ตอนที่ 111
เพื่อความแข็งแกร่ง รุกเลย
ลู่เจี้ยจับจ้องเขาไปแววตาลึกลํ้าของเจียงหลี คล้ายว่ามีเสน่ห์สีแดงดั่งดวงอาทิตย์วูบไหว
“หลีเอ๋อร์?” เขาเอ่ยออกมาอย่างแผ่วบางโดยไม่รู้ตัว ทำลายเสน่ห์ในตานาง เจียงหลีตั้งสติแล้วถาม ต่อถามอย่างไม่รู้ตัว “เมื่อกี้เจ้าถามข้าว่าอะไรนะ”
ลู่เจี้ยยิ้มมุมปากอย่างระงับอารมณ์เมื่อเหยื่อกระโดดลงกับดับเอง “ข้าถามเจ้าว่า ชิงเกอคือใคร?”
“ท่านรู้จักชื่อนี้ได้อย่างไรกัน” ดวงตาเจียงหลีหดลง
“ลู่เสวียนบอกข้าเอง” ลู่เจี้ยตอบอย่างไม่ใส่ใจในมือเขายังไม่ลืมถือช้อนหยกตักยาทาลงบนแผ่นหลังเจียงหลีที่มีบาดแผลอย่างเบามือ ไอเย็นจากยา การเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม ทำให้เจียงหลีขนลุกซู่
นางพยายามจะอดทนกับความยั่วยวนเช่นนี้ กัดฟันแน่นพูดว่า “เจ้าเด็กบ้านั่นรู้ได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินนางเรียกชื่อเล่นลู่เสวียนสนิทสนมจนเกินเหตุ ลู่เจี้ยหรี่ตาลงฉายแววอันตราย มือที่ทายาอยู่หนักขึ้น…
“โอ้ยย เบาหน่อยสิ ท่านอยากให้ข้าเจ็บจนตายหรือไง” เจียงหลีรีองออกมาอย่างเจ็บปวด
“หลีเอ๋อร์เรียกเสี่ยวเสวียนสนิทสนมเช่นนั้นเกรงว่าจะไม่เหมาะ หากผู้อื่นได้ยินเข้า อาจคิดว่าเจ้าไม่มีกาลเทศะ ต่อไปก็เรียกชื่อเขาโดยตรง หรือจะเรียกเขาว่าซื่อจื่อก็ได้” ลู่เจี้ยก้มหน้าลงขนตายาวปกปิดอารมณ์ในแววตา
“แค่ชื่อเรียก ทีข้ายังเรียกท่านว่าพ่อรูปหล่อเลย ก็ไม่เห็นท่านว่าข้าไม่มีกาลเทศะ” เจียงหลีบ่ายเบี่ยงพึมพำอย่างไม่พอใจ
มุมปากลู่เจี้ยยกขึ้นเล็กน้อยไม่พูดต่อเรื่องนี้ กลับตอบคำถามก่อนหน้าอย่างอารมณ์ดี “เสี่ยวเสวียน บอกว่าตอนพวกเจ้าพบกับฉินเทียนอี เจ้าได้เอ่ยชื่อนี้ออกมา”
ตอนนั้นนั่นเอง เจียงหลีนึกขึ้นได้ทันที
แม้ความทรงจำนั้นจะคลุมเครือไปบ้าง แต่นางยังจำได้ชัดเจนว่านางตื่นเต้นเกินไปจนเผลอ เรียกชื่อมู่ชิงเกอออกมา
นางก็นึกว่า มู่ชิงเกอมาหานางแล้วจริงๆ!
มีความหวัง แต่ก็ผิดหวัง อารมณ์เจียงหลีหดหู่ลงเล็กน้อย ความหดหู่นี้หนีไม่พ้นสายตาลู่เจี้ย แน่นอนว่าสิ่งนี้ยิ่งทำให้ดวงตาเขามืดมนลง คนคนนี้เคยได้ยินแต่ชื่อ แต่มีอิทธิพลต่อหลีเอ๋อร์มากเหลือเกิน
“หลีเอ๋อร์ไม่อยากพูดอะไรกับข้าหน่อยหรือ” มือลู่เจี้ยเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล นํ้าเสียงแฝงด้วยความยั่วยวน
เจียงหลีทนกับมือเขาที่ยุกยิกกับแผ่นหลังตนไม่ได้ กำผ้าห่มปิดเรือนร่างของตนไว้แน่น หันไปมองใบหน้าเขาที่งดงามจนมิอาจหาใครเทียบได้
“อยากรู้หรือ งั้นมาแลกเปลี่ยนกัน!” เจียงหลียกคิ้วเผยแววตามีประกายความไม่ยอมแพ้
นางไม่หลงกล กลยุทธ์ความหล่อเหลาของชายหนุ่มหรอก!
