Skip to content

ราชินีพลิกสวรรค์ 137

ตอนที่ 137

นายน้อยรูปงามท่านเปลี่ยนไป

ในชั่วขณะที่เจียงหลีกลอกตาไปมอง เสียงนั้นก็หายไปในทันใด

ด้านหลังของนาง ไร้ซึ่งผู้คน เงียบสงัดจนน่าประหลาด เสียงเล็กๆ เหล่านั้นเมื่อครู่ เหมือนว่าเป็นสิ่งลวงตาเท่านั้น

เป็นไปไม่ได้! เจียงหลีหรี่ตาเล็กน้อย ในช่องระหว่างตานั้นก็มีแสงส่องประกายขึ้นมา ทันใด

นางไม่มีทางรู้สึกไปเองได้ มีคนตามนางมาจริงๆ

แต่ทว่า ครึ่งวันมานี้ นางกลับไม่พบอะไรเลย อาณาเขตหลิงลู่กว้างใหญ่นัก เดินไปครึ่ง ค่อนวัน นางยังไม่เห็นวิญญาณยุทธ์ที่ดุร้ายเลยสักตัว อีกยังไม่เห็นคนอื่นๆ ด้วย แต่ว่า กลับมีคนแอบตามนางมาหรือ

เจียงหลีก้าวเท้าออกเดินไปทางที่เสียงดังขึ้น

ทันใดนั้นเอง มีภาพมายาของกระต่ายทองตัวหนึ่งมุดออกมาจากพงหญ้า มันกระโดดออกจากพงหญ้ามา กระโดดได้สูงกว่า และเร็วกว่ากระต่ายจริง ผ่านสายตาเจียงหลีไป เกิดเป็นแสงสีทองอร่ามขึ้น

“กระต่ายหรือ” เจียงหลีคาดไม่ถึง

หรือว่าเสียงเมื่อครู่นี้ เกิดจากวิญญาณยุทธ์ของกระต่ายหรือ เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ยืนอยู่กับที่ครุ่นคิดสักครู่ รอบข้างเงียบสงัด ไม่มีเสียงถูกคนสะกดรอยตามเหมือนเมื่อครู่ เมื่อไม่พบอะไร เจียงหลีก็หันกลับไป แล้วเดินหน้าต่อ เมื่อเงาของนางค่อยๆ หายไปในป่า เงามายาสองเงา จึงได้ปรากฏขึ้นตรงที่เจียงหลียืนอยู่ก่อนหน้านี้

สองคนนั้น รูปร่างสูงยาว นอกจากนี้ ทั้งสองต่างก็สวมชุดคลุมสีดำที่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ปกปิดใบหน้าของตนเอง

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในนั้นก็เปิดหมวกออก เผยใบหน้าของเขาออกมา

หากเจียงหลีเห็นใบหน้านี้แล้วจะต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเป็นแน่

“นายน้อยขอรับ นี่พวกเรา…” ลู่จ้านขมวดคิ้ว สีหน้าสงสัยมองไปทางชายหนุ่มข้างกาย

เขาคิดไม่ตกเกี่ยวกับความคิดของนายน้อย

เจียงหลีเข้าลู่อาณาเขตหลิงอู๋ตามหาวิญญาณยุทธ์ที่สอง เป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก แต่ทว่า นายน้อยของพวกเขากลบยอมใช้ทรัพยากรมากมายอย่างไม่เสียดาย ตั้งใจสั่งให้ผู้อาวุโสในตระกูลตัวเองมาสามท่าน เพื่อเปิดประตูทางเข้า ให้พวกเขาสองคนได้ตามเข้ามา เข้ามาไม่ว่า กลับยังไม่เผยหน้าตาอีก นี่หมายความว่าอย่างไรกัน

“วิญญาณยุทธ์เสวียนกังกุยหาไม่ง่ายนัก หลีเอ๋อร์คนเดียวเกรงว่าเวลาจะไม่พอ” เสียงของลู่เจี้ยลอยมาจากในเงาใต้หมวกคลุม

ใบหน้างดงามของเขา ถูกปิดบังไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงขณะที่เขาพูดอยู่ แสงเงาเปลี่ยนแปร จึงจะเห็นริมฝีปากแดงก่ำของเขา

“…” ลู่จ้านงงงวย

ก็ได้ ถึงแม้จะกังวลเรื่องนี้ แต่นายน้อยก็ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเองนี่! นอกจากนี้ บอกว่าจะไปหาเสวียนกังกูยมิใช่หรือ พอเข้ามา นายน้อยก็ใช้พลังแห่งความนึกคิดตามหาเบาะแสของเจียงหลี แอบติดตาม แต่กลับไม่ให้นางพบ เป็นเพราะอะไรกัน

“ลู่จ้าน” ทันใดนั้น ลู่เจี้ยก็เรียกชื่อเขาขึ้นมา

ลู่จ้านเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด “ขอรับ!”

