ตอนที่ 500
การเปลี่ยนแปลงของหยินเฉิน จิ้งจอกมังกร!
มู่ชิงเกอนั่งอยู่หน้ากระจกปล่อยให้โย่วเหอและฮวาเยวี่ยรวบผมให้นาง รวบผมเป็นมวยอย่างเรียบง่ายใช้ปิ่นตรึงเอาไว้ปล่อยให้ผมยาวตกลงไปอย่างอิสระ
นางยังคงสวมชุดสีแดงเจิดจ้า ตอนนี้กลับมาเป็นผู้หญิง ทำให้ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนของนางเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น
“คุณชาย ท่านดูว่าเป็นอย่างไร?” โย่วเหอมองสาวงามในกระจกแล้วก็ยิ้มถามออกมา
คุณชายของนางคู่ควรกับชื่อสาวงามล่มเมือง งามไร้คนเทียบเทียม
มู่ชิงเกอไม่ใส่ใจอะไรมากกับรูปลักษณ์กายนอก เพียงแค่ดูแล้วสบายตาก็พอใจแล้ว
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยติดตามนางมาตั้งนาน แน่นอนว่าเข้าใจนิสัยของนางดี ดังนั้นเมื่อจัดการออกมาแล้วจึงตรงกับใจนาง
มู่ชิงเกอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้จัดสายรัดข้อมือแล้วเดินไปยังโต๊ะอาหาร
บนโต๊ะ มีอาหารที่นางชื่นชอบจัดวางเอาไว้ อุ่นๆ กำลังดี
มู่ชิงเกอนั่งลงแล้วก็กินอย่างรวดเร็ว หลังจากท้องอิ่มแล้ว นางถึงได้วางถ้วยและตะเกียบลง ใช้นํ้าแร่เช็ดปาก ทันใดนั้นนอกหน้าต่างก็มีแสงสีขาวลอยเข้ามาตกลงในห้อง แล้วก็กลายเป็นเงาร่างที่ละเอียดอ่อนและมีเสน่ห์ขึ้นตรงหน้าของทั้งสามคน
“ชิงเกอ” เสียงเหมือนเด็กน้อยดังขึ้นในห้อง
มู่ชิงเกอมองใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดของไป๋สี่แล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย วางผ้าเช็ดปากลง ยืนขึ้นมาแล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ในที่สุด เจ้าก็กลับมา รีบตามข้าไปดูหยินเฉินเถอะ” ไป๋สี่รีบเอ่ยในทันที
นํ้าเสียงของนางดูร้อนรน หากไม่มีเรื่องใหญ่อะไร นางจะไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน
มู่ชิงเกอไม่ได้คิดมาก พยักหน้าแล้วก็หันไปสั่งโย่วเหอและฮวาเยวี่ยว่า “ข้าจะไปดูหยินเฉินก่อน พวกเจ้าบอกให้คนตระกูลมู่มารวมตัวกัน หลังจากครึ่งวันผ่านไปให้รอพบข้าที่ห้องโถงใหญ่”
“เจ้าค่ะ คุณชาย”
“เจ้าค่ะ คุณชาย”
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยย่อกายพร้อมกัน ใช้สายตาส่งมู่ชิงเกอกับไป๋สี่จากไป
กลางอากาศ ไป๋สี่กลายร่างเป็นงู พามู่ชิงเกอไปยังเทือกเขาหลังลั่วซิงเฉิงอย่างรวดเร็ว
ผมของมู่ชิงเกอถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงเล็กน้อย
นางเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับหยินเฉิน?” นางกับหยินเฉินมีพันธสัญญากัน หากว่ามีเรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิต นางก็จะสามารถรับรู้ได้
ตอนนี้ไม่มีก็หมายถึงว่า หยินเฉินยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต
แต่การไม่มีอันตรายถึงชีวิตกลับทำให้ไป๋สี่ร้อนใจเช่นนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างแน่นอน
หัวงูของไป๋สี่หันกลับมามองมู่ชิงเกอและพูดออกมาว่า “ช่วงนี้เขาทะลวงขอบเขตมาโดยตลอด แต่การทะลวงขอบเขตของเขานั้นค่อนข้างแปลก เจ้ายังจำครั้งที่หยิน
เฉินกลายร่างแล้วภายในเคราะห์อสนีมีเคราะห์อสนีสายเลือดสายหนึ่งหรือไม่?”