หัวไหล่ที่เปลือยเปล่าทำให้ไหปลาร้าของร่างบางตกอยู่ใต้สายตาชายหนุ่ม ดวงตาดั่งลูกแก้วมืดหมองลงทันที สายตาเขาตรงไปตรงมาจนเจียงหลีเกิดอึดอัดขึ้นมา
“หลีเอ๋อร์อยากรู้อะไรหรือ” เมื่อเจียงหลีรู้สึกอึดอัดใจจนจะไล่ชายหนุ่มออกไปเสียก่อน เขาก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา เหมือนเขาจะรู้ตัวว่าตนตกอยู่ในสถานะที่ลำบาก ก่อนจะโดนไล่ออกไป ต้องทำลายความคิดนี้เลียก่อน
เป็นจริงอย่างที่คิดไว้ แววตาเจียงหลีสว่างขึ้นทันที “ท่านบอกข้าเกี่ยวกับความลับสายเลือดของตระกูลลู่ ข้าจะบอกท่านว่าชิงเกอคือใคร”
แววตาลู่เจี้ยยากจะคาดเดา ไม่นานพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ “ได้”
ใบหน้าเรียวเล็กของเจียงหลีเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ เหมือนลูกแมวเหมียวที่ได้รับความพึงพอใจ แฝงด้วยเสน่ห์ ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์บริสุทธิ์มีประกายเจิดจ้า
สายตาจดจ่อเมื่อพบสีหน้านางที่เปลี่ยนไปมา ในแววตาลึกของลู่เจี้ยยากที่จะพบเห็น ซ่อน ความรู้สึกที่พะเน้าพะนอ แต่ก็โดนเขาลบออกอย่างรวดเร็ว
“มีการกล่าวถึงแผนผังของบรรพบุรุษตระกูลลู่ ก่อนที่ตระกูลลู่จะเติบโต บังเอิญได้รับเลือดเซียนมาหยดหนึ่ง ดั่งแต่นั้นมา บรรพบุรุษตระกูลลู่ได้หลอมเข้าไปกับสายเลือดของตน ทำให้บุตรสายตรงของตระกูลลู่มีความสามารถพิเศษ”
“ความสามารถพิเศษ!” ดวงตาเจียงหลีเปล่งประกายดั่งดวงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
ลู่เจี้ยพยักหน้า “พลังนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือเมื่อต่อสู้กับศัตรูที่ไม่อาจสู้ได้ การปลุก สายเลือดจะทำให้เพิ่มพลังการต่อสู้ที่ข้ามระดับที่มีขอบเขตได้ในส่วนนี้ เจ้าน่าจะได้เห็นจากตัวเสี่ยวเสวียนแล้ว”
เจียงหลีพยักหน้า
ลู่เจี้ยพูดต่อ “ส่วนข้อเสีย หลังปลุกสายเลือดแล้วจะทำให้พลังฝึกฝนถดถอย”
!