“จำไว้ เรื่องที่พวกเราปรากฏตัวอยู่ที่นี่ อย่าให้ผู้ใดรู้โดยเด็ดขาดโดยเฉพาะนาง” ลู่เจี้ย กำชับเขาอย่างเชื่องช้า

“ขอรับ” ลู่จ้านพยักหน้า

ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจความคิดของลู่เจี้ย

ระยะนี้ เขารู้สึกว่า นายน้อยของตนนั้นเหมือนว่าจะเปลี่ยนไป นายน้อยในก่อนหน้านั้น ทำให้คนรู้สึกปวดใจ มักจะทนทุกข์อยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่เคยเผยความทุกข์ความสุขของตน

ออกมา

แต่ว่านายน้อยในวันนี้ ถึงแม้จะอยู่คนเดียวเช่นเดิม แต่ในบางครั้ง จะเผยรอยยิ้มออกมา โดยไม่ได้ตั้งใจ ความกระปรี้กระเปร่าในดวงตานั้นก็มีมากขึ้นด้วย ที่สำคัญคือ เขารู้สึกว่าความสนใจที่มีต่อเจียงหลีของนายน้อยของตน มีมากขึ้นเรื่อยๆ

“ไปกันเถอะ” ลู่เจี้ยก้าวเท้าออกเดินไป

“ตามต่อหรือขอรับ” ลู่จ้านเอ่ยถาม

ลู่เจี้ยกลับส่ายหน้า “อย่าลืมภารกิจสำคัญ”

เขาตามไปครึ่งวัน เพียงแค่อยากจะมองดูนาง ให้มากหน่อยเท่านั้น

ลู่จ้านพยักหน้า ในใจก็ปิติ ในที่สุดก็ไม่ต้องทำเรื่องแอบส่องแอบสะกดรอยเช่นนี้อีกแล้ว

“เสวียนกังกุยชอบความเงียบ ร้อยปีไม่ขยับกาย เขาถล่มดินทลายก็ไม่ขยับตัวสักก้าวเป็น เรื่องปกติ” ลูเจี้ยกล่าวอย่างเฉยชา

“นายน้อยขอรับ ครั้งก่อนตอนที่ข้าเข้ามาในอาณาเขตหลิงอู๋ เคยได้ยินว่ามีคนเคยเห็น เสวียนกังกุยในหล่มบึงแห่งหนึ่งของเป่ยยวน คนผู้นั้นเดิมทีอยากจะหลอมรวมมัน สุดท้ายโดนเสวียนกังกุยตะปบตาย ร่างจริงก็กลายเป็นคนพิการไป เพียงแต่ผ่านไป หลายปีแล้ว ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือไม่” ลู่จ้านนึกย้อนกลับไปแล้วกล่าวต่อลู่เจี้ย

ลู่เจี้ยสายตาเป็นประกาย “ดี พวกเราไปดูที่บึงแห่งนั้นกัน”

“ขอรับ” ลู่จ้านพยักหน้า

……………………….

เดินทางไปอีกครึ่งวัน เจียงหลีไม่มีความรู้สึกที่ถูกเดินตามอีก เพียงแต่เสวียนกังกุยที่นางตามหาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเช่นกัน ยังดีที่นางไม่รีบร้อน อย่างไรก็ยังมีเวลาอีกสิบเก้าวัน สิบเก้าวัน!

เจียงหลีหยุดลงกระทันหัน คิ้วขมวดขดกัน ในวันที่สิบเก้าในอาณาเขตหลิงอู๋ เป็นเวลาที่ อาการข้างเคียงของนางกำเริบพอดี ไม่มีลู่เจี้ยอยู่ข้างกาย นางทำได้เพียงต่อต้านความ เจ็บปวดด้วยตนเอง

เรื่องนั้นไม่น่ากลัวเท่าไร แต่หากพบอันตรายในเวลานั้นล่ะ นางไม่มีแม้แต่พลังจะปกป้อง ตนเอง!

