บทที่ 80
เขาไม่ทราบแม้กระทั่งชื่อของอีกฝ่าย!
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวสะบัดปลายนิ้ว เปลวไฟสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเผาไหม้แผ่นกระดาษ เพียงชั่วพริบตา แม้แต่เจ้าหนอนที่อยู่บนเข็มก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปด้วย
“นี่…นี่เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ใช่แล้ว พระองค์ลองโคจรพลังดูเถิด”
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวไม่คำนึงถึงฝุ่นผงที่มีทั่วทุกมุมในห้องหนังสือ นั่งลงบนพื้นแล้วเริ่มโคจรพลัง ผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชา[2] เขาก็ลืมตาแล้วผุดลุกขึ้นมา แล้ว ขอบคุณอีกฝ่ายอย่างซาบซึ้ง “ขอขอบคุณคุณชายเริ่นยิ่งนักสำหรับความช่วยเหลือ เปิ่นกงหายดีแล้ว!”
เขาหายดีแล้ว! ในที่สุดเขาก็หายแล้ว! ความยุ่งยากที่กวนใจเขามาตลอดสองปี ทำให้เขาแทบจะหมดหวังในการรักษา ตอนนี้หายดีแล้ว!
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวที่สุขุมมาโดยตลอด ยามนี้กลับรู้สึกตื่นเต้นดีใจเสียจนอกแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
“คุณชายเริ่นเจ้ารักษาเปิ่นกงให้หายดีได้ เปิ่นกงจะตกรางวัลให้แก่เจ้าอีก เจ้า…” ดวงตาที่เปล่งประกายขององค์รัชทายาทหรงเจียหลัวมองที่จุดที่คนผู้นั้นเพิ่งจะยืนอยู่เมื่อครู่ พูดไปได้ครึ่งเดียวก็พลันหยุดลง ไหนเลยจะมีร่องรอยของอีกฝ่าย
“คุณชายเริ่น? คุณชายเริ่น?” องค์รัชทายาทหรงเจียหลัว ไม่ยอมถอดใจ ค้นหาในบริเวณเดิมจนทั่ว แต่ทั้งห้องหนังสือที่เสียหายนี้เหลือเขาอยู่เพียงลำพัง
คุณชายร่างเล็กผู้นั้นเป็นเหมือนตอนที่เขามา จู่ๆ ก็โผล่มา จู่ๆ ก็หายไป ไม่มีสักคนที่จะทราบว่าเขามาได้อย่างไรและจากไปได้อย่างไร…
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวกำมือแน่น พลันรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ให้คนคอยจับตาคนผู้นั้นไว้…
นอกจากเขาอยากจะขอบคุณอีกฝ่ายแล้ว ยังมีอีกเรื่องอีกมากมายที่อยากจะขอคำชี้แนะ อย่างเช่นที่มาของหนอนกู่ตัวนี้ หรืออย่างเช่นเรื่องอาจารย์ของเขา กระทั่ง อยากจะรับอีกฝ่ายเป็นลูกน้องของตนโดยไม่สนว่าต้องแลกเปลี่ยนสิ่งใด บุคคลที่มีความสามารถขนาดนี้จะปล่อยไปเฉยๆ ก็น่าเสียดายเกินไป!
เขาถึงขนาดร่างบทไว้ในสมองแล้วว่าจะโน้มน้าวให้คุณชายผู้นี้มาเข้าร่วมกลุ่มของเขาอย่างไร
ผลคือเขายังไม่ทันจะได้นำมาใช้อีกฝ่ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว!
รักษาโรคแอบแฝงของเขาจนหายดีแล้ว กำไลแปลกๆ เส้นนั้นกับตั๋วเงินหนึ่งล้านตำลึงก็เอาไปแล้ว ไม่ติดค้างกับเขาแล้ว…
เขาไม่ทราบแม้กระทั่งชื่อของอีกฝ่าย! ทราบจากปากเด็กรับใช้ของโรงประมูลที่มาส่งกระเรียนกระดาษให้เขาแค่ว่าอีกฝ่ายแซ่เริ่น…
ดวงจันทร์กลางนภาราวกับมีขนาดใหญ่เท่าจานกลม ท้องฟ้ายามราตรีอันปลอดโปร่งไร้ซึ่งแสงดารา บนฟ้ามีเพียงจันทราสีเงินดวงนั้นที่ส่องประกายอยู่ ดึกแล้ว ในเมืองมีมาตรการห้ามออกนอกเคหะสถานตามเวลาที่กำหนด บนถนนใหญ่จึงไม่ค่อยมีคน มีเพียงทหารที่เดินลาดตระเวนอยู่ตลอด กู้ซีจิ่วปรากฏตัวขึ้นในตรอกลึกกลางเมือง แม้ว่าในตอนนี้เธอจะสามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว แต่ร่างกายนี้มีกำลังภายในอยู่เพียงน้อยนิด จึงไม่อาจใช้งานได้ตามใจนึกเหมือนในชาติก่อน ทุกครั้งที่เคลื่อนย้ายก็จะเป็นระยะทางเพียงสองสามลี้เท่านั้น
จวนแม่ทัพกู้และตำหนักองค์รัชทายาทอยู่ไกลกันมาก แห่งหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมือง อีกแห่งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่อาจเคลื่อนย้ายจากตำหนักองค์รัชทายาทเพื่อกลับไปยังเรือนของตัวเองโดยตรงได้ ต้องมีการแวะพักระหว่างทาง
เคราะห์ดีที่กู้ซีจิ่วรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง เธอได้จดจำผังเมืองคร่าวๆ เอาไว้ในใจตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว จึงทราบว่าสถานที่ไหนที่ลับตาคน และเลือกตรอกเล็กแห่งนี้เป็นสถานที่แวะพัก
‘คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรู้จักกู่ชนิดนี้ด้วย! รู้ไว้ซะว่ามันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยยิ่งนักในยุคของพวกเรา’ เสียงของกำไลหยกนภาดังขึ้นในหัวของกู่ซีจิ่ว
กู่ซีจิ่วไม่สนใจมัน เธอหยุดฝีเท้าลง หอบหายใจน้อยๆ ใช้มือลูบหน้าอกเบาๆ คิ้วขมวดนิดๆ
‘เจ้าบาดเจ็บ!’ กำไลหยกนภามีประสาทสัมผัสเฉียบไวจึงรับรู้ได้ว่าเธอผิดปกติ ‘เป็นตอนที่เจ้าฝังเข็มให้องค์รัชทายาทแล้วเขาซัดฝ่ามือกลับมาใช่ไหม?’
‘บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น’
เธอประมาทฝีมือขององค์รัชทายาทผู้นั้นไปหน่อย ถึงแม้เธอจะเตรียมการไว้ล่วงหน้า จึงหลบได้ทันแบบฉิวเฉียด แต่ก็ยังโดนกระแสพลังจากฝ่ามือเขาเข้าเล็กน้อย ยามนี้จึงรู้สึกแน่นหน้าอกอยู่บ้าง
……………………….
[1] หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า หนึ่งชั่วโมง
[2] หนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคน จีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำรา เทียบว่าประมาณ 10-15 นาที