Skip to content

พลิกปฐพี 766

ตอนที่ 766

ดื่มเลือดมังกร เพิ่มความแข็งแกร่ง

“เจ้าเป็นเผ่ามนุษย์” องค์ชายภูติภูเขามองไปที่มู่ชิงเกอ

ทันใดนั้น ภายในตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบที่แปลกประหลาด กลิ่นอายอันตรายค่อยๆ พัดม้วนขึ้น

ครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอจึงหัวเราะ “เผ่ามนุษย์ไม่สามารถเป็นเพื่อนกับเผ่าอสูรได้หรือ”

“ไม่ ข้าเพียงแปลกใจที่โห่วซึ่งขึ้นชื่อเรื่องเหี้ยมโหดดุร้ายกลับมีเพื่อนเป็นเผ่ามนุษย์” องค์ชายภูติภูเขาอธิบาย

โห่วกะพริบตาแล้วพูดเสียงดัง “เผ่ามนุษย์ น่ารังเกียจจริง แต่นัง…ชิงเกอนั้นเป็นข้อยกเว้น เขาต่างกับเผ่ามนุษย์ทั่วไป”

องค์ชายภูติภูเขายิ้มน้อยๆ กำลังคิดจะพูดบางอย่าง ราชินีอินเล่อกลับพูดว่า “องค์ชายไม่ต้องพูดแล้ว แม้ไม่พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ท่านพี่ข่งกับข้า แค่เพียงที่เขาช่วยชีวิตข้าไว้ในครั้งนั้น เวลานี้เขามีภัย ข้าและเผ่าภูติภูเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ช่วยอยู่แล้ว”

องค์ชายหลุบตายิ้มนิดๆ “ได้ ข้าจะสั่งให้คนเตรียมห้อง”

พูดจบเขาสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป

“ท่านพี่ข่งไม่ต้องใส่ใจ องค์ชายต้องดูแลความมั่นคงเผ่าภูติภูเขาจึงต้องระแวดระวังเล็กน้อย” หลังจากองค์ชายไปแล้ว อินเล่อก็อธิบายให้โห่วฟัง

“ไม่ถือไม่ถือ พวกเจ้าไม่ไล่พวกข้าไปก็นับว่าไม่เลวแล้ว” โห่วรีบบอก

ตลอดชีวิตเขา น้อยนักที่จะขอร้องใคร ครั้งนี้มาทวงบุญคุณก็รู้สึกว่าแอบเสียหน้ามากอยู่แล้ว แต่เพื่อให้มู่ชิงเกอมีโอกาสได้ผลภูติ ทุกอย่างถือว่าคุ้มค่า

“จะไล่ท่านไปได้อย่างไร ท่านนึกว่าข้าเป็นคนอย่างไรหรือ” อินเล่อแกล้งต่อว่า

ท่าทางเง้างอนของหญิงสาวทำให้โห่วรับมือไม่ถูก รีบส่งสายตาให้มู่ชิงเกอช่วยเหลือ

แต่ไม่ทันที่มู่ชิงเกอจะพูดอะไร องค์ชายก็กลับมา ข้างหลังเขามีหญิงสาวภูติภูเขาตามมาด้วยคนหนึ่ง ดูจากเครื่องแต่งกายคงเป็นพวกนางกำนัล

“นี่คือซิ่นเอ๋อร์ นางจะพาพวกท่านไปยังที่พัก ภูติภูเขาไม่นิยมของคาว พวกท่านพักที่นี่ สามมื้อล้วนเป็นมังสวิรัติ ท่านทั้งสามโปรดอภัยด้วย” องค์ชายกลับ มาแล้วพูดดังนี้

“ไม่มีปัญหา เข้าเมืองตาหลิ่วย่อมต้องหลิ่วตาตาม” มู่ชิงเกอยิ้มผงกศีรษะ

ขณะนี้นางมีเรื่องมากมายจะถามโห่ว ส่วนโห่วนั้นจากสายตาจ้องมองอย่างลึกซึ้งของราชินีก็เกิดความคิดอยากจะหลบหนีไป

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดมาก ตามแม่นางซิ่นเอ๋อร์คนนั้นออกจากตำหนักใหญ่ไป

