Skip to content

พลิกปฐพี 608

ตอนที่ 608

การประลองปัญญาเทวะ

มู่ชิงเกอชะงักไป ‘นี่คือเริ่มแล้วหรือ’

เรียบง่ายเสียจนนางไม่มีเวลาเตรียมใจเลยแม้แต่นิด

มองดูผู้คนทั้งซ้ายขวากลับมีใบหน้านิ่งเฉย เห็นชัดว่าพวกเขาคงจะคุ้นชิน แสดงว่าการถกวิถีครั้งก่อน ก็คงเข้าจุดสำคัญของงานอย่างรวดเร็วเช่นกัน

“แท่นวิถีอยู่ที่ไหนหรือ” มู่ชิงเกอถามจวงซานที่อยู่ข้างๆ

จวงซานกระซิบว่า “พวกเราเดินตามกลุ่มคนไปแล้วกัน”

มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ

พอเสียงนั้นพูดจบทุกคนก็ปราดไปทางแท่นวิถี

ลูกศิษย์วัยเยาว์เป็นกลุ่มๆ ต่างลอยล่องไปด้านหน้าราวกับเซียนในโลกของหิมะ เป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

จวงซานมองมู่ชิงเกอแล้วบอกนางว่า “การประลองถกวิถีเป็นการประลองเฉพาะคน คนที่จะ สามารถเบียดเข้าถึงร้อยคนแรกได้ต่างก็ต้องอาศัยฝีมือเฉพาะตัว”

สายตามู่ชิงเกอสงบลงเพราะเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว

เวทีประลองดินแดนจงซานเป็นสถานที่มีภูเขาล้อมรอบ

ภูเขาที่นี่ล้วนเป็นยอดเขาสูงชันที่มีหิมะปกคลุมขึ้นลงสูงต่ำ มองไปไกลๆ ยอดเขาหิมะที่เป็นวงล้อมรอบนี้ราวกับมงกุฎยักษ์ที่ตั้งอยู่อย่างมั่นคงระหว่างฟ้าและดิน

ภายในวงยอดเขาเหล่านี้มีเวทใหญ่โตมหึมา ทรงกลมก็คือแท่นวิถีของดินแดนจงซานนั่นเอง

ถึงแท่นวิถีแล้วทุกคนต่างลงมายืนอยู่บนแท่นวิถีที่ราบเรียบ

มู่ชิงเกอมองดูรอบๆ ไม่เห็นสิ่งใดที่เป็นพิเศษ

แต่นางเห็นคนรอบๆ ต่างนั่งขัดสมาธิลง

จวงซานที่อยู่ข้างๆ ก็ส่งสายตาให้ทั้งขยิบตา

มู่ชิงเกอจึงนั่งขัดสมาธิลงบนเวทีหิมะนั้นเช่นเดียวกับคนอื่น

หลังจากนั่งลงแล้ว นางก็ใช้จิตใต้สำนึกควานหาซือมั่วในกลุ่มคน

เขาบอกแล้วว่าไม่เข้าร่วมประลอง

หาแล้วรอบหนึ่งก็ไม่พบจริงๆ มู่ชิงเกอเกิดความสงสัยขึ้นในใจไม่รู้ว่าซือมั่วไปอยู่ที่ไหน แต่พอนางมองขึ้นไปบนยอดเขาจึงพบว่าบนยอดเขาสูงตํ่าเหล่านั้นมีคนอยู่ไม่น้อย

พอนางมองไปก็สามารถพบซือมั่วได้ในทันที ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนแปลงไป กลิ่นอายเปลี่ยนแปลงไป แต่นางก็ยังสามารถแยกแยะเขาออกจากกลุ่มคนได้ในทันที

“ศิษย์พี่จวงซาน คนเหล่านั้น…” มู่ชิงเกอกระซิบถาม

จวงซานมองไปแล้วหันกลับมาบอกนางว่า “คนเหล่านั้นต่างเป็นคนสี่ดินแดนเทพ แต่พวกเขามาร่วมชมการประลองเท่านั้นไม่ได้เข้าร่วมด้วย”

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว

จวงซานอธิบายเพิ่มเติมว่า “บางคนเป็นผู้อาวุโสในดินแดนเทพมาเพื่อเป็นกำลังใจลูกศิษย์บางคนรู้สึกว่าตัวเองยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่ไม่อยากพลาดงานใหญ่เช่นนี้ ก็มาร่วมชม เป็นการหาประสบการณ์ล่วงหน้า”

