ตอนที่ 130
มิตรสนิทแลกเปลี่ยนกัน?
แม้จะยังไม่เห็นหน้า ก็รู้แล้วว่าเสียงนั่นเป็นของผู้ใด
ดวงตาสดใสของเจียงหลี กวาดสายตาที่ปรากฏความเย็นชาเล็กน้อยมองเพียงผู้นำของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเดินเข้ามาจากระยะไกล บุคคลผู้นั่นคือหมาแก่อู๋เชียน
ขณะที่ข้างหลังของอู๋เชียนมีบุคคลสองคนสวมชุดคลุมฝึกฝนของสถานบันหลิงอู๋ นอกจากสามคนนี้แล้ว ก็มีอีกแปดคนที่ติดตามพวกเขาอยู่ด้านหลัง
ในบรรดาแปดคนนี้ ผู้นำคนสำคัญมีรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาเด็ดเดี่ยวและดุดัน มีลักษณะน่าเกรงขามยิ่งนัก โดยระดับของความเย็นเยือกนั้น มิได้แพ้ลู่จ้านเลย
เขามีแววตาที่สงบนิ่ง สายตาอันเด็ดเดี่ยว ราวกับเรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนมิได้อยู่ในสายตาของเขา
บุคคลทั้งเจ็ดที่อยู่ยืนอยู่ข้างหลังเขา พลังอำนาจห่างไกลจากเขามาก ถึงขั้นขณะที่มอง สำรวจไปที่สถาบันไป๋หยวนอย่างประหลาดใจ มุมตาของพวกเขาก็ยังเผยความหยิ่งผยองและความภาคภูมิใจออกมา
ดูแล้ว เหมือนมาหาเรื่องเสียมากกว่า แววตาของเจียงหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อยและคาดเดาในใจ
อู๋เชียนนำคนกลุ่มนี้ไปยังบริเวณที่ที่มีมวลชนมากที่สุด
และภายหลังที่พวกเขาปรากฏตัว ก็ได้สร้างความประหลาดใจให้แก่บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ของสถาบันไป๋หยวน
ศิษย์ปัจจุบันบางคนมองแขกที่มิได้รับเชิญกลุ่มนี้อย่างระมัดระวัง ขณะที่ศิษย์ใหม่แม้จะ ประหลาดใจ แต่ก็มิได้รู้สึกกังวลจนเกินไป
พออู๋เชียนพูดจบ อาจารย์จากสถาบันไป๋หยวนก็เดินออกมาทันที
“พวกท่านมาเยี่ยมเยียนถึงที่นี่ มีเหตุอันใดหรือ”
ประโยคนี้ มิได้พูดผิดแต่อย่างใด
แต่ทว่า สายตาของอู๋เชียนกวาดมองไปที่เขาอยู่หลายครั้งแล้วหัวเราะเยาะว่า “เจ้าไม่มี คุณสมบัติมากพอมาพูดคุยกับข้า”
“เจ้า!” ใบหน้าของอาจารย์แห่งสถาบันไป๋หยวนผู้นี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวคลํ้าด้วยความ โกรธแล้ว
ท่าทีของอีกฝ่ายไร้ความปรานีอย่างเห็นได้ชัด
พอได้ยินอาจารย์ของพวกเขาถูกเหยียดหยามเช่นนี้ เหล่าบรรดาลูกศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนต่างแสดงอาการโกรธเคืองออกมาให้เห็นและตะโกนเรียกผู้มาเยือนของสำนักหลิงอู๋…
“พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“คนของสำนักหลิงอู๋มาแสดงกิริยาจองหองถึงที่สถาบันไป๋หยวนเลยหรือ”
“คนของสำนักหลิงอู๋มารังแกกันถึงสถาบันไป๋หยวน คิดว่าที่นี่ไม่มีคนอยู่หรืออย่างไร”
“นี่มาหาเรื่องกันชัดๆ !”
“สั่งสอนคนจองหองกลุ่มนี้ให้หลาบจำ ให้พวกเขารูว่าสถาบันไป๋หยวนของพวกเรา แข็งแกร่งเพียงใด!”
“…”
อาจารย์ท่านอื่นๆ ของสถาบันไป๋หยวนรีบควบคุมอารมณ์เกรี้ยวโกรธของบรรดาลูกศิษย์ มิให้กลายเป็นเรื่องใหญ่และตกหลุมพรางของสำนักหลิงอู๋
พอฟังคำพูดของอู๋เชียนจบ ลู่เสวียนก็พับแขนเสื้อ เตรียมพร้อมที่จะก้าวออกไปข้างหน้า “นี้! คุณชายน้อยอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายเสียจริงๆ!”
