Skip to content

พลิกปฐพี 967

ตอนที่ 967

ตอนพิเศษ 8

พบเพื่อนเก่า หน้าหลุมศพ

“กรี๊ด! ขโมย!”

เสียงผู้หญิงแหลมเปรียวเสียงหนึ่ง ดังมาจากข้างหลังมู่ชิงเกอ

เดิมที นางได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถมอเตอร์ไซด์ก็คิดจะหลบตามจิตใต้สำนึก แต่ว่า หลังจากที่ไดยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงผู้นั้นขาที่เดิมคิดจะถอยหลังของนางก็ก้าวออกไปข้างหน้า…

โครม!

เสียงดังสนั่น ดังขึ้นบนถนน

เสียงชนที่กึกก้องนี้ทำให้คนเดินถนนตกใจ รวมถึงรถก็ยังหยุดอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าตกตะลึงแต่ละใบหน้าต่างก็ปรากฎอยู่ในดวงตาของแต่ละฝ่าย

ทว่า ผู้ริเริ่มการกระทำทั้งหมดนี้กลับเก็บขาที่ก้าวออกไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินกลับไปที่บ้านต่อ

หลังจากที่มู่ชิงเกอจากไป บริเวณนี้ก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่ง

รถที่ตามมาข้างหลัง ไม่รู้ว่าข้างหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มองเห็นเพียงรถที่จอดอยู่ข้างหน้าเหล่านั้น จึงจำต้องลดความเร็วลง บีบแตรดัง

เสียงแตรที่หนวกทู ดังขึ้นบนถนนทำไท้คนทั้งหมดตกใจ

ไม่นานนัก เสียงไซเรนรถตำรวจก็เข้ามาใกล้ ดูเหมือนว่าจะมีคนไปแจ้งความ บอกตำรวจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่แล้ว

ตอนที่รถตำรวจจอดลงข้างๆ ผู้หญิงที่ถูกปล้นคนนั้นก็เพิ่งจะได้สติกลับมาจากความตกใจ

มองเห็นโจรล้มลงไปพร้อมรถมอเตอร์ไซด์ เธอที่สวมรองเท้าส้นสูง ก็วิ่งเข้าไปเก็บกระเป๋าที่ตกอยู่ข้างตัวโจรขึ้นมาอย่างรวดเร็วและกอดไว้ในอ้อมอกตนเองแน่น

“คุณครับ คุณคือผู้เสียหายใช่ไหม เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น อุบติเทตุครั้งนี้เกิดขึ้นได้ยังไง คุณเห็นเหตุการณ์หรือเปล่าครับ”

โจรที่กำลังสะลืมสะลือถูกตำรวจพาตัวออกไป

หญิงที่ถูกปล้นคนนั้นกลายเป็นผู้เสียหายที่ให้ปากคำแก่กลุ่มตำรวจไป

อย่างไรเสีย ตอนที่พวกเขาตามมาถึงก็พบเพียงรถมอเตอร์ไซด์ที่ล้มอยู่ข้างทาง รวมถึงผู้ต้องสงสัยปล้นทรัพย์ที่ดูเหมือนศีรษะถูกกระแทก รอบข้างเขาไม่มีรถคันอื่นและไม่มีใคร คนที่ยืนตะลึงงันอยู่เพียงคนเดียวก็คือผู้เสียหายที่ถูกปล้นกระเป๋าเท่านั้น

คำถามของตำรวจทำให้หญิงสาวคนนั้นได้สติกลับมา เธอกล่าวด้วยความตื่นเต้น “คุณตำรวจคะ มีคนขโยกระเป๋าฉัน!”

พูดจบก็กอดกระเป๋าในมือตัวเองแน่นตามจิตใต้สำนึก

ตำรวจที่มาบันทึกคดีมองกระเป๋าในอ้อมอกเธอปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงจดรายละเอียดจากปากคำหญิงสาวลงไปเงียบๆ เมื่ออารมณ์เธอสงบลงเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวถามอีกครั้ง “คนที่ปล้นคุณคนนั้นเขาล้มลงได้ยังไงครับ มีใครชนเขาเหรอครับ”

จากประสบการณ์ ถนนที่ไม่มีสิ่งกีดขวางเลยแม้แต่น้อยเช่นนี้ รถมอเตอร์ไซด์ไม่มีทางล้มลงเองอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยได้

ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือถูกชน

‘หากมีรถคู่กรณีเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างนั้นรูปคดีนี้ก็จะซับซ้อน นอกจากคดีอาญาปล้นทรัพย์แล้ว ยังมีผู้ก่อเหตุที่ต้องสงสัยว่าหลบหนีอีกด้วย’ ตำรวจบันทึกคดีคิดเรื่องเหล่านี้ในใจ ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้

“ชนเขาเหรอ” หญิงที่ถูกปล้นตกตะลึง ส่ายหน้าตามจิตใต้สำนึก “ไม่มี! ไม่มีใครชนเขานะคะ”

“ไม่มีเหรอ” ตำรวจขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม แววตานั้น เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อหญิงสาว เขากล่าวเตือน “ถึงคุณจะเป็นผู้เสียหาย แต่ถ้าตั้งใจปิดบังเข้าข้างคนที่ช่วยคุณ แม้ว่าเขาจะทำในสิ่งที่ถูกต้องแต่ก็ไม่สามารถขับรถชนคนได้ เพราะถือเป็นการก่อเหตุบนท้องถนนจะต้องรับผิดตามกฎหมาย ถ้าคุณรู้แล้วไม่บอกก็อาจจะโดนข้อหาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้นะครับ”

น้ำเสียงที่เด็ดขาดของตำรวจทำให้สีหน้าหญิงสาวลุกลี้ลุกลนกล่าว ด้วยความกล่ำกลืน “ไม่มีใครขับรถชนเขาจริงๆ ค่ะ”

จู่ๆ ดวงตาเธอก็ลุกวาว ภาพบางภาพก่อนหน้านี้พรั่งพรูเข้ามาในสมองเธอ

เธอกล่าวต่อ “คุณตำรวจคะ ฉันไม่ได้ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่จริงๆ ฉันจำได้แค่ว่า ตอนนั้นมีผู้ทญิงสวยมากๆ คนหนึ่งอยู่ข้างหน้า เธอถีบรถมอเตอร์ไซด์แค่ครั้งเดียว เขาก็ล้มลงไปทั้งรถทั้งคนเลยค่ะ”

“คุณล้อผมเล่นหรือไง” ตำรวจตกตะลึง ยิ้มเยาะกล่าว

รถมอเตอร์ไซด์ที่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงถูกคนถีบล้ม? อีกทั้งคนที่ถีบล้มยังเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวด้วย คิดว่าเขาโง่sรือไง การกระทำที่อันตรายแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำได้หรือไม่ ต่อให้ถีบมอเตอร์ไซด์ได้จริงๆ ก็เกรงว่าคนที่พลิกควํ่าจะไม่ใช่รถมอเตอร์ไซด์แต่จะเป็นเท้าของตัวเองต่างหากที่บาดเจ็บ

“เปล่านะ! ฉันไม่ได้โกหก!” หญิงสาวอธิบายอย่างรีบร้อน

“พอแล้ว สิ่งที่พูดออกมา ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ทางที่ดีคุณควรคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยพูด” ตำรวจกล่าวเสียงเด็ดขาด

หญิงสาวแทบจะร้องไห้ อธิบายอย่างร้อนใจ “ฉันไม่ได้โกหกจริงๆ ค่ะ เหตุการณ์ที่ฉันเห็นเป็นแบบนี้จริงๆ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเธอทำได้ยังไงเหมือนกัน”

การยืนกรานของหญิงสาว ทำให้สีหน้าตำรวจเย็นเยียบ

ตอนนี้ ตำรวจที่แยกกันไปสอบปากคำพยานที่เห็นเหตุการณ์คนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้างุนงง

พวกเขาเดินไปหาชายที่นั่งอยู่ข้างๆ รถมอเตอร์ไซด์ที่ล้มลง ดูท่าแล้ว น่าจะเป็นหัวหน้าของพวกเขา

เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานเดินไปหาคนคนนั้น ตำรวจที่สอบปากคำหญิงสาวที่ถูกปล้นก็คิดครู่หนึ่งเหลือบตาขึ้นมองหญิงสาวปราดหนึ่ง

หลังจากมองเห็นสีหน้าหวาดกลัวของหญิงสาวก็เดินไปตรงนั้น

ตำรวจสี่ห้านายต่างก็มารวมตัวอยู่ข้างๆ ผู้ชายคนนั้น และเอ่ยปากทีละคน

“หัวหน้าครับ ผมถามพยานมาแล้ว พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งรถทั้งคนถูกผู้หญิงวัยรุ่นที่ผ่านทางมาคนหนึ่งถีบล้มครับ”

