั่นด้วย ตะลึงงันไปเลยเชียว” ผู้ชายอีกคนพูดแทรกขึ้นมา
มีคนไม่เชื่อเอ่ยว่า “คงไม่ใช่กระมัง! แม้แต่ประมุขน้อยเหยาก็ตกตะลึงงั้นหรือ?”
“ไอ้หยา เจ้าเมืองมู่ก็หล่อมาก! ข้าไม่เคยเห็นผู้ชายที่หล่อเหลาขนาดนี้มาก่อน” เมื่อรูปโฉมของมู่ชิงเกอปรากฎขึ้นในกระจกดำก็ทำให้ผู้หญิงที่หลงใหลในตัวเหยาชิงไห่ก่อนหน้านี้ใช้สองมือกุมแก้มของตนเองและเผยท่าทีหลงใหลออกมาในทันที
“พวกเราสนใจแต่ความสามารถของทั้งสองคน แต่เจ้ากลับดูรูปโฉมงั้นหรือ?” ผู้ชายคนนั้นพูดอย่างไม่พอใจ
เพื่อนอีกคนที่มากับผู้หญิงคนนั้นโต้กลับในทันทีว่า “พวกเจ้าเหล่าผู้ชายสนใจความสามารถของพวกเขา พวกเราเหล่าผู้หญิงสนใจหน้าตาของพวกเขา ก็เป็นเรื่องที่ปกติมิใช่หรือ?”
พูดแล้วนางก็มองเพื่อนของตนที่ตื่นเต้นจนกระทืบเท้าอยู่กับที่ พร้อมพึมพำซํ้าไปซํ้ามาว่า “อา! หล่อจริงๆ หล่อจริงๆ! ขอเพียงแค่เขามองข้าแวบเดียวให้ข้าตายข้าก็ยอม”
ท่าทางของผู้หญิงทั้งสองคนทำให้ผู้ชายคนนั้นเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าพูดว่าประมุขน้อยเหยาหล่อมิใช่หรือ?”
ผู้หญิงคนนั้นมองเขาอย่างดูแคลนแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “รูปโฉมของประมุขน้อยเหยาไม่เลวก็จริง แต่รูปโฉมของเจ้าเมืองมู่นั้นมีเสน่ห์เกินไป เพียงแค่เขาปรากฎตัวก็เหมือนเปล่งแสงประกายเจิดจ้าออกมา กลบคนอื่นไปจนสิ้น”
“บ้าผู้ชาย!” ผู้ชายคนนั้นพึมพำเสียงต่ำ
การวิเคราะห์และประเด็นเช่นนี้ถูกเล่าลือไปทั่วทั้งท้องถนน
ส่วนภายในสำนักวิถีโอสถ เจ้าสำนักวิถีโอสถนั่งสมาธิอยู่ที่กลางตำหนัก มองกระจกดำอันเล็กที่ลอยอยู่ตรงใจกลางเช่นเดียวกัน
ตอนที่มองเห็นมู่ชิงเกอและเหยาชิงไห่นั้น ก็มีอาจารย์ปรุงยาเอ่ยขึ้นมาว่า “พรสวรรค์ของชิงไห่นั้นข้ารู้ดี เดิมทีหากจะเป็นผู้ชนะก็ไม่มีปัญหา ใครจะรู้ว่าครึ่งทางกลับมีมู่ชิงเกอโผล่ออกมา”
“กานเหล่า เจ้าให้ความสำคัญกับมู่ชิงเกอเพียงนี้เชียวหรือ?” มีคนถามออกมาอย่างสงสัย
กานเหล่าเอ่ยว่า “มู่ชิงเกอคนนี้สามารถทำความเข้าใจวิถีโอสถทั้งสิบสองชนิดได้ภายในสี่เดือน ทั้งยังผ่านการทดสอบอันโหดร้ายมาได้อย่างราบรื่น ทั้งยังครอบครองขอบเขตสมบูรณ์ พวกเจ้าว่าเขาสมควรจะได้รับการให้ความสำคัญหรือไม่?”
คำพูดของเขาทำให้อาจารย์ปรุงยาพากันครุ่นคิดขึ้นมา
กานเหล่ามองไปยังเจ้าสำนักที่นั่งอยู่บนที่สูงแล้วเอ่ยขออภัยว่า “เจ้าสำนัก ข้า…”
เจ้าสำนักวิถีโอสถไม่รอให้เขาพูดจบก็โบกมือตัดบท “ไม่จำเป็นต้องกริ่งเกรงเพียงเพราะชิงไห่เป็นศิษย์ของข้า คนเรามีคู่มือก็ถือเป็นความโชคดี วิถีโอสถของชิงไห่ก็ยังต้องการ การฝึกฝนและขัดเกลา”
ประโยคนี้เปิดเผยข้อมูลบางอย่างออกมา
กานเหล่าเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “ชิงไห่ทำความเข้าใจวิถีโอสถของตนเองได้แล้วหรือ?”