“หากไม่ไหวจริงๆ ก็คงต้องเข้าไปหลบในเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ เพียงแต่ไม่รู้ว่า ในอาณาเขตหลิงอู๋นี้ จะเข้าไปในเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อได้หรือไม่” เจียงหลีพึมพำ แล้วก็กระวนกระวายขึ้นมา

อาการข้างเคียงบ้าเอ้ย!

อีกอย่าง วิญญาณประหลาดบ้านั่นเป็นไอ้งั่งตัวไหนกันแน่

ทั้งที่ถูกนางกลืนกินไปแล้วแท้ๆ กลับยังเหลือสิ่งของเอาไว้ หลอกล่อนาง ทรมานนาง!

เจียงหลีมักจะมีความรู้สึกว่า เมื่อนางเข้าสู่ขั้นหลิงเจี้ยงแล้ว จะต้องเปิดโปงความลับ อย่างแรกที่วิญญาณประหลาดนั่นทิ้งไว้ได้เป็นแน่

หลิงเจี้ยง! ข้าจะเป็นหลิงเจี้ยงให้ได้! เจียงหลีสูดหายใจเข้า สองมือกำหมัดไว้แน่น

โฮก!

ทันใดนั่น เสียงคำรามของวิญญาณยุทธ์ก็ขัดจังหวะความคิดของเจียงหลี

สายตานางชะงักไป แล้ววิ่งไปทางที่เสียงคำรามนั่นดังขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อนางเข้าใกล้ หมอบลงซ่อนตัวอยู่บนภูดอย แอบสังเกตสงครามที่กำลังบังเกิดขึ้น ข้างล่างนั่น วิญญาณยุทธ์ที่ถูกล้อมโจมตีนั่น เป็นวิญญาณยุทธ์ที่รูปร่างคล้ายเสือ แต่กลับมีเก้าหาง มีหัวเหมือนแพะ

คู่ต่อสู้ของมันนั้นคือคนกลุ่มหนึ่ง จากเครื่องแต่งกายบนตัวพวกเขาสามารถระบุได้ว่า พวกเขามาจากพลังอำนาจเดียวกัน

เจียงหลีประหลาดใจเล็กน้อย

พวกเขาคนของสถาบันไป๋หยวนถูกส่งเข้ามา แต่ละคนก็กระจายกันไป ถูกสุ่มส่งเข้ามากัน ทำไมคนกลุ่มนี้ถึงได้รวมตัวกันได้

นอกจากนี้ นางหาความทรงจำในเจ้าของร่างเดิมนั่นแล้ว ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าคนกลุ่มนี้ เป็นผู้ใด

ภายใต้การล้อมโจมตีนั่น ไม่นานวิญญาณยุทธ์ตนนั่นก็สู้ไม่ไหว ถูกพวกเขาใช้ลูกเก็บ วิญญาณ ลูกทรงกลมที่เอาไว้กักเก็บวิญญาณยุทธ์เหมือนที่ตอนนั่นลู่เจี้ยเอาออกมา เก็บ วิญญาณยุทธ์นั่นเข้าไป

“จับได้อีกตัวแล้ว! ครั้งนี้พวกเราชนะแน่” ชายหนุ่มอายุน้อยที่ถือลูกเก็บวิญญาณเอาไว้นั่น สีหน้ามีความดีใจที่เก็บอาการไว้ไม่อยู่

แข่งขันหรือ ได้ยินประโยคนี้ของเขาแล้ว เจียงหลีก็พิจารณาอยู่ในใจ ยังมีพลังอำนาจที่ใช้การล่าวิญญาณยุทธ์เพื่อการแข่งขันด้วยหรือ เจียงหลีรู้สึกว่าตนเองได้เพิ่มพูนความรู้

“ใครน่ะ ใครอยู่ตรงนั้น ออกมา!” ทันใดนั้น เสียงตะคอกดังสนั่นขึ้น

ในขณะเดียวกัน ก็มีพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์จู่โจมเข้ามายังที่ที่เจียงหลีซ่อนตัวอยู่อย่างจัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!