พอเขาอธิบายเช่นนี้มู่ชิงเกอก็เข้าใจแล้ว

การที่ซือมั่วปลอมตัวเป็นลูกศิษย์ดินแดนเหว่ยอี้คิดว่าก็คงใช้เหตุผลที่สองนี้จึงสามารถร่วมชมโดยไม่ต้องประลองได้

“ทุกคนที่เข้าประลองเตรียมตัวให้ดี” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

มู่ชิงเกอรีบเรียกสติคืนมา รอคอยอย่างตั้งใจ

เวลานี้เองก็มีพลังแข็งแกร่งเกินเทียบเทียมตกลงมาจากฟากฟ้าดึงดูดความสนใจของทุกคนบนแท่นวิถีทำให้ทุกคนต่างแหงนหน้ามอง

มู่ชิงเกอก็เช่นเดียวกัน นางแหงนหน้าขึ้นไปเห็นในเมืองหิมะมีแสงแถบหนึ่งตกลงมาแล้วก็มีชายสวมชุดสีเงินผมสีเงินปรากฎตัวขึ้นกะทันหัน

เขาค่อยๆ ร่อนลงมา ใต้เท้าเขาก็มีดอกบัวหิมะบานรองรับเขาเอาไว้

‘ผิวนํ้าแข็งกระดูกหยก’

ไม่รู้ทำไม ขณะที่มู่ชิงเกอเห็นหน้าตาชายคนนี้ชัดเจน สิ่งที่เข้ามาในสมองก็คือคำหกคำนี้

ชายผมสีเงินคนนี้มองอายุไม่ออก ใบหน้าราวกับสลักออกมาจากก้อนน้ำแข็งสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ ให้ความรู้สึกราวกับเทพอันศักดิ์สิทธิ์ทำให้คนไม่กล้าดูหมิ่นล่วงเกิน

“ราชาเทวะจงซาน” จวงซานกระซิบคำนี้พร้อมทั้งบอกฐานะชายคนนี้ให้มู่ชิงเกอรู้

เขาก็คือราชาเทวะจงซานหนึ่งในสี่ราชาเทวะแผ่นดินเทพตะวันออก

“คารวะราชาเทวะจงซาน…”

“คารวะราชาเทวะจงซาน…”

เสียงแสดงความเคารพดังขึ้นเป็นระลอกคลื่น ไม่เพียงแต่คนที่นั่งในแท่นวิถี พวกที่ยืนบนยอดเขาต่างค้อมเอวลงมา

หางตามู่ชิงเกอกวาดไปยังตำแหน่งที่ซือมั่วยืนอยู่ พบว่าเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย

พอทุกคนเงยศีรษะขึ้นมา เขาก็ปรากฎตัวขึ้นในฝูงชนอีกครั้งหนึ่ง ไม่ให้คนจับสังเกตได้แม้แต่นิด

เมื่อรู้ว่าเขาสามารถป้องกันตัวเองได้อย่างดีแล้ว มู่ชิงเกอก็รวบรวมสติไม่สนใจอีก

“เริ่มได้เลย” เสียงของราชาเทวะจงซานน่าฟังมาก เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ

พอเขาพูดจบก็นั่งบนดอกบัวหิมะ เพียงแต่ท่านั่งของเขานั้นสบายมาก เขาชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งใช้ข้อศอกยันเอาไว้ แล้วเอามือเท้าคาง

มู่ชิงเกอสังเกตเห็นว่านัยน์ตาของเขามีสีฟ้า ราวกับดวงตาทั้งคู่นั้นเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

การจ้องมองของนางทำให้ราชาเทวะจงซานสังเกตเห็นได้ในทันที ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นกวาดมายังจุดที่นางอยู่ ลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ในแท่นวิถีเมื่อถูกสายตานั้นกวาดผ่านต่างรู้สึกหายใจติดขัด ราวกับถูกบดทับทั้งตัว

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว รีบลดการมีตัวตนของตัวเองลง แต่ก็ยังรู้สึกว่าเมื่อสายตานั้นผ่านร่างตัวเองไปผิวหนังตนก็ราวกับถูกเข็มทิ่มแทง

ราชาเทวะจงซานเก็บสายตาคืน คนบนแท่นวิถีไม่ว่าเป็นลูกศิษย์ดินแดนเทพไหนต่างแอบโล่งใจ

“ศิษย์พี่จวงซานทำไมดวงตาของราชาเทวะจงซานเป็นสีฟ้านํ้าแข็งเล่า” มู่ชิงเกอกระซิบถาม

จวงซานกระซิบตอบว่า “ได้ยินมาว่าเกี่ยวกับวิชาที่เขาบำเพ็ญ”

