ตอนที่ 510
เข้าตำหนักเทพของข้า เจ้าไม่ตาย
‘ตอนนี้ยังไม่รู้’ มู่ชิงเกอก็ถ่ายทอดเสียงกลับไป
ซีเซียนเสวี่ยไม่รู้เรื่องที่นางถูกตำหนักเทพไล่ฆ่าอย่างแน่นอน มิฉะนั้นหลายปีมานี้คงไม่เงียบเช่นนี้ จุดนี้มู่ชิงเกอมั่นใจในตัวซีเซียนเสวี่ยมาก
ปฏิกิริยาของนางทำให้ซีเซียนเสวี่ยขบริมฝีปาก ขมวดคิ้วขึ้นนัยน์ตาฉายแววเป็นกังวล
เมื่อมู่ชิงเกอมองเห็นท่าทางของนางแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นถ่ายทอดเสียงไปว่า ‘เจ้ากำลังกังวลใจเรื่องอะไร?’
ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้ามองนาง ความกังวลใจเผยออกมาในสายตา ‘ในตอนนั้นหลังจากที่ข้าออกมาจากสนามรบโบราณแห่งเทพมาร มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เสียสมาธิในขณ ฝึกปรือและบังเอิญโดนอาจารย์พบเข้า ดูเหมือนเขาจะดูออกว่าข้ามีความคิดอะไรในใจ ดังนั้นจึงถามข้าว่าจิตใจหวั่นไหวหรือไม่ เพียงแต่ในตอนนั้นข้าปฏิเสธได้ทัน ถึงแม้เขาไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ แต่ข้ากับรู้สึกว่าเขาไม่เชื่อทั้งหมด’
มู่ชิงเกอหรี่ตาลงฟังคำพูดของซีเซียนเสวี่ย
เมื่อสี่ปีก่อนที่ริมแม่นํ้ารั่ว เว่ยมั่วลี่พูดเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง นางเพียงแต่เดาเรื่องคร่าวๆ ออกมาได้เท่านั้น วันนี้จะได้เข้าใจจากคำพูดของซีเซียนเสวี่ยซะที
‘ต่อมาข้าก็ได้รู้ว่าอาจารย์ลอบสืบว่าช่วงนี้ข้าใกล้ชิดกับใคร จากนั้นสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เว่ยมั่วลี่ มีวันหนึ่งที่อาจารย์มาหาข้าที่สถานที่บำเพ็ญแล้วถามข้าว่า ข้าหวั่นไหวใจไปกับเว่ยมั่วลี่หรือไม่ ข้าเห็นว่าเขายังหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องนี้อยู่กลัวว่าเขาจะสืบไปถึงตัวเจ้า ทำให้เจ้าลำบาก ดังนั้นจึงไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับแสดงท่าทีออกมาว่าทั้งชีวิตนี้ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอารมณ์ทางโลก จะตั้งใจแสวงหาวิถีเท่านั้น แต่เขากลับจากไปอย่างเร่งรีบ แล้วกักบริเวณข้า ข้าเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ จึงลอบส่งคนสนิทไปแจ้งเว่ยมั่วลี่ได้ทันท่วงที ส่วนสิ่งที่เขาตอบกลับมาหาข้ากลับเป็นว่า เจ้าช่วยชีวิตของเขาครั้งหนึ่ง อันตรายนี้เขายินดีจะรับแทนเจ้า’ ซีเซียนเสวี่ยอธิบาย
ในที่สุดมู่ชิงเกอก็เข้าใจความเป็นไปของเรื่องนี้แล้ว
‘เจ้าเพิ่งมาถึงภาคกลางเพื่อสุสานเทพ แต่อาจารย์กับเรียกเจ้ามาพบอย่างกะทันหัน ข้ากังวลใจว่าเขาจะพบเจออะไรผิดสังเกตหรือไม่’ ซีเซียนเสวี่ยพูดอย่างเป็นกังวล