จากนั้น เขาก็กล้าขยับตัว แต่กลับรู้สึกว่าด้านหลังคอเสื้อถูกใครบางคนคว้าเอาไว้ ทำให้ ร่างกายของเขาถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
“ใครเป็นคนลากข้าเช่นนี้!” ลู่เสวียนหันหลังแล้วมองไปที่ใบหน้าของเจียงหลีที่หมือนจะ ยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “หลียาโถ่วเองหรือ เจ้าดึงข้าไว้ทำไม ไม่เห็นหรือว่าคนของสำนักหลิงอู๋ กำลังหยามเกียรติพวกเราถึงที่นี่”
“หลายคนในสถาบันไป๋หยวนที่เก่งกาจกว่าเจ้ายังไม่ขยับตัวเลย ตอนนี้ยังไม่ถึงตาศิษย์ใหม่อย่างเจ้าที่จะออกหน้าเช่นนี้” เจียงหลียิ้มพร้อมกับมองไปที่เขา แต่คำเตือนในแววตาของนางนั้นเด่นชัดยิ่งนัก
นั้นหมายความว่าจะไม่ปล่อยให้ลู่เสวียนออกตัวคนแรก
นางจ้องมองลู่เสวียน หนังศีรษะของเขาชาไปชั่วขณะ จึงต้องยอมแพ้ว่า “ก็ได้ข้าไม่หุนหันพลันแล่นแล้ว”
“เป็นเด็กดีหน่อย อย่าสร้างปัญหาให้พี่ชายเจ้าเลย” เจียงหลีปล่อยมือพลางทำท่ากอดอก
มุมปากของลู่เสวียนโค้งงอแล้วกระซิบว่า “เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าอายุน้อยกว่าข้าตั้งหลายปี แต่เจ้ากลับทำตัวเหมือนเป็นผู้ใหญ่ของข้าอย่างนั้นแหละ”
……………………………..
อู๋เชียนกลับไม่เห็นความตื่นตระหนกของอาจารย์และลูกศิษย์แห่งสถาบันไป๋หยวนอยู่ใน สายตา เขายืนอยู่กับที่ มุมปากเผยรอยยิ้มเล็กน้อยตลอดเวลา
หนานอู๋เฮิ่นและคนอื่นๆ ยืนอยู่ไกลออกไป เวลานี้สายตาจับจ้องไปที่อู๋เชียนและคนอื่นๆ
เฟิงสิงอวิ๋นยิ้มเยาะกล่าว “ดูเหมือนว่าผู้มาคิดไม่ดี”
“ถ้าคิดดีคงไม่มา” วีรบุรุษอีกคนกล่าว
พูดถึงเพียงเท่านี้ พวกเขาต่างมองไปที่หนานอู๋เฮิ่น รอเขาตัดสินใจ
ณ สถาบันไป๋หยวน มีสามยอดปราชญ์และเจ็ดวีรบุรุษ โดยสามยอดปราชญ์จำศีลระยะยาว พักอาศัยอยู่แต่ในสถาบัน แทบมิได้ออกไปข้างนอกเลย อีกทั้งปกติจะไม่พบ บุคคลภายนอก
ดังนั้น ภาระหน้าที่บริหารสถาบันไป๋หยวนทั้งเรื่องภายในและภายนอก จึงตกอยู่ที่เจ็ดวีร บุรุษ
ตราบใดที่หนานอู๋เฮิ่นยังเป็นผู้นำของเจ็ดวีรบุรุษ เรื่องเล็กใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันไป๋ หยวน ล้วนต้องผ่านการตัดสินจากเขาทั้งสิ้น
“ไปดูกันเถิด” หนานอู๋เฮิ่นยิ้มเบาๆ แล้วเดินออกจากจุดที่แฝงตัว เฟิงสิงอวิ๋นและคนอื่นๆ เดินตามเขาออกไป หลังจากก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าว หนานอู๋เฮิ่นก็หยุดเดินและหันหลังกลับมามองพวกเขา “อู๋เซียนเพียงคนเดียว คู่ควรกับการที่พวกเราหลายคนเดินเข้าไปหาหรือ”
ทั้งสี่คนผงะพร้อมกับหัวเราะอย่างรู้ทัน
“จริงด้วย หากเป็นเช่นนี้ ลำบากพี่ใหญ่แล้ว พวกเราแฝงตัวอยู่ข้างๆ รอดูการแสดงก็พอ” เฟิงสิงอวิ๋นยิ้มกล่าว
