ตอนที่ 173
ความสงบนิ่งของท่านอ๋อง
เห็นแต่ทหารจำนวนมากมายถือโล่เดินออกมาจากประตูเมือง
ขณะนั้นเองได้เสียงกีบเหล็กจากที่ไกลเดินอย่างเป็นระเบียบเป็นจำนวนที่ยากจะคาดเดา เห็นพายุทรายลูกคลื่นเชื่อมติดกับขอบฟ้า
แยกไม่ออกว่าเป็นเพราะเสียงฝีเท้าของกองทัพทหารที่อยู่ในกำแพงหรือเป็นเพราะ
กองทัพทหารม้าของศัตรูกันแน่ที่ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
เมื่อควันสลายไป คลื่นพายุทรายสงบลง เห็นทหารม้าชุดเกราะสีดำที่ทอดยาวไปถึงขอบ ฟ้าปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน
ทหารม้าที่ดูทะมึนไม่มีที่สิ้นสุดเสมือนทหารมารที่หลั่งไหลออกมาจากนรกดั่งก้อนเมฆดำ ที่ขยับเข้าใกล้แนวหน้าเป่ยฝางของโฮ่วจิ้น
ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือทำให้เหล่าเทียนเจียวที่อยู่นอกสนามทนไม่ไหวจนถอยหลังไปก้าว เกิดความคิดจะถดถอย
พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าสนามรบจะน่ากลัวเช่นนี้
พลังอานุภาพของทหารหนึ่งกองทัพเพียงพอที่จะทำลายความเย่อหยิ่งของพวกเขา จนถึงตอนนี้พวกเขาถึงจะเข้าใจว่าพรสวรรค์ทางทหารที่ตนภูมิใจนักภูมิใจหนา เมื่อเทียบกับกองทัพทหารแล้วมันช่างไม่มีค่าอะไรให้กล่าวถึงเลย
นอกเสียจากว่าวันหนึ่งพวกเขากลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถใช้กระบวนหนึ่งท่าทำลาย เมืองได้ เมื่ออยู่ต่อหน้ากองทัพทหารถึงจะไม่มีความกลัว
หึบ หะ หึบ หะ
เสียงร้องสั่นสะเทือนฟ้าดังมาจากใต้กำแพง ดึงดูดให้เหล่าเทียนเจียวทั้งหลายก้มหัวมอง ตามเสียง
ขณะนี้ที่นอกกำแพงเมืองทหารเป่ยฝางตั้งขบวนรบเสร็จ รอการมาถึงของทหารของต้า ฉิน ส่วนทหารรบสองฝ่ายที่เข่นฆ่ากันอยู่ เพราะสงครามได้ขยายตัว จึงแยกยายกลับค่าย ของตน กลายเป็นหน่วยรบแนวหน้า
เล็กน้อย! ช่างเล็กน้อยเหลือเกิน!
แววตาเจียงหลีเปี่ยมไปด้วยความอึ้งทึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ เป็นครั้งแรกที่นางได้เจอสงครามใหญ่เช่นนี้ กองทัพ ทหารสองแคว้นรวมกันมีถึงล้านกว่าคน
หน่วยทหารต่างจัดแบ่งตามหน้าที่และประเภทอาวุธ ร่วมมือกันอย่างดีเพื่อชัยชนะอัน สูงส่ง