ระหว่างทาง ซิ่นเอ๋อร์หญิงสาวภูติภูเขาแอบมองมู่ชิงเกอแล้วสองแก้มก็แดงเรื่อขึ้นมาแล้วรีบละสายตากลับไป

ท่าทีนั้นของหญิงสาว มู่ชิงเกอเองก็เห็นแต่ไม่แสดงอาการอะไร

ประสบการณ์มากมายทำให้นางรู้แล้วว่า บางเรื่องขณะที่เริ่มมีท่าทีต้องไม่ตอบโต้จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด

พวกเขาจากไปแล้ว องค์ชายกับราชินียังคงอยู่

อินเล่อมองไปที่ทางออกของตำหนักแล้วพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “ข้ารอมานานนักหนา จนในที่สุดเขาก็มาหาข้าแล้ว”

พูดแล้วก็หันมององค์ชายพลางบ่นว่า “ก่อนนี้ พวกท่านบอกว่าเขาจะไม่มาอีก”

องค์ชายมองนางด้วยแววตาลึกลํ้า “ครั้งนี้ หากไม่ใช่เพราะเขาจนหนทางคงไม่มาที่นี่ เขามาเพราะต้องการหลบภัยไม่ใช่เพราะเจ้า”

“ข้าไม่สนใจ ขอให้เขามาก็พอแล้ว” อินเล่อพูดอย่างเอาแต่ใจ

องค์ชายถอนใจ “เจ้าเป็นราชินีมาหมื่นปีแล้ว ยังเอาแต่ใจเหมือนเด็กๆ อีก”

อินเล่อกลับพูดว่า “เผ่าภูติภูเขาไม่เคยมีเรื่องกับใคร ทั้งไม่เคยมีใครกล้ารุกลํ้า ข้าราชินีคนนี้ก็แสดงท่าทางไปอย่างนั้น แต่ความจริงเผ่าภูติภูเขามีองค์ชายอย่างท่านก็เพียงพอแล้ว”

“อินเล่อ เจ้าต่างหากจึงจะเป็นราชินีแห่งเผ่าภูติภูเขา” องค์ชายแก้คำพูดนางด้วยท่าทางจริงจัง

อินเล่อกลับแสดงท่าทางไร้เดียงสาพูดอ้อนว่า “รู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ท่านอา”

ที่แท้ องค์ชายกับราชินีมีความสัมพันธ์เป็นอาหลานกันนั่นเอง

ซิ่นเอ๋อร์หญิงสาวภูติภูเขานำมู่ชิงเกอทั้งสามคนไปถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ง ที่นี่เงียบสงบไม่มีคนนอกมารบกวน

ซิ่นเอ๋อร์รู้ธรรมเนียม เมื่อนำคนไปส่งถึงที่พักแล้วก็ถอยกลับไป

จนแน่ใจว่านางจากไปแล้ว มู่ชิงเกอจึงมองโห่วแล้วเอ่ยล้อว่า “ระหว่างเจ้ากับราชินีภูติภูเขาคนนี้ เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า ท่าทีของนางที่มีต่อเจ้าราวกับท่าทีของภรรยามีต่อสามีอย่างนั้น”

“เจ้าอย่าพูดเลอะเทอะ” โห่วทำหน้าปั้นยาก รีบเอ่ยห้ามปรามความคิดมู่ชิงเกอ

เพียงแต่ท่าทางเช่นนั้น มู่ชิงเกอยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลยจริงๆ

มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะสบตาหยินเฉิน

“แค่กๆ พวกเราพูดเรื่องจริงจังกันดีกว่า” โห่วเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างทื่อมะลื่อ เขาบอกมู่ชิงเกอว่า “พวกเราเข้ามาในพื้นที่เผ่าภูติภูเขาแล้ว แต่จะได้ผลภูติอย่างไรก็ยังไม่เห็นวี่แววเลย”

มู่ชิงเกอว่า “คนเขารับรองเจ้าอย่างจริงใจ พวกเราคิดอยากได้ผลภูติก็จะไปขโมยเฉยๆ ไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือให้พวกเขายอมยกให้เอง”