เคราะห์อัสนีสายเลือด?!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ นางจำได้
ในตอนนั้นเคราะห์อัสนีสายเลือดสายนั้นยังทำให้นางกับหยินเฉินทรมานไม่น้อย
“ตอนนั้นข้าเคยพูดแล้วว่า ในร่างกายของเขามีสายเลือดซ่อนอยู่ถึงได้ดึงดูดเคราะห์อัสนีสายเลือดให้เข้ามาได้ แต่กลับไม่รู้ว่าสายเลือดที่ซ่อนอยู่นี้เป็นอะไรกันแน่” ไป๋สี่เอ่ยออกมา
“ตอนนี้ล่ะ?” ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกหนักอึ้ง ค่อยๆ เดา ความหมายในคำพูดของไป๋สี่ออก
“ตอนนี้..” ภายในดวงตาสีทองของไป๋สี่ฉายแววเคร่งขรึม
หลายปีมานี้มู่ชิงเกอผ่านประสบการณ์ต่างๆ นานา มามากมาย ดังนั้นจึงให้พวกเขาทั้งสามอยู่ในลั่วซิงเฉิงตลอด และก็ทำให้นางและโห่วมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของหยินเฉิน “โห่วพูดว่า…สายเลือดที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของหยินเฉิน เกรงว่าจะเป็นมังกร”
อะไรนะ!
มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง ตกตะลึงมาก
‘เห็นได้ชัดว่าหยินเฉินเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง ภายในร่างกายจะมีสายเลือดของมังกรได้อย่างไร?! นี่…นี่มันเหนือจินตนาการเกินไปแล้ว!’
จิ้งจอกเปลี่ยนเป็นมังกร? ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกปฏิเสธกับการข้ามสายพันธุ์ชนิดนี้!
“นี่…เป็นไปได้อย่างไร?” มู่ชิงเกอมุมปากกระตุก
ไป๋สี่กลับพูดว่า “เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ โห่วนั้นมีความคุ้นเคยกับมังกรมาก เขาพูดเช่นนี้ก็เพราะมั่นใจว่าในร่างกายของหยินเฉินมีกลิ่นอายของมังกรอยู่”
“…” มู่ชิงเกอไร้คำพูดจะตอบโต้
โห่วกินสมองมังกรเป็นอาหาร ดังนั้นก็สามารถพูดได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเผ่ามังกร และคนที่เข้าใจตนเองดีที่สุดนั้นก็ไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นศัตรู นางก็เชื่อว่าโห่วไม่มีทางจำผิด
แต่ว่า จิ้งจอกกับมังกร…
เห็นมู่ชิงเกอนิ่งเงียบไป ดูเหมือนยากจะทำใจกับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไป๋สี่จึงอธิบายอีกว่า “เผ่ามังกรในหมู่เผ่าสัตว์อสูรนั้นอยู่จุดสูงสุดมาโดยตลอด มีเพียงแค่สัตว์ประหลาดบางชนิดเท่านั้นที่อยู่เหนือมัน เหมือนกับโห่ว เขากับข้านั้นเหมือนกันที่เกิดขึ้นมาคู่กับฟ้าดิน อยู่มาตั้งแต่กำเนิดโลก แต่พลังของเขาอยู่เหนือข้าและก็อยู่เหนือมังกร เผ่ามังกรมักสำส่อน ไม่รู้ว่าได้ทำร้ายเผ่าสัตว์อสูรไปมากมายแค่ไหน และก็มีสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อยที่เกิดมาพร้อมกับเลือดของเผ่ามังกรเจือปน เผ่าจิ้งจอกนั้นมีเสน่ห์มาตั้งแต่เกิด หากไม่ถูกเผ่ามังกรทำร้ายถึงจะแปลก ยังมีอีกทางหนึ่งก็คือมังกรสามารถกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลก ส่วนสิ่งมีชีวิตในโลกก็สามารถฝึกปรือกลายเป็นมังกรได้ หยินเฉินเป็นราชาจิ้งจอกหิมะเก้าหาง สายเลือดสูงส่งในหมู่จิ้งจอก และเขาก็ฝึกปรือกับเจ้ามาโดยตลอด พัฒนาความสามารถอย่างสมํ่าเสมอจนเข้าสู่ขอบเขตจิ้งจอกสวรรค์นานแล้ว จิ้งจอกสวรรค์ผ่านเคราะห์นับพันแล้วไม่ตายจะพัฒนากลายเป็นจิ้งจอกมังกร ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะสายเลือดที่ซ่อนอยู่หรือว่าเพราะการฝึกฝนของตนเอง เรื่องที่หยินเฉินจะกลายเป็นจิ้งจอกมังกรก็เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น”
เมื่อไป๋สี่พูดเช่นนี้ก็ทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจได้ในที่สุดและก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหยินเฉิน
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยกับไป๋สี่ว่า “ตอนนี้หยินเฉินเจอปัญหาอะไร?”