“ฝั่งผมก็เหมือนกันครับ เพราะแบบนี้พวกเขาเลยหยุดรถบนถนน เพื่อลงมาดู แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นก็หนีไปทันทีครับ”

“คำให้การที่ผมบันทึกมาก็เหมือนกันครับ”

“ของผมก็ด้วย”

พอได้ยินคำพูดของเพื่อนร่วมงาน ตำรวจที่สอบปากคำหญิงที่ถูกปล้นก่อนหน้านี้ก็ก้มหน้ามองเนื้อหาที่บันทึกในมือตน กล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “หัวหน้า ผมถามผู้หญิงที่ถูกปล้นแล้ว เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ถีบรถมอเตอร์ไซด์หลังจากนั้นทั้งรถทั้งคนก็ล้มลง”

พูดจบ เขาก็อดไม่ได้เสริม อีกหนึ่งประโยค ‘‘แต่ว่า เรื่องนี้จะเป็นไปได้เหรอครับ พวกเขาร่วมมือกัน เพื่อให้ผู้ก่อเหตุที่ทำในสิ่งที่ถูกต้องคนนั้นพ้นโทษหรือเปล่า”

สมมติฐานข้อนี้ของเขาเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ก็เห็นด้วยเช่นกัน

แต่ว่า หัวหน้าของพวกเขากลับเอ่ยปากด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกรงว่าที่พวกเขาพูดจะเป็นเรื่องจริง”

ตำรวจหลายคนตะลึงงัน

เขายื่นมือออกไป ชี้บางจุดบนรถมอเตอร์ไซด์ คนหลายคนมองตาม ทิศทางที่เขาชี้บนตำแหน่งของมอเตอร์ไซด์นั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีรอยบุ๋มที่ชัดเจนอย่างยิ่งรอยหนึ่ง

บริเวณรอยบุ๋ม เป็นรูปรอยเท้าหนึ่งข้าง อีกทั้งขนาดของรอยเท้านั้นยังไม่ใช่ของผู้ชายอย่างแน่นอน

คนหลายคนมองภาพๆ นี้ด้วยความตกตะลึง ส่งเสียงเดียวกันขึ้นมาในใจอย่างไม่ได้นัดหมาย

‘ผู้หญิงคนเดียวจะถีบรถมอเตอร์ไซด์ที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงล้ม หลังจากนั้นก็หนีไปสบายๆ ได้จริงๆ หรือ’

เรื่องที่เกิดขึ้นต่อเหล่านี้มู่ชิงเกอไม่รู้เรื่องทั้งสิ้น

เกรงว่า ต่อให้นางจะรู้ก็ไม่มีทางสนใจ

นางหิ้วเสื้อผ้าที่ซื้อให้สองพ่อลูกเดินกลับเขตที่พักอย่างสบายอารมณ์ เข้าไปในคฤหาสน์

เมื่อเข้าประตูบ้านไป นางก็รู้สึกว่าในบ้านเงียบสงบอย่างยิ่ง

ไม่ ควรจะพูดว่า เงียบสงบหมายถึงไม่มีคนพูดคุยกัน แต่ในห้องรับแขกกลับมีเสียงโทรทัศน์ดังอยู่

นางจำได้แม่น ตอนที่นางออกจากบ้าน ไม่ได้เปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้

มู่ชิงเกอเดินเข้าไปในห้องรับแขกด้วยความสงสัย

ในห้องรับแขก เงาร่างหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กสองเงาต่างก็เงยหน้าขึ้นมองนาง มู่ชิงเกอตกตะลึง ประหลาดใจเล็กน้อย

ตอนนี้ปีศาจน้อยกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นดูโทรทัศน์ ในโทรทัศน์กำลังฉายการ์ตูนช่องเด็กอยู่

ส่วนซือมั่ว…

เขานั่งอยู่บนโซฟา ขาเรียวยาวหนึ่งข้างไขว่ห้าง บนเข่าเขามีหนังสือหนาๆ หนึ่งเล่มกางอยู่ นิ้วมือที่งดงามของเขากำลังพลิกหน้าหนังสือ

