ตอนที่ 784
วิกฤติ!
ริมแม่นํ้าเมิ่งหลาน แม่นํ้าที่เงียบสงบมีสายนํ้าสีดำไหลริน
ตามทางนํ้าไหลนั้นเป็นกำแพงเมืองของเผ่ามารที่ยาวเลี้ยวลดสูงชันป้องกันข้าศึกรุกลํ้า เบื้องหลังกำแพงเมืองสุดสายตานั้นเป็นเทือกเขาที่ทอดยาวของแดนมาร
ที่นั้นมีถํ้าที่เพิ่งสร้างขึ้น ขนาดไม่ใหญ่โตแต่ก็ไม่เล็กนัก ภายในนั้นสามารถจุคนได้ราวสิบคน
เพดานถํ้าสูงตํ่าขึ้นลงมีนํ้าหยดลงมาทำให้เกิดเสียงดังเปาะแปะตลอดเวลา
ภายในถํ้าเงียบสงบมาก เงียบจนราวกับว่าไม่มีใครอยู่
แต่ในส่วนลึกของถํ้า บนแผ่นหินที่เรียบนูนขึ้นมามีคนนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง
รอบตัวเขาถูกห้อมล้อมด้วยไอมารสีดำหนาแน่น มองเห็นไม่ชัดถึงรูปร่างหน้าตา แต่พลังบารมีที่เปล่งออกมาจากร่างเขานั้น แผ่ขยายออกไปครอบคลุมเต็มท้องฟ้า ริมฝั่งแม่นํ้าเมิ่งหลานทำให้ทุกคนต้องแสดงความเคารพ พลังบารมีที่ยิ่งใหญ่นี้ ปกคลุมริมแม่นํ้าเมิ่งหลานมาสิบกว่าปีแล้ว
แต่ถึงแม้ผ่านไปสิบกว่าปี เหล่าทหารมารที่ประจำการอยู่ที่นี่ก็ยังคงทำสิ่งที่ควรทำภายใต้พลังบารมีนี้จนเป็นนิสัย
พลังบารมีคอยเตือนพวกเขาอยู่ตลอดเวลาว่า มีผู้ยิ่งใหญ่ที่สูงศักดิ์อย่างถึงที่สุด ราชาแห่งแดนมารของพวกเขากำลังปิดประตูบำเพ็ญอยู่ที่นี่
พลังบารมีแผ่ไปถึงฝั่งตรงข้ามของแม่นํ้าเมิ่งหลาน
ที่นั่นเป็นทางผ่านทุกครั้งที่มีการปรากฎตัวของเผ่าอี้ ที่นั่นมีกระแสช่องว่างที่ปั่นป่วนยุ่งเหยิง ขณะที่เผ่าอี้มาสำรวจสภาพการณ์แดนมารก็ล้วนถูกพลังบารมีนี้ข่มขู่จนต้องถอยกลับไป
มีบางตนไม่เชื่อเรื่องพลังประหลาด ยังคงเข้าใกล้ริมฝั่งแม่นํ้าเมิ่งหลาน แต่ร่างกายก็เกิดระเบิดออก ก่อนตายยังได้เห็นเหล่าเผ่ามารกำลังหัวเราะเยาะเย้ยตนอยู่ ความพรั่นพรึงเช่นนี้ทำให้สิบกว่าปีนี้ริมฝั่งแม่นํ้าเมิ่งหลานเงียบสงบอย่างผิดปกติ
“ท่านแม่ทัพ ความสงบในสิบกว่าปีนี้ทำให้ข้าแทบจะลืมรสชาติของการรบไปแล้ว” ขุนพลมารนายหนึ่งเอ่ยขึ้นกับหยวนฟงแม่ทัพมารที่ประจำการอยู่ริมฝั่งแม่นํ้าเมิ่งหลาน
หยวนฟงมองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย พูดด้วยเสียงห้าวหาญว่า “อย่าทำตัวเป็นสุขจนลืมทุกข์ เผ่าอี้ระยะหลังนี้ เจ้าเล่ห์มากนัก ยิ่งมักใหญ่ใฝ่สูงมากขึ้นไปอีก องค์ราชากังวลว่าระหว่างที่ปิดประตูบำเพ็ญจะเกิดเรื่องยุ่งจึงมานั่งอยู่ที่นี่ด้วยตนเองเองเพื่อประกันความสงบสุข”
“ความจริงองค์ราชาก็คิดมากไปแล้ว หากเผ่าอี้มาจู่โจมจริง ไม่ใช่ยังมีเจ้าเมืองย่อยอื่นๆ อีกหรือ” ขุนพลมารตอบอย่างไม่เห็นด้วย