“ยกให้เอง เป็นไปได้อย่างไร” โห่วชะงัก ไม่เห็นด้วยทันที

มู่ชิงเกอถือโอกาสหยอกเขาเล่น “ข้าดูราชินีคนนั้นราวกับหลงใหลเจ้าอยู่ เจ้าไปขอนาง ไม่แน่ว่านางอาจจะให้เองก็ได้นะ”

“โธ่เอ๊ย อย่ามาพูดบ้าๆ” โห่วพูดอย่างหงุดหงิด

แต่มู่ชิงเกอดูออกว่าเป็นเพราะเขาอายจนพาลหงุดหงิด

แม้แต่หยินเฉินเองก็กลั้นหัวเราะพลางก้มศีรษะลง

หยอกล้อกันพอประมาณแล้วมู่ชิงเกอก็หุบยิ้ม บอกทั้งคู่ว่า “เอาล่ะ พวกเราเพิ่งเข้ามาในเผ่าภูติภูเขา ไม่ควรทำอะไรบุ่มบ่าม องค์ชายภูติภูเขาผู้นั้น ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา ต้องระวังเป็นพิเศษ ส่วนผลภูติจะทำเล่นไม่ได้ พวกเราต้องหาวิธีสืบข่าวเกี่ยวกับผลภูติก่อน จำไว้ว่าต้องสืบหาไม่ให้เหลือร่องรอย หากทำไม่ได้ ก็ยอมไม่รู้ดีกว่า อย่าได้ไปเอ่ยปากถามง่ายๆ”

มู่ชิงเกอพูดแล้วหรี่ตาทั้งสองข้าง ที่นางต้องระวังนั้นไม่ใช่อินเล่อ แต่เป็นองค์ชายผู้นั้น

นางบอกโห่วว่า “ระหว่างนี้ หากราชินีถามหาเจ้า เจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง ข้าจะกลับเข้าช่องว่าง อาศัยโอกาสนี้หลอมเลือดมังกร หยินเฉินคอยคุ้มครองข้า หากมีเหตุการณ์อะไร ให้แจ้งข้าผ่านพันธสัญญา”

“ได้” หยินเฉินผงกศีรษะ

มู่ชิงเกอพูดอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดาย แม้ครั้งนี้ได้หัวใจมังกรมาไม่น้อย แต่คนของข้ายังต้องการมากกว่านี้อีก”

“ไม่ต้องรีบร้อน รอให้พวกไส้เดือนโสโครกมาหาที่ตาย ข้าจะควักหัวใจมาให้อีก” โห่วตบหน้าอกรับรอง

มู่ชิงเกอยิ้มว่า “เจ้าไม่กลัวว่าสังหารมากเกิน ไปจนหมดเผ่าพันธุ์ ตัดเสบียงของเจ้าเองหรือ”

โห่วถลึงตาว่า “ข้าก็ไม่ใช่ต้องกินแต่มังกรเท่านั้นนี่”

มู่ชิงเกอยิ้มสั่นศีรษะ หมุนตัวหายไปจากเบื้องหน้าทั้งคู่ เข้าไปในช่องว่าง

เมื่อเข้ามาในช่องว่างแล้ว มู่ชิงเกอก็เห็นหยวนหยวนกำลังเล่นกับเหมิงเหมิง ภาพนั้นทำให้นางหัวเราะเงียบๆ ไม่เข้าไปวุ่นวายกับเด็กไร้เดียงสาคู่นี้ มู่ชิงเกอเดินเข้าไปในห้องปรุงโอสถของตัวเอง

นางตั้งใจใช้หม้อผลาญสวรรค์หลอมเลือดในหัวใจมังกรออกมาก่อนแล้วจึงมาหลอมปรุงต่อไป

เมื่อเข้าไปในห้องปรุงโอสถก็เห็นเงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งหันหลังให้นาง นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ หม้อผลาญสวรรค์

มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ถามว่า “วันนี้เงียบสงบเสียจริง”

เหลียนเฉียวแค่นหัวเราะ “ข้าถูกเจ้าขังอยู่ในนี้ จะร้องโวยวายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ แล้วจะร้องไปทำไม”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!