บนโซฟาข้างซือมั่ว ยังกองเต็มไปด้วยหนังสืออีกจำนวนมาก

มู่ชิงเกอกวาดตามองปราดหนึ่ง พบว่า หนังสือเหล่านั้นเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ รวมถึงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี สารานุกรรมต่างๆ นานา

“…” มู่ชิงเกอจำไม่ได้ว่าในบ้านตัวเองมีหนังสือเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไร

ตอนแรก การตกแต่งบ้านหลังนี้ นางไม่เคยก้าวก่ายเลยแม้แต่น้อย เสร็จแล้วก็หิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่เลย คิดดูแล้ว เกรงว่าหมอนั้นคงจะนำหนังสือต่างๆ จากร้านหนังสือมาให้นางตอนที่ตกแต่งกระมัง

มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกเล็กน้อย ถือถุงเดินเข้าไปหาสองพ่อลูก

“ท่านแม่…” ซือนาจาเห็นมู่ชิงเกอกลับมาก็รีบตะโกนด้วยความดีใจ

ทว่า เขาเพิ่งจะเอ่ยปากก็มีสายตาเย็นยะเยือกสองสายตกลงบนร่างเขา ทำให้เขาสะดุ้งโหยง ปีศาจน้อยรีบพูดแก้ “หม่าม๊า”

เมื่อคำเรียกนี้ดังออกไป สายตาที่เย็นยะเยือกสองสายนั้นก็หายไปในชั่วพริบตา มู่ชิงเกอเองก็ตกตะลึงไป

“ใครให้เจ้าเรียกแบบนี้ แล้วยังมีโทรทัศน์นี้…” จู่ๆ มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่า ตนออกจากบ้านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เหตุใดสองพ่อลูกคู่นี้ถึงได้เคยชินกับการใช้ชีวิตบนโลกนี้แล้วเล่า

สายตาที่มีความคับแค้นใจของซือนาจาหันมองซือมั่ว

มู่ชิงเกอเองก็มองตามไป สบกับดวงตาสีอำพันคู่นั้นของซือมั่ว

“ที่รัก มานี่” ซือมั่วปิดหนังสือในมือเบาๆ ยกมือขึ้น กวักเรียกมู่ชิงเกอ การกระทำนั้น คล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ ชื่นตาชื่นใจอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่ เมื่อคำว่า ‘ที่รัก’ สองคำนี้ออกมาจากปากซือมั่ว ยังคงทำให้นางหัวใจสั่นไหว เผยสีหน้าไม่คุ้นชินอย่างยิ่งออกมา

นางกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าเป็นอะไรไป”

ถามไปพลาง นางก็ยังคงเดินไปข้างชายผู้นั้น

ซือมั่วยิ้มบางๆ “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ช่วงที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์ออกไป ข้าว่างไม่มีอะไรทำ เลยทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกเล็กใบนี้จากที่ต่างๆ”

“…” มู่ชิงเกอกวาดตามองหนังสือข้างๆ ซือมั่วอีกครั้งอย่างประหลาดใจ ถามอย่างอดไม่ได้ “หนังสือเหล่านี้เจ้าอ่านหมดภายในเวลาสั้นๆ เช่นนั้นหรือ”

ซือมั่วเลิกคิ้ว มองนางด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ “เจ้ากับข้ามีปัญญาเทวะที่แข็งแกร่งเช่นนี้ อ่านหนังสือแค่ไม่กี่เล่มจะยากอะไร”

แหะๆ…

มู่ชิงเกอเถียงไม่ออก

กลับมาที่ดาวโลก ตอนที่สิ่งของทันสมัยเข้าไปในสมองของนางอีกครั้ง นางกลับลืมปัญญาเทวะ ลืมว่านางในตอนนี้อาจจะเป็นเพียงเทพที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างในสายตาของชาวโลก

มู่ชิงเกอไม่ต่อกรกับคำถามข้อนี้ต่อ นางหยิบเสื้อผ้าที่ซื้อมา วางไว้ตรงหน้าซือมั่ว ยิ้มกล่าว “ในเมื่อเจ้าเก่งกาจเช่นนี้ ก็คงจะใส่เสื้อผ้าชาวโลกเป็น เช่นนั้นข้าไม่ช่วยเจ้าแล้ว”

พูดจบ นางก็มองซือนาจาที่กำลังมองตนด้วยดวงตาคู่โตที่น่าสงสารคู่หนึ่งข้างๆ ยิ้มอย่างเปล่งประกาย “นาจา ตามข้ามา ข้าจะช่วยเจ้าใส่เสื้อผ้า”

