Skip to content

พลิกปฐพี 643

ตอนที่ 643

ความคิดของชูเนี่ยน

เมื่อครั้งที่มู่เทียนอินบำเพ็ญถึงขั้นจิตวิญญาณขั้นเจ็ดใช้เวลาไปเท่าไรกัน

มู่หลินรู้ลึกว่าหากตัวเองไม่ได้จำผิด น่าจะใช้เวลาสิบปี

สิบปี!

ครั้งนั้นนายน้อยที่ใช้เวลาสิบปีในการเข้าถึงขั้นจิตวิญญาณขั้นเจ็ดทำให้พวกเขาตกตะลึงว่าเป็นเทพสวรรค์ คิดว่าเขามีพรสวรรค์ดีเยี่ยม

อย่างนั้น หากคำนวณเช่นนี้แล้ว…

เชื้อสายตระกูลมู่ที่บินขึ้นมาคนนี้อยู่ที่เสี่ยวเทียนอี้เพียงปีครึ่งก็ไปถึงขั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ด พรสวรรค์เช่นนี้จะใช้อะไรเปรียบเทียบดี

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้มู่หลินตะลึงนั้นอยู่ต่อจากนั้นต่างหาก การวิจารณ์เรื่องมู่ชิงเกอยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

“ฮึ! ปีครึ่งไปถึงชั้นจิตวิญญาณชั้นเจ็ดจะนับว่าเป็นอะไรได้ ข้ายังมีเรื่องน่าตกใจกว่านั้นอีก” คนผู้นั้นออกอาการภูมิใจเหลือแสน

คนไม่น้อยส่งเสียงเร่งให้เขาเล่าต่อในทันที

ความรู้สึกที่คนทั้งหลายคอยร้องเร่งเร้าทำให้เขาพึงพอใจมาก หลังจากพอใจแล้วเขาจึงพูดต่อว่า “หลังจากนั้น ราชาเทวะน้อยคนนี้ก็ไปถึงดินแดนฮ่วนเยวี่ย ขณะทดสอบคุณสมบัติเข้าเป็นลูกศิษย์แมื่อไปถึงด่านที่สาม การทดสอบปัญญาเทวะก็เกิดสั่นสะเทือนไปทั่วดินแดนฮ่วนเยวี่ย

“สั่นสะเทือนอะไรหรือ”

คนผู้นั้นสูดลมหายใจเข้าลึก แอบเหลียวไปทางที่มู่ชิงเกออยู่ สายตาเต็มไปด้วยอาการชื่นชมนับถือเอ่ยว่า “ด่านทดสอบปัญญาเทวะของดินแดนฮ่วนเยวี่ยนั้นยาก มาก อยู่ภายใต้ความกดดันของความน่าเกรงขามลูกศิษย์ฮ่วนเยวี่ย ให้ทำความเข้าใจหลักธรรมในเวลาอันจำกัด พวกเจ้าคิดดูในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เวลาเพียง ชั่วยามเดียว เข้าใจหลักธรรมได้หนึ่งข้อ พวกเจ้ามีกี่คนที่ทำได้”

นี่…

คนที่ตั้งใจฟังเขาเล่าหันมองหน้ากันแล้วต่างส่ายหน้า เข้าใจหลักธรรมหนึ่งข้อฟังดูเหมือนง่าย แต่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นทั้งยังมีข้อจำกัดของเวลา ไม่มีใครมั่นใจได้

มู่หลินกับมู่ซานฟังจนหน้านิ่วคิ้วขมวด สุดท้ายต่างก็ส่ายหน้า

“พวกเจ้าเองก็ไม่ไหวกันใช่ไหมเล่า” คนผู้นั้นเยาะเย้ย เล็กน้อยแล้วจึงเล่าต่อว่า “แต่ราชาเทวะน้อยคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ในเวลาหนึ่งชั่วยามสามารถทำให้ดอกบัว แห่งหลักธรรมทั้งหมดเบ่งบานได้ หมื่นบัวรวมเป็นหนึ่ง ว่ากันว่าแสงทองที่เกิดจากการเข้าใจหลักธรรมปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนฮ่วนเยวี่ย ทำให้ทุกคนตื่นตกใจกันหมด”

ซี๊ด!