พวกเขายืนอยู่บนกำแพงเมืองเฝ้าดูการประจันหน้าของกองทัพทั้งสองด้านหลังทหารม้าต้าฉินตามม้าด้วยพายุทรายคลื่นฝุ่นทำให้ลดระยะห่างของทั้งสองกองทัพอย่าง รวดเร็ว
ศึกใหญ่ ดูท่าจะเริ่มต้นแล้ว
“ต้าฉินเชี่ยวชาญด้านขี่ม้า ส่วนโฮ่วจิ้นเชี่ยวชาญด้านตั้งขบวน การปะทะกันของทั้งสอง ฝ่ายหากต้าฉินใช้ความเร็วบุกโจมตีขบวนที่ตั้งไว้ จะทำให้ทหารฝั่งเราพ่ายแพ้ หากว่า ทหารฝั่งเราสามารถใช้ขบวนถ่วงทหารม้าต้าฉินได้ เมื่อนั้นชัยชนะก็จะมาอยู่ฝั่งเรา” ลู่ เสวียนที่ไม่รู้ขยับเข้าใกล้เจียงหลีตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่ได้สังเกตเห็นจิ่งเยี่ยที่ยืนข้างๆ เจียงหลี เพียงแต่จ้องมองสนามรบอย่างใจจดใจจ่อพลันพูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
เจียงหลีและจิ่งเยี่ยหันสายตามองเขาพร้อมกัน เห็นภายใต้แววตาลึกนั้นมีความกังวล ซ่อนอยู่
ทหารม้าต้าฉินมาอย่างท่าทางที่ดุดันเหิมเกริม พลังเช่นนี้แม้แต่ลู่เสวียนยังห่วงเลยว่า ทหารชายแดนภาคเหนือจะสามารถต้านทานได้หรือไม่
เจียงหลีหันสายตามองกลับไปที่สนามรบ
อันที่จริงพลังของทหารม้าต้าฉินดูจะดุดันว่ากองทัพทหารโฮ่วจิ้น
เจียงหลีก็หันสายตามองไปลู่ซิ่งเฉาที่อยู่บนแท่นสั่งการ แม้ว่าจะมองไม่เห็นสีหน้า อารมณ์ แต่ว่ายังคงสัมผัสถึงความสงบที่ถ่ายทอดออกมาจากตัวเขา
สงบ!
แผงอกกลายเป็นดั่งต้นไผ่
ความสงบของเขาดูเหมือนทำให้กองทัพสงบลงด้วยแม้จะเผชิญหน้ากับทหารม้าต้าฉินที่ ดุดันเหิมเกริม พวกเขาก็ไม่ได้แสดงความตื่นตระหนกตกใจออกมา
ความนิ่งสงบเช่นนี้ ต้องผ่านการฝึกฝนที่อันตรายถึงชีวิตมาเท่าไหร่กันถึงจะทำได้ เจียง หลีถอนหายใจ
การสู้แบบตัวต่อตัว ต่างจากการเข่นฆ่าในสนามรบอย่างสิ้นเชิง
อย่างน้อยนางก็มั่นใจหากเหล่าเทียนเจียวทั้งหลายลงสนามรบจริง คงจะยังไม่ทันจะเบิก เนตรญาณ ก็จะถูกกองทัพทั้งสองฝ่ายขยี้เป็นผุยผง
ในที่สุดกองทัพที่นับไม่ถ้วนก็มาถึงใจกลางสนามรบ
กองกำลังทหารม้าต้าฉินที่เดินนำหน้าบุกรุกถึงกลางขบวนทหารโฮ่วจิ้น ขบวนทหารที่อยู่นิ่งก็ขยับเคลื่อนตัวทันที ขบวนทหารเงียบกริบแถวยาวเหมือนงูรัดพันตัวทหารม้าไว้แน่ย แล้วหั่นเป็นท่อนๆ
“ฆ่ามัน!!!”