แต่หยวนฟงมองอะไรได้ชัดเจนกว่าเขา “เจ้าเมืองย่อย ต่างมีอาณาจักรตัวเองต้องดูแล ทำให้แดนมารสุขสันติ เป็นหน้าที่หลักของพวกเขา อีกทั้งเจ้ากับข้าประจำการอยู่ที่นี่มาหลายปี ฝีมือนำทัพของเจ้าเมืองย่อยนั้น มีครั้งไหนที่ไม่ได้เอาชนะอย่างเฉียดฉิวบ้าง การรบแพ้ก็ยังมีให้เห็นอยู่”
พูดแล้วหยวนฟงก็กำหมัดทุบกำแพงเมืองอย่างแรง พูดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “พวกเผ่าอี้สมควรตายเหล่านี้! นับวันยิ่งรับมือยากขึ้นทุกที”
สิบกว่าปีมานี้ เขาพบว่าเผ่าอี้กำลังพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว พวกมันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าเล่ห์ขึ้น เทียบกับก่อนนั้นแล้วรับมือยากกว่าเดิม
“ก็ใช่น่ะสิ พวกเผ่าอี้นี่ก็เหลือเกิน จับจ้องพวกเราเผ่ามารไม่ลดละ ด้านเผ่าเทพทำแค่จิกเล็กจิกน้อยเท่านั้น” ขุนพลมารบ่น
หยวนฟงสั่นศีรษะ “ก็ไม่เชิง ข้าเพิ่งได้ข่าวเร็วๆ นี้ว่าเผ่าอี้ลอบโจมตีแผ่นดินเทพอย่างหนักหน่วง เพียงแต่พวกเผ่าเทพต่างปกครองตัวเอง กว่าพวกเขาจะรู้ตัวและไปถึงที่นั้น เผ่าอี้ก็ล่าถอยไปแล้ว จึงต้องลอบกลํ้ากลืนอยู่เงียบๆ ได้ยินว่าเสียหายยับเยิน เมืองมนุษย์เทพสองเมืองกับเมืองมนุษย์ธรรมดาสิบเมืองต่างถูกฆ่าล้างเมืองทีเดียว”
ขุนพลมารตกใจ “นี่เป็นเรื่องตอนไหนหรือ”
หยวนฟงหัวเราะเสียดสีว่า “ไม่แปลกที่เจ้าไม่รู้ พอเกิดเรื่องขึ้นก็ถูกดินแดนเทพปิดข่าวไว้ทันที บอกว่าไม่อยากให้ชาวเมืองตื่นตระหนกกลายเป็นคลื่นความหวาดกลัว หากไม่ใช่เพราะพวกเราเผ่ามารฝีมือเหนือชั้นก็คงไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่นิด”
“ฮึ เผ่าเทพนั้นเก่งที่สุดก็คือการสร้างสันติภาพจอมปลอม” ขุนพลมารยิ้มเยาะ
ในจุดนี้หยวนฟงก็ผงกศีรษะเห็นด้วยอย่างเต็มที่ “ความจริงข้าก็ยังรู้สึกว่าองค์ราชาห่วงมากเกินไป ต่อให้เหล่าเจ้าเมืองย่อยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเผ่าอี้ พวกเราก็ยังมีพระชายาไม่ใช่หรือ! การรบครั้งก่อนที่พระชายานำทัพ ข้าดูจนเลือดลมเดือดพล่าน รู้สึกแค่ว่าหากติดตามพระชายาไปแล้วจะไม่มีวันรบแพ้ สามารถสังหารเผ่าอี้ได้หมดเกลี้ยง!” ขุนพลมารพูดอย่างลิงโลด
“ชู่ว!” หยวนฟงกลับห้ามรองแม่ทัพของตนอย่างระมัดระวัง เขาว่า “ข้าได้ยินมาว่าพระชายาไม่ได้อยู่ในแดนมารมาระยะหนึ่งแล้ว”