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะในใจ
นางรู้ว่านักบวชเทวะหานางด้วยเรื่องอะไร ไม่ใช่เพราะซีเซียนเสวี่ย แต่เป็นเพราะหม้อผลาญสวรรค์
เพียงแต่ในตอนนี้นางยังไม่อยากให้ซีเซียนเสวี่ยรู้เรื่องนี้ แล้วเข้ามาเกี่ยว ดังนั้นนางจึงได้แต่ปลอบว่า ‘วางใจเถอะ ที่นักบวชเทวะหาข้า น่าจะไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ อีกอย่างถึงแม้จะรู้ว่าเข้าใจคนผิดไปแล้วจะเป็นอย่างไร ข้าเป็นผู้หญิง เขาคิดว่าระหว่างข้ากับเจ้าจะสามารถเกิด
อะไรขึ้นได้ด้วยงั้นหรือ’
ใครจะรู้ว่าเพียงแค่นางพูดออกไปก็ทำให้แก้มของซีเซียนเสวี่ยแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าที่ดูบริสุทธิ์ไร้มลทินปรากฎอารมณ์เอียงอายออกมา ซึ่งทำให้มู่ชิงเกอชะงักรู้สึกแปลกในใจ ตนเองพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ
‘ไม่ใช่ก็ดีแล้ว’ ในดวงตาของซีเซียนเสวี่ยดูสับสนวุ่นวาย ซ่อนหัวใจที่เต้นแรงของตนเอง
นางนำมู่ชิงเกอเดินไปบนสะพานลอยเข้าไปในเกาะกลางทะเลสาบ
นางแนะนำให้มู่ชิงเกอฟังว่า “ที่นี่เป็นสถานที่ทำสมาธิของอาจารย์ข้า คนธรรมดายากที่จะเข้ามาได้ เขาเรียกเจ้ามาพบที่นี่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าให้ความสำคัญกับเจ้ามาก”
นักบวชเทวะให้ความสำคัญกับนางงั้นหรือ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้น เขาน่าจะให้ความสำคัญกับหม้อผลาญสวรรค์ของนางมากกว่า
“มองเห็นหอคอยอันนั้นหรือยัง” ทันใดนั้นซีเซียนเสวี่ยก็พูดขึ้น
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองขึ้นไปยังหอคอยที่ตรงขึ้นไปในชั้นเมฆ ไม่รู้ว่าใช่อันที่มองเห็นจากด้านนอกหรือเปล่า
“ที่นั่นสามารถรับคำสั่งจากแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้ และแน่นอนว่าสิ่งที่ได้รับก็มาจากเผ่าเทพ ในครั้งนั้นข่าวที่ให้ไล่ฆ่าผู้มีความสามารถแซ่มู่ก็มาจากที่นี่” ซีเซียนเสวี่ยยิ้มเอ่ยออกมา
หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ระหว่างนางกับมู่ชิงเกอคงจะไม่เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นในภายหลัง
ส่วนเรื่องนี้สำหรับมู่ชิงเกอ นางก็รู้แล้วว่ามู่เทียนอินเป็นคนสร้างเรื่องขึ้น ส่วนมู่เทียนอิน…ภายในหัวปรากฎภาพ คนคนนั้นขึ้นมา ทำให้บรรยากาศรอบกายของมู่ชิงเกอดูเย็นยะเยือกขึ้น
“เจ้าเป็นอะไรไปหรือ’’ซีเซียนเสวี่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเย็นยะเยือกจากด้านข้างจึงรีบถามออกมา
มู่ชิงเกอส่ายหน้า แสดงออกว่าตนเองไม่เป็นอะไร