หอกโล่ปะทะชนกัน หยุดการเดินหน้าของทหารม้า หอกทะลุออกจากช่องว่างโล่ แทง เข้าท้องม้าเต็มๆ
เมื่อดึงหอกออกมาบนอาวุธมีลำไส้อวัยวะติดมาด้วย
เสียงม้าส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดท่ามกลางสนามรบ
แน่นอนว่าผู้ที่เข้าเกณฑ์ทหารส่วนใหญ่เป็นหลิงซื่อ
เมื่อตกจากหลังม้าลงมาถึงพื้นดิน ทหารม้าต้าฉินที่ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วได้ ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนเตรียมจะสู้ตายกับโฮ่วจิ้น กองทัพทหารเป่ยฝาง ได้มีการปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ออกมาเพื่อต่อสู้ร่วมกัน
ทันใดนั้น สนามรบที่สองฝ่ายเข่นฆ่ากัน เปล่งแสงประกายทองเจิดจ้า วิญญาณยุทธ์ทุก รูปแบบปรากฏกลางอากาศ
เสียงคำราม เสียงกลองรบ ม้าศึกควบทะยาน เลือดร้อนพุ่งสาด…
พื้นแผ่นดินที่เป็นทะเลทรายหนาวเหน็บผู้คนจากต่างเมืองเปิดศึกปะทะกันที่รุนแรงทั้งไร้อารยะธรรมและป่าเถื่อน ทำให้เหล่าเทียนเจียวที่ยืนมองบนกำแพง ค่อยๆ ลืมความ ศึกคักเจริญรุ่งเรืองของซั่งตู สัมผัสถึงความโหดร้ายของสงครามอย่างจริงจัง
“แม้พวกข้าอาจจะเกิดมาตํ่าต้อยหรือมีพรสวรรค์ปานกลาง แต่พวกข้าก็มาชายแดนที่ แสนจะหนาวเหน็บทรหดเพื่อปกป้องบ้านเมือง รักษาแผ่นดินปกป้องประชาชน พวกเจ้า ล่ะ เกิดมาสูงส่งกว่าพวกข้า มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งกว่า แล้วทำอะไรไปบ้างเล่า” ทหารนายหนึ่งที่ยืนข้างกายเหล่าเทียนเจียวพูดกล่าวด้วยนํ้าเสียงเหยียดหยาม
ไม่รอเหล่าเทียนเจียวตอบโต้เขาก็ถือดาบกระโดดลงอย่างไม่ลังเลเพื่อเข้าร่วมการต่อสู้ อาจเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นี้ ทำให้เหล่าเทียนเจียวจดจำเขาได้
รวมถึงเจียงหลีด้วย สายตาเหล่าเทียนเจียวต่างจ้องมองการเคลื่อนตัวของพวกเขา เห็นเขาพุ่งเข้าไปในสนามรบ เข่นฆ่าศัตรูคุกคามอย่างสุดชีวิตและเห็นเขาตกอยู่ในวง
ล้อมรอบของศัตรู ท้องและเอวถูกดาบเหล็กแทงทะลุมีเลือดพุ่งกระฉูด
!
ฉากร่างกายหยุดนิ่งของเขาทำให้ดวงตาบรรดาเทียนเจียวต่างตกตะลึง
มีทั้งตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อ และความหวาดกลัว
เมื่อครู่คนที่ยังเหยียดหยามพวกเขาอยู่ เพียงไม่กี่นาที ต่อหน้าพวกเขา…ตายไปแล้ว อย่างงั้นหรือ
ไม่สิ! เขายังไม่ตาย!
ในขณะที่สายตาเหล่าเทียนเจียวตกอยู่บนตัวเขา เขากลับเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง เลือดกระอักออกจากปาก
“ฆ่ามัน!”
เขาส่งเสียงคำรามครั้งสุดท้ายออกมาจากกระบังลม หมุนตัวอย่างแรงดาบเหล็กแหลมคม ของศัตรูตัดเอวจนขาด เขากลับแกว่งดาบในมือ ก่อนจะสิ้นชีวิตยังคงตัดหัวศัตรูได้นาย หนึ่ง ร่างศพที่ขาดเป็นสองท่อนล้มลงกับพื้น ดวงตาที่เบิกกว้างทำให้เหล่าเทียนเจียวตก ตะลึง
อ๊ากก! เสียงคำรามที่ความฮึกเหิมดังมาจากลำคอลู่เสวียน
เขานํ้าตาคลอเบ้า
เสียงตะโกนของลู่เสวียนทำให้ทุกคนสะดุ้ง เมื่อทุกคนหันกลับมามองกลับเห็นเขาแย่ง ดาบเหล็กจากทหารนายหนึ่งก้าวกระโดดลงจากกำแพงเมือง
“ลู่เสวียน!” เจียงหลีตกใจรีบยื่นมือจะจับตัวกลับมา
น่าเสียดายที่นางคว้าไม่ทัน ในมือมีเพียงชิ้นเสื้อผ้าของลู่เสวียน
ฝั่งที่เกิดเสียงดัง ทำให้ลู่ซิ่งเฉาเหลือบตามอง
เมื่อเขาเห็นร่างที่กระโดดลงกำแพงเมืองอย่างชัดเจน ดวงตาที่นิ่งไม่เปลี่ยนของเขาใน ที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย…