Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 9

บทที่ 9

ถือเป็นการพลิกฟ้าเลยก็ว่าได้…

ครั้งนี้เธอคาดการณ์ได้แม่นยำยิ่งนัก ยามที่ออกมานอกถํ้าอีกครั้ง สายฝนที่เทกระหนํ่าอยู่ภายนอกได้กลายเป็นเพียงฝนที่ตกปรอยๆ แล้ว อากาศบริสุทธิ์สดชื่นชวนให้ดื่มดํ่า นำพาเอากลิ่นของต้นไม้ใบหญ้ามาด้วย เธอสูดอากาศสดชื่นเข้าไปจนเต็มปอด จากนั้นก็หันหลังวิ่งลงไปยังเชิงเขา

เพื่อฝึกให้วิญญาณของเธอเข้ากันได้ดีกับร่างนี้มากยิ่งขึ้น เธอจึงอยู่บนเขาฝึกฝนการใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาอีกหลายๆ ครั้ง ยิ่งใช้ก็ยิ่งชำนาญ ยิ่งใช้ก็ยิ่งมี ประสิทธิ์ภาพ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ …

เมื่อกู้ซีจิ่วจากไปแล้ว ภายในถํ้าก็กลับมาเงียบสงบอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง

ในถํ้านั้นแสงสีฟ้าจางๆ ที่ส่องอยู่เหนือรูปปั้นหยกเคลื่อนที่เล็กน้อย อุณหภูมิภายในถํ้าไม่รู้ว่าลดต่ำลงไปถึงเพียงใด แต่ยิ่งนานก็ยิ่งลดตํ่าลงเรื่อยๆ อากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ …

ประมาณครึ่งชั่วยาม[1 ]ต่อมา รูปสลักหยกที่นั่งตัวตรงอยู่ ณ ที่นั้นมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ไอออกมาคราหนึ่ง แสงสีฟ้าจางๆ ภายในถํ้าก็พลันสว่างวาบขึ้น ละอองแสงสีฟ้าที่ดูราวกับหิ่งห้อยค่อยๆ ลอยมารวมตัวกันที่รูปสลักหยกและลอยวนไปรอบๆ รูปสลักหยก เพียงชั่วพริบตาก็ก่อตัวเป็นปราการแสงสีฟ้าหลังหนึ่ง ปกคลุมทุกส่วนของรูปสลักหยกไว้…

ผ่านไปสักพัก แสงเรืองๆ ที่รายล้อมอยู่ก็กระจายตัวออก รูปสลักหยกที่อยู่ ณ ใจกลางแสงสว่างนั้นพลันลุกขึ้น… ไม่สิ เดิมทีแล้วนั่นไม่ใช่รูปสลักหยก! แต่เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจริงๆ คนหนึ่ง! เป็นชายรูปร่างงามสง่าคนหนึ่ง

เขายืนหลับตาอยู่ตรงนั้น ผมสีขาวของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกย้อมด้วยนํ้าหมึก เส้นผมของเขายาวสยายลงมาถึงข้อเท้า ปสิวไสวเล็กน้อย

เขาประสานมือทำมุทรา[2]ที่กลางอก แสงเรืองๆ ที่กระจายอยู่รอบๆ ในที่สุดก็กลับสู่ผนังถํ้า เขาลืมตาขึ้นมา…

ขนตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำ นัยน์ตาคู่นั้นดำราวนํ้าหมึก สุกสว่างดุจดวงดารา คล้ายมีแสงระยิบระยับมากมายลอยอยู่

เขาเพิ่งจะลืมตาขึ้น ก็ใช้สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณถํ้าอย่างรวดเร็ว ในดวงตามีประกายเย็นชาวาบผ่าน ในถํ้านี้ไม่มีกลิ่นอายของผู้อื่นแล้ว มีเพียงตัวเขา

แสดงว่าผู้ที่ถือวิสาสะมาลูบคลำร่างกายเขาตอนฝึกวิชากายาหยกอยู่หนีไปแล้ว!

ผู้คนบนโลกนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาในระยะหนึ่งจั้ง[3] นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนไร้ยางอายกล้ามาแตะต้องตัวเขา! ทั้งยังเอาเสื้อคลุมของเขาไปอีกด้วย นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ ถือเป็นการพลิกฟ้า[4]เลยก็ว่าได้…

ในยามที่เขาฝึกวิชากายาหยก ร่างกายจะผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ปิดกั้นประสาทการรับรู้แทบทั้งหมด เหลือการสัมผัสไว้เพียงอย่างเดียวเพื่อใช้ตรวจจับภัยอันตรายจากภายนอก

อันที่จริงเขารับรู้ได้ตั้งแต่ยามที่คนผู้นั้นเข้ามาแล้ว แต่เพราะอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึกฝน ยุติกลางคันไม่ได้ อีกทั้งรับรู้ได้ว่าผู้ที่เข้ามาไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา ดังนั้น เขาจึงไม่ได้บังคับตัวเองให้ตื่นขึ้นมา เพียงแต่เร่งการฝึกให้เร็วขึ้นเท่านั้น…

แต่ไม่คาดคิดเลยว่าคนผู้นั้นนอกจากจะถอดเสื้อคลุมของเขาออกไปแล้ว ยังจะมาลูบคลำร่างกายเขาอีก!

เขาปิดกั้นการมองเห็น การดมกลิ่น การได้ยิน การรับรสชาติ เหลือไว้เพียงการสัมผัสเท่านั้น ดังนั้นจึงรับรู้ได้แค่ว่ามีมือเล็กๆ ข้างหนึ่งมาลูบๆ คลำๆ อยู่บนร่างกายของเขา…

ตลอดชีวิตนี้เขาไม่เคยถูกใครสัมผัสเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกนี้เกินบรรยายจริงๆ ในยามนั้นเป็นช่วงสำคัญของการฝึกที่ชะงักกลางคันไม่ได้ ยิ่งไม่ควรมีคนมารบกวน ทว่าการลูบคลำอย่างหยอกล้อของคนผู้นั้นเกือบทำให้เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก แทบจะกลายเป็นรูปสลักหยกไปจริงๆ เสียแล้ว!

ขณะนี้ภายในถํ้าเย็นยะเยียบ และคนผู้นั้นที่กล้ามาล่วงเกินเขาก็หายตัวไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!