เจียงหลีมองเขาตกตะลึงอ้าปากค้าง ผลที่ตามมากล่าวได้ว่าร้ายแรงมาก
“เสี่ยวเสวียนเดิมทีเป็นหลิงซื่อขั้นแปดเช่นเดียวกับเจ้า แต่ตอนนี้ เขามีพลังแค่หลิงซื่อขั้นหก” ลู่เจี้ยเห็นแววตกใจในสายตานาง
“ใช้เวลาเพิ่มพลังสั้นๆ แต่ตกลงตั้งสองขั้นเชียว” แบบนี้มันไม่คุ้มเลยจริงๆ เจียงหลีถอน หายใจ
“ยังดีที่ทักษะพรสวรรค์เสี่ยวเสวียนดีพอ แม้ถดถอยไปสองขั้น ใช้เวลาฝึกฝนจะกลับมาในไม่ช้า” นํ้าเสียงลู่เจี้ยยังคงนิ่งเฉย
“เลือดเซียนคืออะไรหรือ แล้วโลกนี้มีเซียนจริงหรือ” เจียงหลีถามอย่างสงสัย
ลู่เจี้ยกลับส่ายหัว “บนโลกนี้มีเซียนหรือไม่ ยังไม่มีใครรู้ แล้วเลือดเซียน เป็นเพียงชื่อเรียกเป็นที่จารึกไว้ในแผนผังบรรพบุรุษเท่านั้น มันคืออะไรยังไม่มีผู้ใดรู้”
เจียงหลีพยักหน้ารับ
“ข้าตอบข้อสงสัยหลีเอ๋อร์แล้ว หลีเอ๋อร์จะไขข้อสงสัยข้าเมื่อใด” ลู่เจี้ยย้อนถามแบบไม่ทันตั้งตัว
เอ่อ!
ดวงตาที่สดใสของเจียงหลีมองเขาอย่างเจ้าเล่ห์ “ชิงเกอ คือคนที่ทำให้ข้าไม่หวาดกลัวความตาย”
“ไม่หวาดกลัวความตาย” ลู่เจี้ยหรี่ตาลงเล็กน้อยในปากพูดทวนอย่างแผ่วเบา คนที่สามารถทำให้ผู้หญิงที่แสนเจ้าเล่ห์และเย่อหยิ่งไม่กลัวความตาย ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ทำให้ลู่เจี้ยมีความรู้สึกที่อยากกำจัดออกอย่างบอกไม่ถูก
“สิ่งที่ท่านอยากรู้ ข้าบอกท่านแล้ว ทีนี้เราสองคนไม่ติดค้างกันแล้ว!”
“เขาเป็นคนในโลกนั้นของเจ้าหรือ”
ทั้งสองคนเอ่ยปากพูดพร้อมกัน
เจียงหลีอึ้งแต่ก็พยักหน้ารับคำถามลู่เจี้ย ไม่ปฏิเสธ
หลังการคาดเดาในใจได้รับการยืนยัน ลู่เจี้ยเผยรอยยิ้มที่เจียงหลีไม่เข้าใจ ถ้าหากเป็นคนโลกใบนั้น ก็จะไม่ปรากฎตัวที่นี่ พอคิดเช่นนี้ ลู่เจี้ยก็รู้สึกว่าจิตใจตนสดใสขึ้นทันที
“วิชาลับที่หลีเอ๋อร์พิชิตศัตรู เหมือนจะมีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงเช่นกัน หลังจากนี้พยายามอย่าใช้จะดีที่สุด” หลังจบการสนทนาเรื่อง ‘ชิงเกอคือใคร’ ลู่เจี้ยก็นำกลับมาที่หัวข้อเดิม
“ข้าก็ไม่อยากใช้หรอก แต่ใครให้ข้าในตอนนี้อ่อนแอนัก” เจียงหลีกัดฟันคับแค้นใจ หากไม่ใช่ว่านางมีท่าไม้ตาย คงจะเอาชีวิตนี้ทิ้งไว้โที่หุบเขาโยวโยวแล้ว
ทันใดนั้นเจียงหลีถามขึ้นมา “พวกนักฆ่า…”
“เรื่องนี้ข้าจัดการเอง ดูเหมือนในระยะเวลาอันใกล้นี้พวกนั้นคงจะไม่ลงมือง่ายๆ แน่” ลู่เจี้ยตอบ
เจียงหลีพยักหน้ารับ ถ้ามีลู่เจี้ยจัดการเรื่องนี้แล้ว นางก็ไม่ต้องเสียเวลาอีก ตั้งสมาธิกับการฝึกฝนดีกว่า พูดถึงเรื่องการฝึกฝน ตอนนี้นางปวดร้าวไปทั้งภายในและภายนอก ส่วนตรงหน้านางที่นั่งอยู่ สำหรับนางแล้ว ก็เป็นยาบำรุงที่ดีที่สุดในโลก!
จู่ๆ เจียงหลีก็ยิ้มขึ้นมา…