นัยน์ตาของไป๋สี่เปลี่ยนเป็นดุดันขึ้น พูดติดโมโหเล็กน้อยว่า “ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็ทำให้หยินเฉินเกิดการเปลี่ยนแปลง คิดจะเปลี่ยนแปลงเป็นมังกร กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าจิ้งจอกก็ต้องผ่านเคราะห์นับพันให้ได้ เจ้าบ้านี่ทำเพื่อจะได้กลับมาอยู่ข้างกายของเจ้าเร็วขึ้น จึงเอาเคราะห์นับพันในพันปีมารับไว้ในคราวเดียว”
มู่ชิงเกอเบิกตากว้าง ตกตะลึงไป
ถึงแม้นางจะไม่ค่อยเข้าใจว่าอะไรคือเคราะห์นับพัน…แต่ นางก็สามารถคาดเดาความหมายออกได้จากคำ
“สามปีมานี้มีข้าและโห่วปกป้อง เขาได้ผ่านเคราะห์อย่างต่อเนื่องไปเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเคราะห์แล้วเหลือเพียงอีกเคราะห์เดียวก็จะสำเร็จ แต่ว่าความสำคัญของเคราะห์ครั้งนี้อยู่ที่เจ้า” ไป๋สี่หันหน้ามาพูดกับมู่ชิงเกอ
“อยู่ที่ข้า?” มู่ชิงเกอสงสัย
ไป๋สี่พยักหน้า “เจ้าเป็นเจ้านายของหยินเฉิน เคราะห์สุดท้ายนี้จำเป็นต้องให้พวกเจ้าสองคนรับด้วยกัน”
มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้า เข้าใจความหมายของไป๋สี่
ไป๋สี่พานางทะลวงเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาห่างจากลั่วซิงเฉิง
สถานที่แห่งนี้ไม่มีร่องรอยของมนุษย์และเงียบสงบมาก มู่ชิงเกอร่อนลงพื้น ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของสัตว์อสูรโดยรอบ ไป๋สี่กลายร่างเป็นคน ยืนอยู่ข้างกายนางแล้วพูดว่า “ที่แห่งนี้ถูกโห่วลงอาคมไว้เพื่อไม่ให้คนหรือสัตว์อสูรใดรับรู้ถึงเคราะห์ของหยินเฉิน พวกเขาอยู่ในหุบเขาตรงนั้น”
ยกมือขึ้นและชี้ไปยังรอยแตกรอยหนึ่งไม่ไกลออกไป มู่ชิงเกอไปในทันที
ทั้งสองคนไม่ได้ชักช้าเข้าไปในรอยแตกท่ามกลางหุบเขา เพียงแค่ทั้งสองคนลงสู่พี้น โห่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าก้อนเนื้อก้อนหนึ่งก็หันหน้ากลับมา เขามองไปบนร่างของมู่ชิงเกอ จมูกที่อยู่ใต้รอยสักยังคงดูน่ากลัว แต่นัยน์ตากลับเก็บร่องรอยที่ชั่วร้ายกลับไป
“มาแล้ว” เขาพูดขึ้น
มู่ชิงเกอรีบเดินเข้าไป สายตาตกไปบน ‘ก้อนเนื้อ’
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” แม้จะไม่มีใครอธิบาย แต่นางก็คาดเดาออกว่า ‘ก้อนเนื้อ’ นั้นก็คือหยินเฉิน
เพราะกลิ่นอายของพันธสัญญาไม่อาจโกหกได้
“ยังเหลืออีกก้าวหนึ่ง” โห่วพูดตรงๆ
มู่ชิงเกอมองเขา นัยน์ตาสดใสเต็มไปด้วยความแน่วแน่และจริงจัง “ข้าต้องทำอย่างไร?”