อีกสามคนก็ยิ้มตามและพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็กำหมัดเคารพหนานอู๋เฮิ่น “ลำบากพี่ ใหญ่แล้ว”
“ฮ่าๆๆๆ!” หนานอู๋เฮิ่นโบกมือแล้วเดินไปหาอู๋เซียนอย่างสง่างาม
“ไม่มีแม้แต่คนที่ดูแลสถาบันไป๋หยวนเลยหรือ” รออยู่ชั่วครู่รอยยิ้มประชดประชันของอู๋ เชียนก็ปรากฏเด่นชัดขึ้น
“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้เป็นผู้เฒ่าอู๋เองหรอกหรือ!” เสียงของหนานอู๋เฮิ่นลอยมาแต่ไกล
ด้านนี้ของสถาบันไป๋หยวน เงียบสงัดลงครู่หนึ่ง ทุกคนต่างมองไปที่หนานอู๋เฮิ่นซึ่งกำลัง เดินมาอย่างผาดโผน จึงหลีกทางให้แก่เขา
ดวงตาของอู๋เซียนเป็นประกายและรอยยิ้มประชดประชันที่มุมปากก็ค่อยๆ จางลง เขายังคงรู้สึกเกรงกลัวหนานอู๋เฮิ่นอยู่มาก
“ข้าไม่คิดว่าท่านอาจารย์หนานจะอยู่ที่นี่ด้วย” เขากล่าวพร้อมหัวเราะเบาๆ
หนานอู๋เฮิ่นเพิกเฉยต่อการแสดงออกของเขา แล้วเดินไปหยุดตรงหน้าเขา โดยสายตากวาดไปรอบๆ บุคคลที่เขาพามาด้วยอย่างมิได้ใส่ใจ และสุดท้ายก็กวาดสายตาไปที่อู๋เชียน “ผู้เฒ่าอู๋มีวัตถุประสงค์อันใดหรือ”
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสถาบันของเจ้าและสำนักของข้าคัดเลือก ศิษย์ใหม่ ข้าทราบข่าวมาว่าปีนี้สถาบันไป๋หยวนได้เยาวชนมากความสามารถ ผู้ถูกเลือก ไร้พ่ายจำนวนไม่น้อย จึงตั้งใจพาศิษย์ใหม่ของสำนักหลิงอู๋มาแลกเปลี่ยนดู” อู่เซียนยิ้ม กล่าว เพียงแต่รอยยิ้มนั้น ทำให้รู้สึกถึงเจ้าเล่ห์เล็กน้อย
“แลกเปลี่ยนอย่างนั้นหรือ” หนานอู๋เฮิ่นทวนคำพูดของอู๋เชียน พร้อมกับมองไปที่ บรรดาลูกศิษย์ของสำนักหลิงอู๋ อีกครั้ง ครานี้สายตาของเขาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มผู้เคร่งขรึมซึ่งเป็นหัวหน้าของแปดคนนั้นอยู่ชั่วขณะ ดูเหมือนว่าหนึ่งในแปดคน มีคนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาสนใจ
“ใช่แล้ว พวกเขาทั้งแปดล้วนเป็นผู้ถูกเลือกหน้าใหม่ของสำนักหลิงอู๋ในปีนี้ สถาบันไป๋หยวนคงได้ผู้ถูกเลือกหน้าใหม่แล้วเช่นกัน ประจวบเหมาะพอดีเลย ลองให้ศิษย์ใหม่ของ ทั้งสองสำนักสถาบันได้ลองศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันดู” อู๋เชียนกล่าว
หนานลู่เฮิ่นยิ้มกล่าวว่า “ผู้เฒ่าอู๋รอไม่ไหวเช่นนี้เชียวหรือ”
อู๋เชียนกระดูกมุมปากยิ้ม “ให้โอกาสเด็กๆ ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ก็เป็นวิธีส่งเสริมความก้าวหน้าของพวกเขา ท่านอาจารย์หนานอย่าได้ปฏิเสธเลย”
หนานอู๋เฮิ่นมิได้พยักหน้าหรือส่ายหัว แต่กลับมองไปที่อู๋เชียนด้วยรอยยิ้ม
สายตาของเขามองเห็นทะลุปรุโปร่ง ทำให้อู๋เชียนรู้สึกกินปูนร้อนท้องอย่างบอกไม่ถูก และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็มิอาจข่มอารมณ์ไว้ได้…