คำถามนี้ทำให้อาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ตกอกตกใจ
พวกเขาที่นี่มีคนจำนวนไม่น้อยที่ปรุงยามาทั้งชีวิตก็ยังไม่มีวิถีโอสถเป็นของตนเอง แต่เหยาชิงไห่กลับมีแล้วหรือ?
เจ้าสำนักวิถีโอสถเพียงแต่พยักหน้า
ท่าทางเช่นนี้กลับทำให้คนที่อยู่ที่นั่นตื่นเต้นขึ้นมา เพราะว่าการแข่งขันต่อไปนี้ช่างชวนให้คนตั้งตาคอยเสียจริง
เงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งเอามือไพล่หลังเดินเข้ามาในตำหนัก
เพียงแค่นางปรากฎตัว คนที่อยู่ในตำหนักทุกคนรวมไปถึงเจ้าสำนักก็ล้วนยืนขึ้นคำนับนาง
“ผู้อาวุโสบรรพบุรุษ!”
เหลียนเฉียวเดินตรงไปนั่งลงที่ข้างกายของเจ้าสำนักวิถีโอสถด้วยลีหน้าที่ดูเย็นชา มองไปที่กระจกดำแล้วเอ่ยกับคนอื่นๆ ว่า “นั่งลงเถอะ”
เมื่อได้รับการอนุญาตจากนาง อาจารย์ปรุงยาภายในตำหนักก็นั่งลงที่ใครที่มัน
เจ้าสำนักวิถีโอสถนั่งลงข้างกายของเหลียนเฉียว คิดอยากจะถามแต่ก็ถูกนางปฏิเสธ
นางมาที่นี่ก็เพื่อดูมู่ชิงเกอเท่านั้น
บนลานแข่งขัน มู่ชิงเกอสังเกตรอบด้านแล้วพูดอย่างขบขันว่า “ถึงเวลาแล้วใช่ไหม?” แต่สถานที่แข่งขันที่แต่เดิมเพียงพอสำหรับคนเป็นพันคน มาตอนนี้กลับมีคนไม่ถึงหนึ่งในสาม
เหยาชิงไห่หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “พวกเขาถอนตัวหมดแล้ว”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น คิดไปถึงคำพูดคุยกันของอาจารย์ปรุงยาไม่กี่คนนั้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนถอนตัวออกจากการแข่งขันเยอะขนาดนี้ ลานแข่งขันที่ยิ่งใหญ่มาตอนนี้กลับว่างจนดูน่าหดหู่
ภาพบรรยากาศเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของคนนับแสนบนอัฒจันทร์
มีคนเข้ามากระซิบที่ข้างหูทูตเทวะอย่างรวดเร็ว หลังจากพูดจบก็ถอยออกไป
ทูตเทวะผู้นั้นหันไปมองบรรดาคนจากตระกูลต่างๆ พร้อมยิ้มอย่างหยิ่งผยองและเอ่ยว่า “มีคนจำนวนไม่น้อยที่สนใจการประลองระหว่างประมุขน้อยเหยาและเจ้าเมืองมู่จึงเลือกที่จะถอนตัว”
คำตอบนี้ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกอึ้งงัน แต่ก็ได้แต่ยอมรับ
ตึง!
ตึง ตึง!
งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เหยาชิงไห่รวมรวมสติ ยกมือขึ้นตวัดที่ตรงหน้าของตนเอง หม้อปรุงยาที่เขาจะใช้ก็ปรากฎขึ้นที่ตรงหน้าของเขา
มู่ชิงเกอเองก็ตวัดมือเช่นเดียวกัน หม้อผลาญสวรรค์ตกลงบนพื้นอย่างรุนแรงทำให้เกิดเสียงดังสนั่น
สีแดงเข้มดุจเลือดและภายนอกที่ดูดุดันทำให้คนจำนวนไม่น้อยล้วนจ้องมอง
ในตอนนี้เอง นัยน์ตาของเหลียนเฉียวที่อยู่ด้านนอกกระจกดำก็หดตัวลง เจ้าสำนักวิถีโอสถและก็อาจารย์ปรุงยาคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่พูดขึ้นพร้อมกันอย่างแปลกใจ “หม้อผลาญสวรรค์!”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทูตเทวะที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ก็หรี่ตาลง พึมพำขึ้นว่า “หม้อผลาญสวรรค์’