โห่วเหลือบมองดวงตาของนาง ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “เวลาสามปี เขารับเคราะห์ที่แต่เดิมควรแบ่งรับเป็นพันปี ตอนนี้เขาอ่อนแอมาก เคราะห์สุดท้ายนี้ร้ายกาจที่สุด หากว่ารับเอาไว้ไม่ได้ เขาไม่เพียงแต่จะสูญเสียพลังทั้งหมดที่เคยมี แต่ยังต้องวิญญาณแตกสลายด้วย”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอกดตัวลง สายตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน
“เจ้ากับเขามีพันธสัญญากัน ความคิดเชื่อมกัน มีเพียงเจ้าที่สามารถรับเคราะห์สุดท้ายนี้แทนเขาได้ทำให้เขาผ่านเคราะห์นับพันได้สำเร็จโดยสมบูรณ์และกลายเป็นมังกร” เมื่อโห่วพูดจบก็เอ่ยถามในทันทีว่า “ตอนนี้ระดับพลังของเจ้าอยู่ขั้นไหนแล้ว?”
เดิมทีเขาก็สามารถดูได้ด้วยตนเอง แต่ตอนนี้เวลากระชั้นชิดมาก ถามตรงๆ เลยจะเร็วกว่า
“ระดับสีทองขั้นหก!” มู่ชิงเกอตอบในทันที
คำพูดนี้ของนางทำให้ไป๋สี่และโห่วตกตะลึง พวกเขาจำได้ว่าตอนที่มู่ชิงเกอออกเดินทางไปภาคตะวันออกนั้นยังอยู่ระดับสีทองชั้นหนึ่งอยู่เลย
โห่วพยักหน้า ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เดิมข้ายังคิดว่าหากพลังฝึกปรือของเจ้าไม่ถึงระดับสีทองชั้นสาม ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสี่ยง แต่ตอนนี้ดูแล้วข้าประเมินเจ้าตํ่าไป”
มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า พูดว่า “ในตอนนี้ข้าเพียงแค่รู้สึกขอบคุณการพัฒนาระดับพลังที่สามารถช่วยหยินเฉินได้”
นี่เป็นความจริง หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้วนางคงได้แต่ดูหยินเฉินตายไป
ทันใดนั้น ภายในหุบเขาก็เกิดท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆดำเหมือนจะตกลงมา
ภายในหุบเขาเกิดลมพายุรุนแรง พัดดินทรายปลิวว่อน
โห่วเงยหน้าขึ้น มองเข้าไปในชั้นเมฆ ฟ้าแลบแปลบปลาบ แล้วก็เตือนมู่ชิงเกอว่า “มาแล้ว!”
มู่ชิงเกอก็เงยหน้ามองเช่นเดียวกัน นางมองดูฟ้าแลบที่เป็นรูปคล้ายมังกรแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เดินไปตรงหน้า ‘ก้อนเนื้อ’ นั้น
บนร่างกายของนางปรากฎเปลวเพลิงวาบขึ้น ชุดเกราะเพลิงปรากฎขึ้นบนร่างนาง รอบกายของนางเต็มไปด้วยพลังจิตสีทอง แสงสีทองนั้นแสบตาเจิดจ้าดุจดั่งแสงตะวัน
นัยน์ตาสดใสของนางกลับมีสายฟ้าไหลผ่าน พลังสายฟ้าในตัวนาง ดูเหมือนจะได้รับการดึงดูดจากเคราะห์สวรรค์ทำให้สับสน
ครืน!
เคราะห์สวรรค์บอกว่ามาก็มาทันที สายฟ้ารูปมังกรคำรามพุ่งออกมาจากเมฆ ท่าทางที่ดูน่ากลัวนั้นดูเหมือนคิดจะทำลายมู่ชิงเกอและ ‘ก้อนเนื้อ’ ที่อยู่ด้านหลังนางไปพร้อมกัน
เท้าขวาของมู่ชิงเกอก้าวถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว เปลี่ยนท่าเพื่อให้ตนเองยืนได้มั่นคงมากขึ้น
นางไขว้มือ วางแขนซ้อนกัน พลังสายฟ้ารวมตัวแล้วยิงออกมาจากแขนของนาง พุ่งเข้าไปใส่สายฟ้าที่ผ่าลงมาสายนั้น
บึ้ม!
สายฟ้าสองสายปะทะกัน กลายเป็นสายฟ้าแตกเป็นสายเล็กๆ นับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า
ฉากนี้น่าตกตะลึงจริงๆ! ไป๋สี่และโห่วสร้างขอบเขตป้องกันตนเองจากเคราะห์อัสนี ส่วนบรรดาสายฟ้าที่ตกลงบนร่างของมู่ชิงเกอและ ‘ก้อนเนื้อ’ ด้านหลังของนางก็ล้วนแต่ถูกชุดเกราะเพลิงบนร่างของนางและ ‘ก้อนเนื้อ’ นั้นดูดเข้าไป…