มู่ชิงเกอพอจะเข้าใจจึงไม่ถามต่ออีก

ลูกศิษย์ดินแดนจงซานมาจากเมืองหิมะโดยตรง ส่วนลูกศิษย์อีกสามดินแดนเทพต่างมาจากเมืองใบไม้ผลิ

ลูกศิษย์สี่ดินแดนเทพต่างอยู่บนแท่นวิถี รอคอยอย่างนิ่งสงบ

เสียงทรงอำนาจนั้นดงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง “ลูกศิษย์ทุกคนจงฟัง ถกวิถีรอบแรกมีเวลาสิบวัน ในสิบวันนี้พวกเจ้าจะได้เห็นพระคัมภีร์ทั้งห้าพันใช้การตระหนักรู้ของปัญญาเทวะพวกเจ้าท่องเอาไว้ก่อนหลังจากสิบวันใครสามารถจดจำได้มากก็จะเข้ารอบ รอบนี้คัดไว้สองร้อยคน คะแนนดีที่สุดห้าคนแรก หลังจัดอันดับครบครั้งสุดท้ายแล้ว มีเพิ่มคะแนนให้อีก”

คัมภีร์ทั้งห้าพัน

ภายในสิบวันดูคัมภีร์ทั้งห้าพันเล่มจะต้องใช้ปัญญาเทวะแข็งแกร่งเท่าไหนกัน ต้องท่องคัมภีร์ทั้งห้าพันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ต้องอาศัยไม่ใช่ลูกตาแต่เป็นปัญญาเทวะ

พอกติกาออกมา เหล่าลูกศิษย์สี่ดินแดนเทพบนแท่นวิถีต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์

เพียงแต่มีราชาเทวะจงซานอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงทำได้เพียงกระซิบกระซาบไม่กล้าเอะอะเอ็ดตะโร

บนแท่นวิถีมีผู้เข้าร่วมถึงพันคน รอบนี้คัดเพียงสองร้อย

รอบแรกแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของการประลอง

สิบคนจากดินแดนฮ่วนเยวี่ยต่างนั่งล้อมวงอยู่ด้วยกัน มู่ชิงเกอยังสังเกตเห็นว่าใกล้ๆ กับพวกเขาทั้งสิบคนยังมีลูกศิษย์ไม่น้อยราวสองสามร้อยคนที่ห้อยป้ายของดินแดนฮ่วนเยวี่ย

มู่ชิงเกอตาเป็นประกายนึกถึงที่จวงซานเคยบอกว่า ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยไม่ได้ห้ามลูกศิษย์ในดินแดนมาร่วมถกวิถีครั้งนี้ก็เข้าใจในทันที

“เจ้าสาม ปัญญาเทวะเจ้าแข็งแกร่งมาก การแย่งห้าอันดับแรกรอบนี้มีผลดีต่อการจัดอันดับครั้งสุดท้ายของเจ้า” หลีเฉาแอบกำชับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเม้มปากผงกศีรษะ

ถึงแม้นางจะไม่ค่อยเข้าใจว่าห้าอันดับแรกจะมีประโยชน์ต่อการจัดอันดับครั้งสุดท้ายอย่างไร แต่ในเมื่อเสียงนั้น รวมทั้งหลีเฉาพูดเช่นนี้แล้ว นางก็ควรจะต้องทำให้ได้

สำหรับปัญญาเทวะนั้นนางเชื่อมั่นมาก การบำเพ็ญเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางทำให้จิตวิญญาณของนางที่เปลี่ยนเป็นปัญญาเทวะแล้วยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้จิตใจมุ่งมั่นที่จะคว้าเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างเพิ่มมาให้ได้นั้นมั่นคงขึ้น

คัมภีร์ทั้งห้าพ้นคือความเข้าใจของคนพันคนที่มีต่อหลักธรรม เป็นบทสรุปแตกเป็นการตระหนักรู้อย่างหนึ่ง

หากสามารถจดจำได้ทั้งหมดก็คงเป็นเรื่องสมบูรณ์แบบที่ยากยิ่งในวิถีการตระหนักรู้ของตัวนางเอง

เพียงแต่การจะจดจำให้ได้ทั้งหมดในสิบวันนับว่ายากเกินไปจริงๆ

แสงทองสาดฉายออกมาจากยอดเขาหิมะรอบๆ แสงทองเหล่านั้นบิดงอไปมาในความว่างเปล่า แล้วกลายเป็นตัวหนังสือที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

แสงทองปกคลุมทุกคนบนแท่นวิถีไว้ด้านใน ทุกคนต่างใจจดใจจ่อ ใช้ปัญญาเทวะของตัวเองจดจำข้อความบนคัมภีร์เหล่านั้น