มีแต่เสียงสูดปากดังแว่วมา

พวกที่ตั้งใจฟังเขาเล่าต่างแสดงความตื่นตกใจออกมา

มู่หลินกับมู่ซานมองเงาหลังมู่เทียนอินด้วยสีหน้าน่าเกลียด ถึงแม้เขาจะยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง แต่พวกเขารู้ว่าความโกรธเกรี้ยวในใจของเขาสะสมไปจนถึงขีดสุดแล้ว

ที่เขายังเฉยอยู่เพียงเพราะเขาเองก็อยากฟังเรื่องความสำเร็จของมู่ชิงเกอ

เห็นใบหน้าแต่ละคนตื่นเต้นจนถึงขีดสุดแล้วคนผู้นั้นก็พอใจมาก เขาเล่าต่อว่า “เรื่องราชาเทวะน้อยฮ่วนเยวี่ย ยังไม่หมดเพียงเท่านี้พวกเจ้ายังอยากฟังไหม”

“ฟังฟังฟัง…”

“เจ้ารีบเล่าเร็วๆ”

หลังจากฟังคนเร่งเร้าจนพอใจแล้ว เขาจึงเล่าต่อ “จากนั้น ราชาเทวะน้อยฮ่วนเยวี่ยก็เป็นลูกศิษย์เสื้อขาวดินแดนฮ่วนเยวี่ย พอเข้าประตูมาก็เป็นลูกศิษย์เสื้อขาว ใน ประวัติดินแดนฮ่วนเยวี่ยยังไม่เคยปรากฎมาก่อนหลัง จากนั้นครึ่งปี ราชาเทวะน้อยฮ่วนเยวี่ยก็ได้ทะลวงขอบเขตขั้นถํ้าวิญญาณชั้นที่หนึ่ง สามารถเลื่อนชั้นเป็นลูกศิษย์ชั้นถํ้าวิญญาณ แต่เขาก็ยังไม่พอใจ ไปท้าต่อสู้สิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้า อีกทั้งคนที่เขาเลือกไม่ใช่สิบน้อยที่อ่อนแอที่สุด แต่เป็นเซียนสุ่ยสามน้อยที่มีชื่อเสียงมานานแล้ว”

“อะไรนะ! ท้าสู้กับเซียนสุ่ยรึ”

“พวกเจ้าทายดู ผลสุดท้ายเป็นอย่างไร”

“เสียเวลาเปล่า ชนะแน่นอน เจ้ารีบเล่าเถอะ งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว” มีคนอดไม่ได้คอยเร่ง

พูดถึงงานเลี้ยง คนเล่าก็ราวกับเพิ่งได้สติรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน เขากระแอมแล้วเล่าต่อ แต่ครั้งนี้ไม่วกวนอีก เล่าได้ไวขึ้นกว่าเดิมมาก “ชนะแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่มีคนไม่ยินยอมมากมาย พวกเขารอให้อีกครึ่งปีเซียนสุ่ยกลับมา ตอกหน้าเขากลับ หลังจากครึ่งปีเซียนสุ่ยก็มาท้าประลองจริงๆ แต่สุดท้ายก็ยังคงพ่ายแพ้อีกทั้งยังพ่าย แพ้ทั้งกายและใจ ไม่มีใครไม่ยอมรับ จากนั้นราชาเทวะน้อยก็นั่งในฐานะสามน้อยฮ่วนเยวี่ยได้อย่างมั่นคง หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปยังเหวหนอนโบราณเพื่อตามหาของวิเศษที่ดินแดนฮ่วนเยวี่ยทำสูญหายไปนานกลับคืนมา ได้ทำคุณยิ่งใหญ่ให้ดินแดนฮ่วนเยวี่ย จากนั้นก็เป็นสี่แดนเทพถกวิถีแล้ว”

เรื่องสี่แดนเทพถกวิถีได้เล่าลือไปทั่วแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรแล้ว เมื่อได้ฟังเรื่องราวมู่ชิงเกอจนจบ มู่หลินกับมู่ซานก็เกิดความรู้สึกขึ้นมากมาย ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรดี ตามจริงแล้ว มู่ชิงเกอเองก็เป็นสายเลือดของตระกูลมู่ ยิ่งเขา โดดเด่นมากเท่าไหร่ พวกเขาเองก็ควรจะยิ่งยินดี

แต่คนที่เป็นจุดสนใจของแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรคนนี้ กลับเป็นศัตรูคู่แค้นกับนายน้อยของพวกเขา

นี่ทำให้จิตใจพวกเขาเกิดความรู้สึกยุ่งยากขึ้นมา ทั้งคู่ต่างรู้ใจกันมองไปที่มู่เทียนอิน เวลานี้เอง รังสีอำมหิตในตัวมู่เทียนอินพุ่งสูงขึ้นในทันที เขาขยับตัวราว กับจะลุกขึ้นยืน

มู่หลินกับมู่ซานสะดุ้งรีบลงมือทันที พวกเขาแยกกันกดบ่ามู่เทียนอินไว้ให้นั่งเหมือนเดิม