ซือนาจาตาลุกวาว กระโดดขึ้นมาจากพื้นทันที วิ่งไปหามู่ชิงเกอ

แต่ว่า เขาวิ่งไปได้ครึ่งเดียว ยังไม่ทันโผเข้าสู่อ้อมอกของมู่ชิงเกอ ร่างก็ถูกหยุดไว้ ห้อยอยู่กลางอากาศ

“จอมปีศาจปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” ซือนาจาตะโกนใส่ซือมั่วเสียงแหบเสียงแห้ง

ขมับมู่ชิงเกอกระตุกเล็กน้อย มองซือมั่วอย่างหมดคำพูด

ทว่าสีหน้าซือมั่วกลับเย็นชากล่าวด้วยท่าทีจริงลัง “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ นาจาโตแล้ว ใส่เสื้อผ้าเรื่องเล็กเช่นนี้ เขาทำเองได้”

พูดจบ เขาก็โบกมือ หิ้วซือนาจากับเสื้อผ้าเด็กในมือมู่ชิงเกอหายตัวไปจากห้องรับแขก

มู่ชิงเกอส่ายหน้าอย่างจนใจ “เจ้าจะทำอะไร”

วันทั้งวันเอาแต่รังแก ลูกชายนาง สนุกนักหรือไร ไม่สิ ต้องพูดว่า พวกเขาสองพ่อลูกอยู่ร่วมกันเช่นนี้ ในทุกๆ วัน ทำให้คนปวดหัวจริงๆ

เงาร่างซือมั่วกะพริบวาบ ชั่วขณะก็ปรากฎตัวอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ สายลมที่พามาพัดเส้นผมของนางจนปลิวไสว

มู่ชิงเกอคิดจะถอยหลังตามจิตใต้สำนึก แต่ยังไม่ทันจะถอย เอวก็ถูกมือใหญ่หนึ่งข้างโอบแน่น ดึงนางเข้าไปในอ้อมอกของบุรุษ

“ผู้ชายที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์มองได้มีเพียงข้าเท่านั้นข้าไม่ค่อยคุ้นชินกับเสื้อผ้าบนโลกนี้ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่วยข้าได้หรือไม่” ซือมั่วกระซิบข้างหูนาง

ไอร้อนที่พ่นออกมา พ่นลงบนหน้ามู่ชิงเกอไม่หยุด ทำให้ผิวที่ขาวใสของนางมีแดงเรื่อปรากฎขึ้นจางๆ

“นาจาเป็นลูกพวกเรานะ” มู่ชิงเกอกัดฟันกล่าว

“นั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน”ซือมั่วประกาศความเป็นเจ้าของอย่างเผด็จการ “หากเขามีความสามารถ จะต้องหาสตรีที่เป็นของเขาได้แน่นอน”

มู่ชิงเกอมองเขาอย่างจนใจ มุมปากกระตุกเบาๆ กล่าว “เจ้าจะขังเขาไว้ในห้องเช่นนี้หรือไร”

ปัญญาเทวะของนางกวาดสำรวจก็รู้แล้วว่าซือนาจาถูกซือมั่วขังไว้ในห้องนอนห้องหนึ่ง เด็กน้อยกำลังบันดาลโทสะอยู่ในห้อง ถูกพลังซือมั่วกักขังไว้ในห้องอย่างจนปัญญา ปีศาจน้อยหนีออกมาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

เห็นสภาพปีศาจน้อยในห้องแล้ว มู่ชิงเกอก็ยังคงสงสารลูกชาย

แต่ว่า ซือมั่วกลับกล่าวอย่างไม่สนใจ “เขาเป็นผู้ชาย เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ไม่ต้องเอาใจเขามากเกินไป”

ขณะที่พูด หน้าผากเขาก็ก้มตํ่า จู่ๆ ก็กระชับระยะห่างระหว่างคนทั้งสองเข้ามาใกล้ ถามด้วยเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อย “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าตั้งใจสอนข้าใส่เสื้อผ้าดีกว่า”

“อ่อ…”

มู่ชิงเกอไม่ทันได้ตอบ ริมฝีปากก็ถูกยึดครอง ปิดคำพูดที่ยังไม่ทันได้ออกจากปากของนางไว้ข้างใน