ในเวลาสิบวันใช้ปัญญาเทวะโดยไม่หยุดพักก็เป็นการทดสอบตัวเองอยู่แล้ว

การแข่งขันรอบนี้ราวกับจะน่าเบื่ออยู่บ้าง

วันแรกผ่านไปอย่างสงบเงียบ

วันที่สองก็ผ่านไปอย่างสงบเงียบ

จนกระทั่งถึงวันที่ห้า บนแท่นวิถีมีลูกศิษย์ดินแดนจงซานใช้ปัญญาเทวะจนหมดสิ้นทำให้กระอักเลือดออกมา ล้มหมดสติอยู่ที่แท่นวิถีและถูกคนหามออกไป นั่นจึงทำลายความเงียบสงบลง

เมื่อมีคนแรกก็ย่อมมีคนที่สอง คนที่สาม…

บนแท่นวิถีลูกศิษย์สี่ดินแดนเทพกระอักเลือดหมดสติไปไม่ขาดสาย

สามวันติดต่อกัน คนที่ถูกหามออกไปมีถึงจำนวน 350 คน

แต่ยังห่างจากจำนวนสองร้อยคนที่จะชนะอีกไกล

แปดวันแล้ว คงเหลือสองวันสุดท้าย

แต่ก็ใช่ว่าจะจบลงเพียงเท่านี้หลังจากสิบวันแล้วเมื่อการท่องจำเสร็จสิ้นยังต้องใช้ปัญญาเทวะสลักเนื้อความที่จำได้ใว้ในแผ่นหยกจึงจะนับว่าจบการทดสอบ

วันที่เก้ามีคนล้มลงอีกร่วมร้อยคน

บนแท่นวิถีเวลานี้ แม้ยังมีคนเหลืออยู่มาก แต่ก็น้อยกว่าช่วงเริ่มต้นไปมากแล้ว

ราชาเทวะจงซานนั่งอยู่บนดอกบัวหิมะตลอดเวลา เก้าวันนี้แม้แต่ท่าทางก็ไม่เปลี่ยนแปลง บนยอดเขารอบๆ ผู้ที่มาร่วมชมการถกวิถีต่างรอคอยอย่างเงียบสงบไม่มีใครจากไป

สิบวันสำหรับผู้บำเพ็ญเแล้วสั้นนัก แต่ในสิบวันนี้ต้องใช้ปัญญาเทวะตลอดเวลา ทำให้สิบวันนี้กลายเป็นยืดยาวเหลือแสน

ในที่สุดวันที่สิบก็มาถึงแล้ว

แสงทองหายไปทันที บนแท่นวิถีเหลือคนไม่ถึงห้าร้อยคน

สามารถผ่านด่านแรกไปได้สำเร็จ คนที่เหลือบนแท่นวิถีต่างแอบถอนหายใจโล่งอก

พวกผู้ดูแลของดินแดนจงซานนำแผ่นหยกว่างเปล่ามามอบให้กับคนบนแท่นวิถีทุกคน มู่ชิงเกอมองไปก็พบสายตามืดดำที่เต็มไปด้วยรู้สึกเป็นอริคู่หนึ่ง

นางชะงัก ความเป็นอริบ่งชี้มาที่นาง หน้าตาคนคนนั้น สมองมู่ชิงเกอแล่นอย่างรวดเร็วและค่อยนึกออกว่า ‘เป็นเขานั่นเอง’

คนผู้นั้นก็คือคนที่ยั่วเย้าซวนเฉียงไม่สำเร็จที่เมืองใบไม้ผลิ ลูกศิษย์ดินแดนจั๋วอวี่ที่ถูกนางต่อว่าไปหลายคำ รู้สึกจะชื่อว่าจี้หลุน

“พวกเจ้ามีเวลาสามวันในการนำหลักธรรมที่พวกเจ้าท่องไว้สลักใส่แผ่นหยกในมือ พอครบสามวัน ไม่ว่าพวกเจ้าจะสลักหมดหรือไม่ล้วนต้องหยุด คนที่สลักได้มากที่สุดห้าคนแรกก็คือผู้ชนะ สองร้อยคนแรกคือคนที่เข้ารอบ ที่เหลือตกรอบหมด” เสียงทรงอำนาจดังออกมาอีก

เกือบห้าร้อยคนที่เหลืออยู่บนแท่นวิถีไม่กล้าเสียเวลารีบสลักแผ่นหยกในมืออย่างรวดเร็ว ในเวลานี้ เขียนให้มากขึ้นหนึ่งข้อ ก็อาจมีผลทำให้ชนะได้…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!