“นายน้อย ท่านจะทำอะไร” มู่ซานกระซิบถาม

นัยน์ตามู่เทียนอินเกิดประกายโหดเหี้ยม พูดเสียงเย็นเฉียบว่า“ปล่อยมือ”

มู่หลินกลับพูดอย่างร้อนใจว่า “นายน้อย ท่านอย่าวู่วาม นี่เป็นดินแดนอู๋หวานะ”

แต่มู่เทียนอินกลับแค่นยิ้มว่า “ก็เพราะที่นี่เป็นดินแดนอู๋หวาน่ะสิ ข้าจึงจะเปิดโปงฐานะของเขา ข้าอยากจะดูว่า เมื่อทุกคนที่นี่รู้ว่าราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ยที่สูงส่ง พรสวรรค์ปานเทพที่พวกเขาพูด ความจริงเป็นสายเลือดเหลือเดนตระกูลมู่แล้ว พวกเขาจะมีท่าทีอย่างไร”

ใบหน้าเขาเหี้ยมโหด รอยยิ้มเย็นเฉียบ แววตาบ้าคลั่ง พูดว่า “ถึงเวลานั้น คงมีอะไรดีๆ ให้ดู คนมากมายที่นี่จะขยี้เขาเป็นชิ้นๆ”

“นายน้อยไม่ได้นะ” มู่ซานห้ามไว้

ไม่ได้

สองคำนี้ทำให้แววตามู่เทียนอินมืดครึ้มลง ส่วนลึกของดวงตาแฝงด้วยเพลิงความบ้าคลั่ง

“ใช่แล้ว นายน้อย จะวู่วามไม่ได้ท่านลองคิดดู พวกเราอยู่ในดินแดนอู๋หวา หากท่านออกไปเปิดโปงฐานะเขา เขาเป็นเพียงสายเลือดตระกูลมู่คนหนึ่ง แต่ท่านเล่า ท่านเป็นนายน้อยของพวกเราตระกูลมู่ ท่านเปิดโปงเขาแล้ว ท่านก็จะตกอยู่ในอันตรายเหมือนกัน” มู่หลินรีบบอก

มู่ซานก็เอ่ยเสริมว่า “เชื่อว่าคนหนึ่งเป็นสายเลือดตระกูลมู่ อีกคนเป็นนายน้อยตระกูลมู่ คนจะยิ่งเทมาฝ่ายหลัง นายน้อยจะเป็นอันตรายกว่า”

“นายน้อย เรื่องทำร้ายเขาแล้วเราเจ็บเองพวกเราทำไม่ได้เด็ดขาด นายน้อยได้เจอเขาแล้ว การฆ่าเขานั้นยังมีโอกาส ไม่ต้องรีบร้อน” มู่หลินพยายามห้าม

พวกเขาต่างเอ่ยห้ามติดๆ กันทำให้มู่เทียนอินค่อยๆ สงบลง

สมองของมู่เทียนอินครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

ชั่วครู่ ประกายโหดเหี้ยมในแววตาของเขาก็ลดลง ล้มเลิกการเปิดโปงฐานะมู่ชิงเกอในเวลานี้ลง

เขามองไปทางมู่ชิงเกอแล้วคิดในใจว่า ‘ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่ไม่ว่าเจ้าจะโดดเด่นเพียงใดก็จะต้องศิโรราบในมือของข้า เมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะไม่มีใคร จดจำเจ้าได้อีก ในอนาคต สิ่งที่พวกเขาวิพากษวิจารณ์จะมีแต่มู่เทียนอินนายน้อยตระกูลมู่’

“ชิงเกอ พวกเราเข้าไปเถอะ” ชูเนี่ยนยิ้มบอกมู่ชิงเกอ เวลานี้เองก็มีคนจากดินแดนเทพอื่นเดินเข้ามา ดูท่าทางเหมือนจะเข้ามาทักทายมู่ชิงเกอ ถือโอกาสทำความรู้จัก

กัน

การเข้าสังคมเช่นนี้มู่ชิงเกอรู้สึกไม่เคยชินเลย จนคนพวกนั้นไปกันหมดแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากนางก็เกร็งแข็งไปหมด ชูเนี่ยนที่มองอยู่ข้างๆ เห็นแล้วรู้สึกขบขันนัก ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นมู่ชิงเกอเช่นนี้นางกลับรู้สึกว่า เขาน่ารัก

“ไปเถอะ” ชูเนี่ยนบอกมู่ชิงเกอ พร้อมทั้งส่งสายตาให้ลู่เยี่ยไปสกัดพวกที่คิดจะเข้ามาคุยกับมู่ชิงเกอไว้ ลู่เยี่ยไปจัดการอย่างรู้ไจ มู่ชิงเกอจึงพอโล่งอกได้บ้าง และนำหยินเฉินกับหุ่นเทพมารตามชูเนี่ยนเดินเข้าไปในวังราชาเทวะ

