Skip to content

สตรีน่าตาย 4

  • by

Chapter 4

ฆ่าทั้งหมด!

หานหมิงห้าวอุ้มเจ้าสำนักกลับมาถึงอาคารหินที่ไร้ประตูหน้าต่างหลังนั้น เขาใช้เท้าเตะไปที่ผนังหินทีหนึ่ง พลัน บนผนังหินก็ปรากฏวงอักขระสีขาวขึ้นมา เขาอุ้มเจ้าสำนักไปตรงหน้าวงอักขระสีขาววงนั้น พลัน! เจ้าสำนักก็ถูกดูดเข้าไปในวงอักขระสีขาวนั่น

เมื่อเจ้าสำนักถูกดูดเข้าไปแล้ว เขาก็ถอนหายใจโล่งอก ภายในอาคารหลังนี้ไม่มีทางเข้าออก มีเพียงผ่านเข้าออกได้ผ่านทางวงอักขระเท่านั้น อีกทั้งเป็นเจ้าสำนักคนเดียวเท่านั้นที่จะผ่านเข้าออกได้ แล้วเจ้าสารเลวนั่นลักพาเจ้าสำนักออกไปได้อย่างไร!?

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งสงสัย เขานั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้ตลอดเวลาไม่ได้ไปไหนเลย ไม่มีทางที่ใครจะผ่านเขาเข้าไปได้โดยที่เขาไม่เห็น อีกทั้งรอบทิศ อีกสามด้าน รวมทั้งด้านบนอาคาร อีกสี่คนก็เฝ้าอารักขาอย่างแข็งขัน ยากนักที่ใครจะลอบเข้าไปภายใน เขาเตรียมใจแล้วหากเจ้าสำนักตื่นขึ้นมา โทษทัณฑ์คราวนี้ยากที่จะรอดไปได้ ฮือๆๆๆ เขาทำใจเตรียมตัวถูกถลกหนังแล่เนื้อแล้ว

ภายในห้องไร้ประตูหน้าต่าง ร่างของเจ้าสำนักรูปงามก็ลอยไปนอนอยู่บนเตียง ร่างเขาดูดซับพลังจากภายในห้องที่แผ่ออกมาจากพื้นหยกเข้าไปเรื่อยๆ ซึ่งห้องนี้เป็นห้องฝึกฝนพิเศษเฉพาะเจ้าสำนักเท่านั้น เพียงนอนอยู่ในห้องนี้ก็จะดูดซับพลังงานที่แผ่ออกมาจากพื้นห้องเข้าไปในร่างโดยไม่ต้องฝึกฝนอะไรมาก เขาจึงเข้ามานอนหลับลึกในห้องนี้ปีละ 1 เดือน เมื่อครบกำหนดเวลา เขาก็จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับพลังธาตุที่เต็มเปี่ยม นี่คือการทำน้อยได้มากโดยแท้

ส่วนอีกสี่คนกับแร้งดำก็ยังวนเวียนตามหาตัวเจ้าคนสารเลวผู้นั้นต่อไป

เช้ามืด หลินจื่อเซียนตื่นขึ้นมา ความเหนื่อยล้าหายไปจนหมดสิ้น เธอจึงเดินออกมาตรงหน้าซอกหิน มองไกลออกไป แล้วก็จั๊มไปยังจุดที่เห็นอยู่ในสายตาไกลลิบๆ

เธอจั๊มทีละ 10 หรือ 11 กิโลเมตร เธอไม่กล้าจั๊มแบบไม่มีภาพในหัวเด็ดขาด กลัวว่าจะจั๊มไปลงกลางปากปล่องภูเขาไฟหรือไม่ก็สถานที่ที่อันตราย เพราะฉะนั้นเธอเลือกค่อยๆ จั๊มไปดีกว่า ถึงแม้จะไปได้ทีละน้อย แต่ก็ปลอดภัยดี

เธอจั๊มอีกราว 30 ครั้ง ในที่สุดก็สัมผัสได้ว่ามีชุมชนอยู่ใกล้ๆ แล้ว เธอชะงักอยู่บนต้นไม้ จะเป็นคนชาติไหนนะ? แล้วเธอน่าจะอยู่ประมาณไหนของแอฟริกา?

จากสัมผัสของพลังจิต พบว่าชุมชนข้างหน้ามีสิ่งปลูกสร้างราว 40 ถึง 50 หลังได้ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ส่วนใหญ่มีขนาดประมาณบ้านในแถบชนบท เธอกำลังจะจั๊มไปใกล้ๆ ชุมชนแห่งนั้น พลัน! เธอก็สัมผัสได้ถึงคนกลุ่มหนึ่งอยู่ห่างจากเธอไปทาง 3 นาฬิกา ห่างราว 100 เมตร เธอได้ยินเสียงผู้หญิงร้องอย่างเจ็บปวด เสียงนั้นฟังแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงกำลังถูกทำร้าย เธอจึงจั๊มไปซุ่มดูซะหน่อย ถ้าช่วยได้เธอก็อยากจะช่วย แต่ถ้าเกินกำลัง เธอก็คงต้องขอบายล่ะ เธอไม่ใช่แม่พระนะที่จะได้เอาชีวิตตัวเองไปแลกกับคนอื่นน่ะ

เธอปรากฏตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างเงียบเชียบ มองลงไปก็เห็นผู้ชายหลายคนกำลังรุมข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นอายุราว 14 หรือ 15 ปีได้ ถูกผู้ชายสองคนรุมข่มขืนประกบหน้าหลัง พวกมันไม่สนใจเสียงร้องแหบแห้งที่ร้องอย่างน่าเวทนาเลยสักนิด ส่วนผู้ชายคนอื่นๆ ก็ยืนล้อมมุงดูเหมือนเป็นเรื่องสนุก เธอด่าพวกมันในใจ ไอ้พวกเลวเอ้ย!

“โอย….ได้โปรด…หยุดเถิด ข้าเจ็บ…” เด็กสาวคนนั้นร้องอย่างน่าเวทนา

“เจ็บอะไรเล่า ข้ากำลังรู้สึกดียิ่งนัก อา…” ผู้ชายคนที่อยู่ล่างพูดขึ้น ส่วนคนที่อยู่บนก็กระแทกอย่างรุนแรง หลินจื่อเซียนมองสำรวจคนเหล่านั้น ไม่เห็นว่าพวกมันมีปืน เห็นมีแต่ดาบยาวๆ หลายเล่ม อืม…ถ้ามีแต่ดาบเธอก็พอสู้ไหว แต่ถ้าพวกมันมีปืน ก็เสี่ยงไม่น้อย

“ได้โปรด…ใครก็ได้ช่วยข้าที โอย….” เด็กสาวครางอย่างน่าเวทนา ในที่สุดหลินจื่อเซียนก็ตัดสินใจได้ ช่วย!

เธอวางแผนอย่างรวดเร็วในหัวสมอง แล้วก็จั๊มไปอย่างเงียบเชียบ เธอปรากฏขึ้น มือก็หยิบดาบเล่มหนึ่งที่วางอยู่ขึ้นมา

ตวัดดาบตัดคอคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด ฉับ!

“โอ๊ย!” คนๆนั้นร้องออกมา เลือดสาดกระจาย คอถูกเฉือนไปครึ่งหนึ่ง แล้วก็ล้มลงไปดิ้นปัดๆ กระตุกๆ อยู่บนพื้น ตาเหลือกตาปลิ้น หลอดอากาศถูกตัดไปพร้อมกับเส้นเลือดใหญ่โดยไม่ต้องสงสัย ไม่กี่นาทีก็ตายชัวร์!

“เฮ้ย!” / “หวา!” / “อะไร!?” / “นี่!” ฯลฯ ผู้ชายกลุ่มนั้นตกตะลึงงัน มองดูพวกพ้องถูกฆ่าอย่างซึ่งหน้าโดยเด็กสาวคนหนึ่ง!

เด็กสาวคนนี้สวมเสื้อผ้าแปลกตา หน้าตาธรรมดา ชนิดว่าโยนเข้าไปในฝูงชนก็หาไม่เจอ ไร้ความโดดเด่นใดๆ ผิวหน้าคล้ายจะตกกระ กระด่างกระดำ แต่การลงมือฆ่าคนช่างโหดเหี้ยมนัก ดาบเดียวก็ฆ่าไปแล้ว 1 คน!

เด็กสาวที่ถูกข่มขืนมองเด็กคนนั้นที่ดูแล้วน่าจะอายุแก่กว่าตัวเองเล็กน้อย เหมือนเห็นแสงแห่งความหวังสว่างเรืองรอง เด็กคนนั้นรีบพูดว่า “ช่วยข้าด้วย ข้าเป็นคุณหนูสามของจวนอ๋องเซี่ย เจ้าช่วยข้า ท่านพ่อข้าย่อมต้องตอบแทนเจ้า”

หลินจื่อเซียนขมวดคิ้ว “คุณหนูสาม? จวนอ๋องเซี่ย?”

“อา…เด็กน้อย เจ้าก็อยากมาสนุกกับพวกเราก็บอกดีๆ ก็ได้ ไยต้องฆ่าแกงกันด้วยเล่า” ชายคนหนึ่งหลังจากตั้งสติได้แล้วก็พูดขึ้น แม้เด็กที่มาใหม่จะหน้าตาไม่งาม แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสตรี พวกเขายังขาดแคลนสตรี แค่นังคนนี้คนเดียวย่อมไม่พอให้พวกเขาได้สนุกกัน เกรงว่ายังไม่ทันจะได้ครบทุกคน นังเด็กอ่อนแอนี่ก็คงสิ้นใจตายแล้วกระมัง

หลินจื่อเซียนฟังคนเลวนั้นพูดแล้วก็กระตุกยิ้มออกมา “พวกแกอยากสนุกกันนักใช่ไหม? ได้! ฉันจะเล่นสนุกกับพวกแกเอง!”