ขุนพลมารตะลึงตาด้างราวกับไม่คิดว่าจะมีคำตอบเช่นนี้
ครู่หนึ่ง เขาจึงพึมพำว่า “พระชายาไม่อยู่ มิน่าองค์ราชาถึงไม่ไว้ใจการรบด้านนี้จนต้องมาอยู่ที่นี่เอง”
“ความจริงก็ดีเหมือนกัน หยุดยั้งการโจมตีของเผ่าอี้ได้ องค์ราชาก็จะได้ปิดประตูบำเพ็ญอย่างสงบ” หยวนฟงว่า
ขุนพลมารพยักหน้าอย่างเห็นด้วย สายตามองไปที่นํ้าสีดำของแม่นํ้าเมิ่งหลาน
เขาพูดอย่างสงสัยว่า “แต่ก่อนหากไม่มีการรบ น้ำในแม่นํ้าเมิ่งหลานจะเปลี่ยนเป็นใสกระจ่างสวยงาม แต่สิบกว่าปีนี้ถึงแม้ไม่มีการรบเกิดขึ้น นํ้าในแม่นํ้าเมิ่งหลานก็ยังคงเป็นสีดำสนิท เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
คำพึมพำของเขา หยวนฟงไม่ได้ยิน
แต่ว่า แม้จะได้ยินแล้วก็คงให้คำตอบไม่ได้ ถึงอย่างไรทุกอย่างก็ยังนิ่งสงบ แม้จะมีข้อสงสัยในใจแต่ก็เพียงแวบผ่านไปไม่ได้คิดมากนัก
ความมืดค่อยๆ มาเยือน
ท่ามกลางความมืดมิด ริมฝังแม่นํ้าเมิ่งหลานราวกับหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับท้องฟ้า ยากจะแยกแยะออกได้
แม่นํ้าเมิ่งหลานฝั่งตรงข้าม จุดที่อ่อนแอที่สุดของสิ่งกีดขวางเผ่าเทพและเผ่ามารพลันเปล่งรัศมีจางๆ วิบวับไม่ต่างกับแต่ก่อนนี้
แต่ขณะนี้เองสิ่งกีดขวางพลันค่อยๆ เกิดรอยแยกสายหนึ่งขึ้น มีเงาคนผู้หนึ่งแวบออกมาอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยเงาร่างคนอีกหลายคน
ขณะที่รอยแยกกลับคืนสู่สภาพปกติ ฝั่งแดนมารก็มีเงาร่างคนเพิ่มขึ้นมาถึงเจ็ดเงา
ท่ามกลางความมืดทำให้มองไม่ออกถึงรูปร่างของพวกเขา ใบหน้าของพวกเขาสวมหน้ากากปิดบังโฉมหน้าเอาไว้
“ฮึ พวกเรามีฐานะระดับไหน ถึงกับต้องมาทำลับๆ ล่อๆ ที่นี่” หนึ่งในนั้นพูดอย่างอึดอัด นํ้าเสียงนั้นไม่พอใจอย่างยิ่ง
อีกคนหนึ่งเอ่ยว่า “พวกเรามาลอบสังหาร หากมากันอย่างเอิกเกริก แล้วจะแอบลงมือได้อย่างไรเล่า”
“ถูกต้อง เรื่องลอบสังหารเดิมก็ไม่ได้สง่างามอะไรอยู่แล้ว ในเมื่อพวกเราปกปิดใบหน้านั้นก็เพราะไม่อยากเปิดเผยตัวตน ดังนั้นไม่ต้องมาวางท่าเป็นราชาเทวะกันหรอก” มีคนเห็นด้วย
“แค่คนรุ่นหลังคนเดียวทำให้เราหลายคนต้องลงมือพร้อมกัน นับว่าเป็นเกียรติยิ่งนัก” คนที่พูดขึ้นคนแรกยังคงไม่พอใจ
มีคนเตือนว่า “ไม่ผิดที่ราชามารรุ่นนี้เป็นคนรุ่นหลังเรา แต่พวกเจ้าอย่าลืมว่า พรสวรรค์ของเขาเรียกได้ว่าถึงขั้นมารปีศาจ อายุเพียงน้อยนิดตบะบำเพ็ญกลับเหนือกว่าพวกเรา ไม่เช่นนั้นจะทำให้พวกเราหวาดหวั่นจนต้องใช้โอกาสนี้เพื่อกำจัดเขาหรือ”