Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 30

บทที่ 30

เที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจหายห่วง

สองวัน ใช้เวลาเพียงแค่สองวัน กู้ซีจิ่วก็กำราบสาวใช้เหล่านี้ได้อยู่หมัด ทำให้พวกนางยอมรับใช้ตนเองอย่างเต็มใจ

แน่นอนว่า ช่วงเวลาสั้นๆ แค่นี้ เธอยังไม่สามารถไว้ใจพวกนางได้ แต่อย่างไรเสียก็รับประกันได้ว่าคนเหล่านี้จะไม่แอบขายเธออีก ดังนั้นไม่ว่าเธอจะสั่งให้พวกนางทำอะไร พวกนางล้วนต้องปฏิบัติตามคำสั่งทุกอย่าง

อย่างเช่น ในห้องนอนของเธอ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ ใครหน้าไหนก็ห้ามเข้าไปในห้อง

คนเหล่านี้จึงไม่กล้าล่วงลํ้าเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว ได้แต่รั้งอยู่ในเรือนและในห้องโถงรอฟังคำสั่ง

เรื่องที่กู้ซีจิ่วใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาเพื่อออกไปข้างนอกในยามราตรี คนเหล่านี้จึงไม่เคยทราบเลย แน่นอนว่า พฤติกรรมของเธอในสองวันมานี้คนเหล่านั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก

เมื่อออกมาจากจวนพระอนุชาของจักรพรรดิแล้ว กู้ซีจิ่วก็เดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนซื้อของหลายอย่างที่เธอต้องการ ถึงได้กลับมาช้า

ยามที่เธออกไปข้างนอกจะเปลี่ยนมาสวมชุดบุรุษ แล้วก็แปลงโฉมซะ จึงไม่มีใครดูออก เธอเลยเดินเที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจหายห่วง

ทว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ไม่สบายใจคือของที่เธอต้องการมีตั้งมากมายหลายอย่าง แต่เงินกลับมีอยู่เพียงน้อยนิด ทำให้เธอต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังอยู่บ้าง เห็นทีเธอต้อง คิดวิธีหาเงินซะแล้ว…

เพราะร่างนี้ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน ทำให้อ่อนแอราวกับแม่นางหลิน[1]ก็มิปาน ตั้งแต่เปียกฝนที่ภูเขาหนิงอู่คราวนั้นกลับมาก็หวิดจะป่วยหนัก เคราะห์ดีที่ชาติก่อนเธอพอจะชำนาญการแพทย์อยู่บ้าง เมื่อรู้สึกผิดปกตินิดหน่อย ก็รีบนวดฟื้นฟูสุขภาพตัวเองทันที ทั้งยังหยิบฉวยเอายาหลายขนานมาจากร้านยาได้แบบสบายๆ เช่นนี้ไข้หวัดก็ไม่มากลํ้ากรายแล้ว

ถึงแม้ยามนี้จะไม่เป็นไรแล้ว ทว่ามือเท้าก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง วิชาตัวเบาใดๆ ก็ใช้ได้ไม่คล่องแคล่ว

หากคิดจะบำรุงร่างนี้ให้กลับมาดีดังเดิมต้องใช้สมุนไพรลํ้าค่าหลายชนิด สมุนไพรเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ของที่พบเจอได้โดยบังเอิญ บางครั้งก็ถูกนำมาประมูลในโรงประมูล แถมแต่ละชนิดก็ราคาไม่ใช่น้อย เธอแอบสอบถามมาแล้ว ของที่เธอต้องการนั้นต่อให้ถูกที่สุดก็ยังมีราคาถึงหมื่นตำลึง หากต้องการรวบรวมให้ครบทั้งหกชนิด อย่างน้อยต้องมีถึง 150,000 ตำลึง อาศัยเบี้ยหวัดรายเดือนเพียง 30 ตำลึงของเธอในยามนี้แล้วยังห่างไกลกันยิ่งนัก…

150,000 ตำลึง เทียบได้กับรายรับของจวนแม่ทัพห้าปี ต่อให้บิดาราคาถูกของเธอใจกว้างแค่ไหนก็คงไม่นำเงินมากขนาดนี้มาใช้บำรุงสวะไร้ค่าแบบเธอดังนั้นหากเธออยากหาเงินคงต้องพึ่งตัวเองแล้ว

เธอมาที่นี่ด้วยตัวเปล่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเพื่อนเลยสักคน ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ก็มีเท่าหางอึ่ง มีเรื่องมากมายที่ยังไม่เข้าใจ จึงไม่สามารถหาหนทางทำเงินได้ในขณะนี้

อย่างไรเสียที่นี่ก็คือเมืองหลวง ถึงแม้ยามนี้จะดึกแล้วแต่บนถนนใหญ่ก็ยังมีผู้คนสัญจรไปมาไม่ขาดสาย บ้างก็ซื้อ บ้างก็ขาย ดูคึกคักยิ่งนัก

กู้ซีจิ่วเองก็ไหลไปตามกระแสฝูงชนที่เดินกันอย่างสะเปะสะปะ ทำให้เดินมาถึงหน้าโรงประมูลแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

โรงประมูลแห่งนี้คือโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เป็นเรือนแบบสามชั้น[2] มีหอสูงตระหง่าน บนซุ้มประตู ทั้งสามบานฝังตัวอักษรขนาดใหญ่ที่ทำจากทองคำเอา ไว้สามตัว ‘หอเลิศทรัพย์’ กระทบกับแสงโคมหน้าประตู จนส่องแสงวูบวาบ ยามนี้ ด้านในหอเลิศทรัพย์สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ เห็นได้ชัดว่ากำลังมีการประมูลกันอยู่ กู้ซีจิ่วเลยอยากเข้าไปชมเสียหน่อย เพื่อดูว่าจะหาโอกาสทำการค้าบางอย่างได้หรือไม่ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะถูกยามเฝ้าประตูที่แต่งกายดูดีขวางเอาไว้ในขณะที่เธอกำลังจะก้าวเข้าไปด้านใน

วันนี้กู้ซีจิ่วออกมาโดยสวมเพียงเสื้อคลุมปอนๆ ตัวหนึ่ง วิชาแปลงโฉมของเธอนั้นยอดเยี่ยม เพื่อปกปิดรอยปานที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ เธอจึงทาใบหน้าให้กลายเป็นสีดำขะมุกขะมอม เมื่อร่วมกับรูปร่างเล็กๆ แล้วก็ดูคล้ายเด็กหนุ่มบ้านนอกอายุราวสิบสองสิบสามปีคนหนึ่ง

เด็กหนุ่มทั้งสี่คนที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูหอเลิศทรัพย์ หากต้องเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแต่งองค์ทรงเครื่องหรือว่าลักษณะท่าทางก็ล้วนเหนือชั้นกว่ากู้ซีจิ่วนัก!

…………………………

[1]แม่นางหลิน ในที่นี้หมายถึงหลินไต้อวี้ ตัวเอกจาก เรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ โดยในเรื่องหลินไต้อวี้นั้น อ่อนแอขี้โรคเป็นอย่างยิ่ง

[2]เรือนแบบสามชั้น เป็นรูปแบบของบ้านเรือนของจีนในสมัยโบราณ โดยจะสร้างเรือนล้อมกันไว้สามชั้น แต่ละชั้นจะมีประตูหนึ่งบานเพื่อแยกสัดส่วนของบ้าน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!