‘ชิงเกอ ข้าทิ้งกลิ่นไว้บนร่างของคนผู้นั้นแล้ว ขอเพียงเขาอยู่ห่างจากเราไม่เกินพันลี้ ข้าก็จะสามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน’ หยินเฉินใช้ถ่ายทอดเสียงพันธสัญญาส่งถึงมู่ชิงเกอ

ได้ยินเสียงของหยินเฉิน ดวงตาใสกระจ่างของมู่ชิงเกอก็เปล่งประกายวูบหนึ่งแล้วตอบว่า ‘ดีมาก’

‘เขาเป็นใครหรือ’ หยินเฉินถาม

แววตามู่ชิงเกอนิ่งลง ตอบเรียบๆ เสียจนชวนให้แปลกใจว่า ‘มู่เทียนอิน’

มู่เทียนอิน!

ตาดำหยินเฉินหดลง มองมู่ชิงเกออย่างไม่วางใจ เขาเป็นสัตว์พันธสัญญาของมู่ชิงเกอ ทำไมจะไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอ แค้นมู่เทียนอินเพียงใด

คู่แค้นที่เฝ้ารอมานานหลายปีมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้า เขากังวลว่านางจะเสียการควบคุมและปวดร้าวแทนนางที่ต้องแบกรับความแค้นมานานหลายปี

‘คนผู้นี้ข้าเคยพบในเมืองอู๋หวา’ หยินเฉินนึกถึงวันนั้นที่มองไปที่หัวถนนขณะนั้นเขาไม่รู้ว่ากลุ่มคนประหลาดเหล่านั้นมีคนหนึ่งคือมู่เทียนอิน ฉะนั้นเขาคงลงมือนำ เขามาให้มู่ชิงเกอก่อนแล้ว

มู่ชิงเกอไม่ได้ถามเรื่องเก่า นิ้วหัวแม่มือขวาลูบปลอกนิ้ว ที่สวมอยู่บนนิ้วชี้พลางบอกหยินเฉินเรียบๆ ว่า ‘อีกไม่นานข้าจะใช้ทวนหลิงหล เอาชีวิตเขาด้วยมือตัวเอง’

ทวนหลิงหลงหักตัวมันลงเนื่องจากมู่เทียนอิน หยวนหยวนตายเพราะช่วยนาง วิญญาณเทพที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยถูกหล่อหลอมอยู่ในทวน จากวิญญาณพญา เพลิงกลายเป็นจิตวิญญาณของอาวุธรวมกับทวนหลิงหลงเป็นหนึ่งเดียว

ดังนั้นทวนหลิงหลงจึงเป็นอาวุธที่เหมาะสมที่สุดในการสังหารมู่เทียนอิน ต่อให้มีอาวุธที่ดีกว่านี้ นางก็จะไม่ใช้

นางจะนำพวกเขาไปแก้แค้นมู่เทียนอิน

‘ชิงเกอ เจ้าทำแผนเดิมให้สบายใจเถอะ ข้าจะเฝ้ามู่เทียนอินไว้’ หยินเฉินเข้าใจมู่ชิงเกอจึงเอ่ยรับประกันกับนาง

‘อืม’ มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ แล้วบอกเขาว่า ‘พวกเขาปรากฎตัวที่นี่คงเพราะได้รับข่าวเช่นเดียวกับพวกเรา ทั้งเผ่ามารและตระกูลมู่ต่างก็ได้รับข่าวนี้ ความแม่นยำของข่าวนี้คงมีมากขึ้น’

หยินเฉินผงกศีรษะด้วยแววตาครุ่นคิดเข้าใจความหมายมู่ชิงเกอ

“ชิงเกอ พวกเราไปคารวะบิดาข้าก่อนเถอะ” ชูเนี่ยนบอกมู่ชิงเกอ

เสียงของนางตัดบทการพูดคุยของมู่ชิงเกอกับหยินเฉินลง

มู่ชิงเกอยิ้มอย่างสงบนิ่งเช่นเมื่อก่อนนี้ “ดี ข้ารบกวนวังอู๋หวามาหลายวัน สมควรขอบคุณราชาเทวะเสียหน่อย”

“เจ้าไม่ต้องเกรงใจนักหรอก หากเจ้าชอบก็อยู่ต่อในวังอู๋หวาได้เรื่อยๆ ไม่มีใครไล่เจ้าหรอก” ชูเนี่ยนมองนางแล้วพูด

หืม

คำพูดของนางทำให้มู่ชิงเกอชะงักไป คิดไม่ทันว่านางหมายถึงอะไร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!