เมื่อเข้าไปในตำหนักบนเกาะกลางนํ้าแล้ว ซีเซียนเสวี่ยก็ไม่พูดคุยกับมู่ชิงเกออีก แต่ได้กลับคืนสู่ความสูงส่งและเย็นชาของธิดาเทพ นางเดินไปข้างหน้าเล็กน้อย ส่วนมู่ชิงเกอก็เดินค่อนไปอยู่ทางด้านหลัง
เดินตามพรมบนพื้นเข้าไปในตำหนักที่ดูศักดิ์สิทธิ์ มู่ชิงเกอก็มองเห็นว่าบนที่นั่งราชามีคนนั่งอยู่หนึ่งคน
คนคนนั้นสวมชุดสีเงินทั้งร่าง บนนั้นปักด้วยลวดลายสีทองดูแล้วงดงามสูงส่งไม่ธรรมดา ผมสีเงินทั้งศีรษะดูบริสุทธิ์ไม่มีสีอื่นเจือปน
แต่รูปลักษณ์ของเขากลับดูหนุ่มแน่นทั้งยังถือว่าหล่อเหลา
‘หนุ่มขนาดนี้เชียวหรือ!’ มู่ชิงเกอตกตะลึงในใจ
เพียงแต่รายงานของนางกลับบอกนางว่านักบวชเทวะรุ่นนี้ของตำหนักเทพอายุได้พันปี แล้ว
“เซียนเสวี่ยคำนับอาจารย์!” ซีเซียนเสวี่ยยืนอยู่ด้านล่าง แล้วคำนับ
แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ได้ขยับเพียงแต่ยืนอยู่ตำแหน่งด้านหลังของนาง ห่างออกไปเล็กน้อย นางมองไปยังนักบวช เทวะ ไม่ใช่ว่านางหยิ่งผยองแต่เป็นเพราะระหว่างนางและตำหนักเทพนั้นลอบฆ่ากันในที่ลับมาหลายครั้งแล้ว ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจแล้วเหตุใดยังต้องเกรงใจกันตามมารยาทอีกเล่า
ความเงียบของนางทำให้สายตาของนักบวชเทวะออกจากร่างของซีเซียนเสวี่ยมาที่ร่างของนาง
แค่พบกันครั้งแรกมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าในสายตาของนักบวชเทวะเหมือนมีความก้าวร้าวซ่อนอยู่ การพิจารณาอย่างไม่เกรงกลัวนี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว
นางขมวดคิ้วขึ้น
เวลานี้นักบวชเทวะถึงได้เก็บความรู้สึกไปบ้างและเอ่ยปากว่า “เจ้าเมืองมู่?”
มู่ชิงเกอพยักหน้ารับเล็กน้อย ในตอนที่ซีเซียนเสวี่ยหันมามองเพราะเป็นห่วงปฏิกิริยาของนางนั้น มู่ชิงเกอก็ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยว่า “มู่ชิงเกอคำนับนักบวชเทวะ”
นักบวชเทวะหรี่ตาลง กลอกตาไปมาระหว่างซีเซียนเสวี่ยและมู่ชิงเกอ ไม่มีใครเห็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายใน
“ได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าเมืองมู่นั้นอายุยังน้อยแต่มีความสำเร็จไม่ธรรมดา ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบหน้า” นักบวชเทวะพูดขึ้นมา
แต่เขาไม่ได้พูดต่อ เขาหันไปทางซีเซียนเสวี่ยแล้วเผยรอยยิ้มเมตตา “เซียนเสวี่ย คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะพบกัน”
ซีเซียนเสวี่ยก้มหน้าลงอธิบาย “ตอบอาจารย์ ข้ากับเจ้าเมืองมู่พบกันบนสะพานลอย ได้รู้ว่านางก็มาพบอาจารย์เช่นเดียวกันจึงได้นำทาง”
นักบวชเทวะพยักหน้า เขาค่อยๆ เดินลงมาจากที่นั่งเดินไปถึงตรงหน้าของซีเซียนเสวี่ย “ที่เจ้ามาในวันนี้ก็คือมาคำนับอาจารย์ใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ย