‘ใส่เสื้อผ้าหรือ ชายผู้นี้ไหนเลยจะต้องการเรียนวิธีใส่เสื้อผ้า’

มู่ชิงเกอคิดอย่างเคียดแค้นในใจ

ในเมืองใหญ่แห่งนี้มีสุสานสาธารณะหนึ่งแห่งพิเศษอย่างถึงที่สุด

เพราะว่า แม้ที่นี่จะเป็นสุสานสาธารณะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีคุณสมบัติฝังศพที่นี่ได้ คนที่ฝังศพที่นี่ได้ ล้วนเป็นวีรบุรุษที่พสีชีพเพื่อชาติ ตายในหน้าที่

พวกเขา อาจจะไม่ใช่ทหารทั้งหมด แต่จะต้องเป็นคนที่สร้างคุณงามความดีโดดเด่น

วันนี้ มู่ชิงเกอสวมชุดดำทั้งชุด มาที่นี่เพียงคนเดียว เรื่องของนาง ได้บอกซือมั่วให้รู้โดยรวมแล้ว  แต่ว่านางกลับไม่อยากให้ซือนาจารู้เยอะเกินไปนัก

ดังนั้นซือมั่วจึงรอนางอยู่บนรถกับลูกตามคำสั่งของนาง

นางรับปากปีศาจน้อยอีกประเดี๋ยวจะพาเขาไปเล่นที่สนามเด็กเล่นอย่างในโทรทัศน์

แม้ว่าซือนาจาจะแข็งกล้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่หัวใจที่ยังเป็นเด็กก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เขายังคงเป็นเพียงเด็กอายุสามสี่ขวบคนหนึ่ง

เดิมซือมั่วอยากมากับมู่ชิงเกอด้วย แต่กลับถูกนางห้ามไว้

เรื่องบางเรื่อง มู่ชิงเกออยากไปทำเพียงคนเดียว

วันนี้นางมาที่นี่ เพียงเพื่อจะไปรำลึกถึงตัวนางในอดีต

ในสุสาน เงียบสงัดอย่างถึงที่สุด

ตอนนี้ไม่ใช่วันเชงเม้ง ไม่ใช่วันตรุษจีน คนที่มาปัดกวาดหสุมศพจึงแทบจะไม่มี สุสานทั้งหมด มีเพียงคนที่ฝังอยู่ที่นี่ รวมถึงเสียงสายลมที่พัดผ่านเป็นครั้งคราว

มู่ชิงเกอเดินผ่านป้ายหลุมฝังศพแต่ละแถวๆ ปัญญาเทวะของนาง ปกคลุมสุสานทั้งหมด ตามหาตัวนางในชาติก่อน

เร็วอย่างยิ่ง นางก็กำหนดตำแหน่งได้

นางในชาติก่อน ตายในหน้าที่ แม้ว่าจะถูกระเบิดจนร่างแหลกละเอียด แต่ตามกฎแล้ว กองทัพก็ยังตั้งสุสานให้นางได้

มู่ชิงเกอเดินไปยังป้ายหลุมฝังศพของตัวเอง นางสัมผัสได้ว่า นอกจากนางแล้ว ยังมีปัญญาเทวะที่แข็งแกร่งหนึ่งสายอยู่ที่นี่ด้วย

ไม่ต้องคิดเยอะ นางก็รู้ว่านั่นคือใคร

นางรู้ดี ชายผู้นั้นเป็นห่วงนาง แม้ว่าคนจะไม่ได้ตามมา แต่ปัญญาเทวะก็ตามติดมาโดยตลอด

มาถึงหน้าป้ายหลุมฝังศพของตัวเอง สายตาของมู่ชิงเกอก็ตกลงบนรูปถ่ายใบนั้น รวมถึงชื่อบนป้ายหลุมศพ

‘หลุมศพของมู่เกอผู้เสียสละ’

ตัวอักษรจารึกหน้าหลุมศพที่เรียบง่ายอย่างยิ่ง นอกจากวันเกิดวันตายแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก นี่ก็คือนาง แม้ว่านางจะเป็นมีดแหลม สร้างคุณูปการทางทหารนับไม้ถ้วน แต่เกียรติยศเหล่านั้น ล้วนแต่ไม่อาจสลักไว้บนแผ่นป้ายได้ เพราะว่าตัวนางเป็นการมีอยู่อย่างลับๆ ตายไปแล้วก็พัดทุกสิ่งทุกอย่างสลายหายไปเช่นกัน