มู่ชิงเกอสังเกตเห็นว่าในตอนที่ซีเซียนเสวี่ยคุยกับนักบวชเทวะนั้นจะก้มหน้าอยู่ตลอด ดูเหมือนว่าจงใจจะหลบสายตาของนักบวชเทวะ ส่วนนักบวชเทวะล่ะ สายตาที่เขามองซีเซียนเสวี่ยนั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเอ็นดูของผู้อาวุโส แต่นางกลับรู้สึกว่ามันแปลกๆ
“ช่วงนี้ฝึกปรือเป็นอย่างไรบ้าง พบอุปสรรคอะไรหรือไม่ ต้องการให้อาจารย์ช่วยชี้แนะเจ้าหรือไม่” นักบวชเทวะเอ่ยถาม
“ไม่มีเจ้าค่ะ” ซีเซียนเสวี่ยเอ่ยตอบ
แต่นักบวชเทวะกลับยังเอ่ยต่อว่า “ในระหว่างการฝึกปรือ มักจะเกิดมารในใจ การฝึกปรือในช่วงนี้ของเจ้าก็พบเจอกับอุปสรรคพอดี…เอาอย่างนี้เถอะ คืนนี้เจ้ารอข้าอยู่ในห้อง ข้าจะช่วยดูให้เจ้า”
ซีเซียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองนักบวชเทวะอย่างตกตะลึง นางเอ่ยปฏิเสธว่า “ไม่จำเป็นต้องรบกวนอาจารย์ หลายวันมานี้ข้าฝึกปรือได้อย่างราบรื่นไม่พบอุปสรรคใดๆ อีกอย่างในตอนกลางคืนอาจารย์ก็ต้องพักผ่อน หากต้องมาลำบากเพราะศิษย์ ศิษย์คงจะรู้สึกผิดในใจ”
‘ซีเซียนเสวี่ยกำลังกลัวอะไร?’ มู่ชิงเกอรูลึกแปลกใจ อีกอย่างนางก็แปลกใจที่นักบวชเทวะผู้นี้อยากจะไปห้องของหญิงสาวในตอนกลางคืนเพื่อชี้แนะการฝึกปรือ เหตุใดฟังๆ ไปจึงรู้สึกอึกอัดนะ!
ส่วนการปฏิเสธของซีเซียนเสวี่ยก็เหมือนผ่านการคิดคำนวณมาอย่างละเอียด
ดูเหมือนว่านางจะกลัวการอยู่ตามลำพังกับอาจารย์ของนาง
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแวววาววาบ กำลังคาดเดาถึงความสัมพันธ์ระหว่างซีเซียนเสวี่ยกับนักบวชเทวะในใจ หรือน่าจะพูดว่าคาดเดาถึงท่าทีที่ดูเป็นห่วงเกินไปของนักบวชเทวะที่มีต่อซีเซียนเสวี่ยเสียมากกว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ตั้งใจฝึกปรือเถอะ ฉวยเวลาก่อนที่จะเข้าไปในสุสานเทพ จะได้มั่นใจขึ้นอีก” นักบวชเทวะพูดกับซีเซียนเสวี่ย
ซีเซียนเสวี่ยโล่งอก พูดกับเขาว่า “เจ้าค่ะอาจารย์”
“อืม” นักบวชเทวะพยักหน้า หันมองไปทางมู่ชิงเกอแล้ว พูดกับซีเซียนเสวี่ยว่า “ในเมื่อได้คำนับแล้วก็ถอยออกไปเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าเมืองมู่ ตั้งใจฝึกปรือ อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวัง”
ซีเซียนเสวี่ยรู้สึกกังวลใจที่จะให้มู่ชิงเกออย่ที่นี่เพียงลำพัง นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ลอบมองมู่ชิงเกอ แต่กลับพบว่านางลอบพยักหน้าให้กับตนเองถึงได้หลุบตาลง เอ่ยว่า “เจ้าค่ะ อาจารย์”
ซีเซียนเสวี่ยถอยออกไป ภายในตำหนักเหลือเพียงแค่มู่ชิงเกอและนักบวชเทวะสองคน