รูปถ่ายใบนั้น เป็นรูปถ่ายครึ่งตัวที่นางสวมชุดทหารอยู่ องอาจผ่าเผย รอยยิ้มบนใบหน้ามั่นใจในตนเองอย่างถึงที่สุด ในแววตายังมีความบ้าระหํ่าอยู่หลายส่วน

นางบ้าเพราะว่านางแข็งแกร่ง

ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอหรี่ลง

นางสังเกตเห็นว่า หน้าป้ายหลุมศพ ยังมีดอกเบญจมาศสีขาวที่เหี่ยวแห้งแล้ววางอยู่

ชัดเจนอย่างยิ่งกว่า ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เคยมีคนมาไหว้นาง

‘เพื่อนเก่าในกองทัพหรือ เป็นไปไม่ได้ ทุกวันพวกเขาล้วนฝึกฝนอย่างเข้มงวด หรือไม่ก็กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ไม่อาจออกมาตามอำเภอใจได้เป็นอันขาด ไหนเลยจะมีเวลามาไหว้’ มู่ชิงเกอคาดเดาในใจ

ศัตรูหรือ

ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

หากศัตรูของนางรู้ฐานะของนาง เกรงว่าจะไม่ได้มาไหว้ แต่คงจะใช้ระเบิดพังสุสานของนางทิ้งเสีย

เพื่อนหรือ

เพื่อนของนางนับนิ้วได้…ชาติก่อนต่างจากตอนนี้ ตลอดทั้งปีนางอยู่ในกองทัพ หรือไม่ก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ไหนเลยจะมีเวลาไปหาเพื่อนข้างนอก

แต่ว่า เป็นใครกัน

มู่ชิงเกอคิดจนหัวแทบแตก ก็ยากจะเดาได้ว่าแท้จริงแล้วเป็นใคร

‘เสี่ยวเกอเอ๋อร์มีคนมา’ ในตอนที่มู่ชิงเกอครุ่นคิดว่าใครมาไหว้นาง ซือมั่วก็พลันเรียกสตินางผ่านปัญญาเทวะ

มู่ชิงเกอเก็บความคิด ปัญญาเทวะกวาดออกไปเช่นเดียวกัน

เป็นดังคาด รถหนึ่งคันแล่นผ่าน จอดอยู่นอกสุสาน ในรถมีชายผู้หนึ่งเดินลงมา รูปร่างสูงใหญ่ กลิ่นอายหรูหราทั่วร่าง เขาลงรถแล้วก็หันหลังกลับเดินไปอีกฝั่ง เปิดประตูรถออก หยิบดอกเบญจมาศสีขาวที่วางอยู่บนที่นงข้างคนขับออกมา จากนั้นจึงปิดประตูรถอีกครั้ง

‘เขานั้นเอง’ ตอนที่เห็นดอกเบจมาศสีขาว มองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้น ดวงตาทั้งคู่ของมู่ชิงเกอก็หดลงอย่างรวดเร็ว เผยสีหน้าตกใจออกมา

เพราะว่า ในการคาดเดาของนาง คนผู้นี้น่าจะไม่รู้ข่าวการตายของนาง

มิเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านหลังนั้นจะอธิบายอย่างไร

หลี่ซิวหยวนถือดอกเบญจมาศสีขาวเดินเข้าไปในสุสานในกระโปรงท้ายรถเขา ยังใส่กระเป๋าเดินทางไว้ ความจริงแล้ว เขาเพิ่งจะกลับมาจากการทำงานที่ต่างประเทศ เรื่องแรกที่เขาทำก็คือมาที่นี่

ตั้งแต่ที่เขารู้ข่าวที่ทำให้เขาไม่ยอมรับข่าวนั้น เขาก็คล้ายติดนิสัยใหม่ นั้นก็คือ ไม่ว่าเขาจะไปไหน ขอเพียงแค่ออกไปจากเมืองนี้ เขาก็จะมาเยี่ยมเธอที่นี่ทั้งก่อนไปและหลังจากกลับมา

เส้นทางการไปเยี่ยมเธอ สลักลึกไว้ในสมองของเขานานแล้ว เร็วอย่างยิ่ง เขาก็เดินไปถึงหน้าป้ายหลุมศพแผ่นนั้นที่มู่ชิงเกอยืนอยู่ก่อนหน้านี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!