รอจนเงาร่างของซีเซียนเสวี่ยหายไปจากสายตาแล้ว นักบวชเทวะถึงได้เก็บแววตาที่ดูเมตตา เพิ่มความเฉียบคมเข้ามาหลายส่วน เขามองมู่ชิงเกอโดยไม่เก็บซ่อนแววตาอีก
ภายใต้การพิจารณาของเขานั้น สีหน้าของมู่ชิงเกอก็เคร่งเครียดขึ้นมา พูดว่า “ไม่รู้ว่านักบวชเทวะเชิญข้ามานั้นมีเรื่องอะไรหรือ’’
เมื่อพูดถึงประเด็นหลัก สายตาที่แฝงความก้าวร้าวแปลกๆ ของนักบวชเทวะถึงค่อยลดลงบ้าง เขายิ้มบางๆ กลับขึ้นไปนั่งบนที่นั่ง สะบัดแขนเสื้อกว้าง แล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าเมืองมู่ เพราะเหตุใดถึงเชิญเจ้ามาในวันนี้ คิดว่าเจ้าเองก็คงจะรู้ดี ในเมื่อเจ้าก็เป็นคนฉลาดแล้ว เหตุใดต้องทำเรื่องที่โง่เขลาด้วยเล่า”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหรี่ลงอย่างขี้เล่น เลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามว่า “เอ? เรี่องที่โง่เขลา ไม่รู้ว่านักบวชเทวะพูดถึงเรื่องอะไรหรือ”
นัยน์ตาของนักบวชเทวะฉายแววดุดันขึ้น รอยยิ้มก็ปรากฎความเย็นยะเยือก “เจ้าเมืองมู่อยากจะให้ข้าพูดทุกอย่างออกมาเลยงั้นหรือ ที่ข้าเชิญเจ้ามาในวันนี้ก็เพราะคิดจะบอกเจ้าว่าระหว่างเจ้ากับตำหนักเทพนั้นยังไม่ทันเดินไปถึงจุดสุดท้าย หากว่าเจ้ายังไม่เข้าใจ จุดจบ สุดท้ายก็มีแค่เพียงตายอย่างเดียว ความสำเร็จที่เจ้าสร้างมาอย่างยากลำบากก็จะถูกทำลายกลายเป็นผุยผง ผ่านไปอีกไม่กี่ปี ทุกคนในโลกแห่งยุคกลางก็จะลืมชื่อมู่ชิงเกอไป รวมไปถึง…หลินชวนก็จะไม่มีใครจดจำนายน้อยของตระกูลมู่ได้อีก”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง มองนักบวชเทวะด้วยท่าทีเย็นชา
ในตอนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของนักบวชเทวะทำให้นางรังเกียจมาก นึกอยากจะฉีกรอยยิ้มเมตตาบนใบหน้าของเขาออกมา
“เอ? คำพูดที่เจ้าพูดกับข้าดูเหมือนจะรู้สึกไม่ชอบใจเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร” นักบวชเทวะพูดอย่างขี้เล่น
มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “เป็นถึงตำหนักเทพอันยิ่งใหญ่ หากว่าเวลาหลายปีมานี้สืบหาที่มาของข้าไม่ได้ เช่นนั้นก็จะดูไร้ความสามารถไปหน่อย”
ตำหนักเทพต้องการจัดการนาง เช่นนั้นในหลายปีนี้ก็ต้องสืบเรื่องราวของนางอย่างชัดเจน จุดนี้นางคิดได้นานแล้ว
แต่จากคำพูดของนักบวชเทวะ ดูเหมือนตำหนักเทพจะค้นพบเพียงตระกูลมู่ในแคว้นฉินที่หลินชวนเท่านั้น แต่หาเรื่องราวของตระกูลมู่ไม่พบ นี่เป็นเพราะว่าไม่รู้จักเบื้องหลังของตระกูลมู่ จึงไม่ได้ใส่ใจเพื่อสืบหาจนพบ หรือว่าเขาไม่ได้รู้เลยว่าตระกูลมู่นั้นหมายถึงอะไร?
คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้นักบวชเทวะยิ้ม เขาพูดอย่างภูมิใจว่า “ดังนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าบนแผ่นดินนี้หากเป็นศัตรูกับตำหนักเทพนั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลาเพียงใด”
“โง่เขลางั้นหรือ” มู่ชิงเกอเยาะเย้ย
นักบวชเทวะพยักหน้า “เดิมทีเจ้าสมควรจะเป็นรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นมากที่สุดในโลกแห่งยุคกลางและหลินชวน มาตอนนี้กลับต้องเตรียมตัวป้องกันการลอบฆ่าอยู่ตลอดเวลา นี่เพื่ออะไรกัน? ไม่สู้ให้ข้าชี้ทางสว่างแก่เจ้าทางหนึ่งเถอะ”
“เชิญชี้แนะ” รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอฉายแววยั่วยุ
นักบวชเทวะมองไม่เห็นท่าทีที่ยั่วยุของนาง หรืออาจมองเห็นแล้วแต่ไม่สนใจ เขาพูดต่อว่า “ส่งของที่ข้าต้องการออกมา แล้วเจ้าจะได้รับการคุ้มครองจากตำหนักเทพ อยากได้อะไรก็ได้ในโลกแห่งยุคกลาง ได้รับการเคารพนับถือจากประชาชน แม้ต่อไปภายภาคหน้าเจ้าจะเข้าไปในแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมาร ข้าก็สามารถแนะนำเจ้า มอบเส้นทางที่ดีให้แก่เจ้าได้”
“ฟังไปแล้วดูเหมือนว่าจะคุ้มค่ามาก” รอยยิ้มของมู่ชิงเกอไม่ได้เปลี่ยนทำให้คนเดาไม่ออกว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
นักบวชเทวะคิดว่านางหวั่นไหวจึงพูดอีกว่า “ของสิ่งนั้น เดิมทีก็ไม่ใช่ของๆ เจ้า เจ้าเอาไว้ในมือก็เป็นเหมือนของที่นำหายนะมาให้ เมื่อส่งมอบมันออกมาก็จะดีสำหรับทุกคน เหตุใดจึงไม่ทำเล่า? ส่งของออกมา เชื่อฟังตำหนักเทพ เจ้าก็ไม่ต้องตาย ทั้งยังจะได้รับอำนาจที่คนนับไม่ถ้วนปรารถนาอีก”
“ถ้าหากว่าข้าปฏิเสธล่ะ?” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยออกมา
“ปฏิเสธงั้นหรือ” นักบวชเทวะหรี่ตาลง เก็บรอยยิ้มบนใบหน้ากลับ เปลี่ยนเป็นความเย็นชา “หลักประกันของเจ้าคืออะไร? คู่หมั้นที่มีที่มาไม่ชัดเจนแต่มีพลังแข็งแกร่งของเจ้า? หรือว่าสำนักวิถีโอสถ? ไม่ว่าจะเป็นข้อแรกหรือว่าข้อหลัง เมื่ออยู่ต่อหน้าตำหนักเทพแล้วก็ล้วนแต่เป็นมดปลวก วันนี้ข้ามอบโอกาสให้เจ้า หากเจ้าไม่รู้จักรักษาก็ อย่าโทษว่าข้าไร้จิตใจก็แล้วกัน”
“ดังนั้น?” รอยยิ้มที่มุมปากของมู่ชิงเกอดูขี้เล่นขึ้นเรื่อยๆ
บรรยากาศรอบกายของนักบวชเทวะเปลี่ยนเย็นยะเยือกขึ้น เขายืนขึ้นก้มลงมองมู่ชิงเกอ ดวงตาคู่นั้นดูเหี้ยมโหดอำมหิต “เป็นหรือว่าตาย เจ้าเลือกเอง”
มู่ชิงเกอหัวเราะขึ้นมา รอยยิ้มนั้นดูตรงไปตรงมาและบ้าคลั่ง “ระหว่างเป็นหรือตาย ข้าก็ต้องเลือกเป็นแน่นอนอยู่แล้ว”
นักบวชเทวะยิ้มขึ้นมา
เพียงแต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขายังยิ้มออกมาได้ไม่เต็มที่ก็ถูกคำพูดต่อมาของมู่ชิงเกอแช่แข็ง
“แต่ของๆ ข้า ใครก็อย่าคิดเอาไป เมื่อต้องการทำลายข้า ก็ต้องเตรียมตัวถูกทำลาย ตำหนักเทพก็เช่นกัน”
ไอสังหารอันดุดันและน่ากลัวพุ่งเข้าหามู่ชิงเกอ
บรรยากาศภายในตำหนักที่ศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา
ในตอนที่ไอสังหารจากร่างของนักบวชเทวะพุ่งเข้าใส่มู่ชิงเกอนั้น บนร่างของนางก็มีเปลวไฟลุกขึ้นมา เปลวไฟที่เหมือนแสงอาทิตย์เผาทำลายดาบไร้รูปที่มาพร้อมกับไอสังหาร เพียงแค่พริบตาเดียวก็ทำลายกระบวนท่าสังหารของนักบวชเทวะลงไป
หลังจากเปลวไฟหายไป บนร่างของมู่ชิงเกอก็มีชุดเกราะอันสวยงามปรากฎขึ้น