พูดจบเธอก็พุ่งตัวไปหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุดคนถัดไป ดาบเสือกปักอกคนๆนั้น ตรงตำแหน่งหัวใจอย่างไม่พลาดเป้า ฉึก!

“อ๊ากกกก…” คนๆ นั้นร้องออกมา หลินจื่อเซียนก็ดึงดาบออกแล้ว เลือดทะลักพุ่งกระฉูดตามออกมา กระเซ็นเปื้อนมาโดนตัวเธอ

แล้วเธอก็พุ่งไปหาคนถัดไปในชั่วพริบตา มือตวัดดาบตัดคอฉับ!

“อ๊อกกกก…”

“ฆ่ามัน!” ชายคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง พร้อมกับใช้พลังธาตุไม้กลายเป็นเถาวัลย์พุ่งไปรัดตัวเด็กสาวร้ายกาจทันที

หลินจื่อเซียนเห็นเถาวัลย์พุ่งมาราวกับมีชีวิตก็แผ่พลังจิตออกไปทันทีโดยอัตโนมัติ เถาวัลย์พวกนั้นชะงักกึก ราวกับปะทะกับกำแพงที่มองไม่เห็น ไม่อาจพุ่งไปจับตัวเด็กสาวได้ ชายคนนั้นตกใจจนอ้าปากค้าง “นางคือชิงเฉิน* ” (精神  แปลว่าผู้มีพลังจิต)

“ชิงเฉิน!” คนกลุ่มนั้นอ้าปากค้าง ตกใจจนตะลึง ชิงเฉินคือกลุ่มคนที่มีพลังจิต ต่างกับคนที่มีพลังธาตุทั้งห้า ชิงเฉินมีน้อยยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรซะอีก อีกทั้งชิงเฉินคนหนึ่งมักจะมีฐานะสูงส่งยิ่งนักในแคว้นต่างๆ หากแคว้นใดมีชิงเฉิน แคว้นนั้นก็แข็งแกร่งมาก

“หนี!” ชายคนหนึ่งหลุดเสียงออกมาคำหนึ่ง ทำให้คนทั้งกลุ่มได้สติ ต่างพากันวิ่งแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง หลินจื่อเซียนเหยียดยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม “หนีรึ! เฮอะ!”

เธอพุ่งไปหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ตวัดดาบตัดคอ ปลายดาบเฉือนหลังคอจนเลือดสาดกระจาย ตัดกระดูกคอไปด้วย ทำให้ศีรษะไม่อาจรับน้ำหนักได้ ห้อยร่องแร่งอย่างน่ากลัว “อ๊ากกกก…”

จากนั้นเธอก็เตะหอกที่เห็นอยู่ใกล้ๆ เท้าขึ้นมา มือซ้ายกำหอกหมับ! แล้วพุ่งหอกออกไป ฟิ้ววววว…

หอกลอยละลิ่วไปปักศีรษะชายคนหนึ่ง ฉึก!

“อ๊ากกกก…” ใบหอกทะลุกะโหลกศีรษะจนได้ยินเสียงแตกร้าว แล้วพุ่งทะลุกระโหลดศีรษะด้านหน้า แรงเหวี่ยงนั้นส่งให้ชายคนนั้นล้มลงหน้าคว่ำกระแทกพื้น ใบหอกปักลงไปในดินอีกคืบกว่าๆ

เมื่อฆ่าคนนี้เสร็จ เธอก็ไม่รอดูผลงาน หมุนตัวทะยานตามหลังคนที่วิ่งหนีไป เธอไม่อยากจั๊มให้คนอื่นเห็น ความสามารถพิเศษของเธอ มีคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เมื่อตามไปทันเธอก็ฟันดาบฆ่า!

ฉั๊วะ ใบดาบตัดคอ จนขาดกระเด็น ตัวคนล้มลง หัวกลิ้งตกหลุนๆ

เธอฆ่าล้างคนเลวพวกนั้นอีกหลายคนจนเกือบหมด ทุกคนล้วนตายในดาบเดียว เพราะใช้ดาบสภาพศพเลยน่าอเนจอนาถไม่น้อย เหลือเพียงสองคนที่ยังเป็นแซนวิสติดกับเด็กสาวคนนั้น หนึ่งในแซนวิสสองแผ่นนั้นก็ตะกายไปคว้ามีดมาจี้คอเด็กสาว แล้วมองเด็กสาวที่เป็นชิงเฉิน ขู่ว่า “อย่าเข้ามานะ!”

“เฮอะ!” หลินจื่อเซียนเหยียดยิ้มเยาะ แล้วปาดาบในมือไปปักหัวคนที่กล้าขู่เธอ ฉึก!

“อ๊ากกกก…” ดาบปักหัว แรงที่ปาออกไปส่งผลให้คนๆนั้น หงายหลังล้มตึง หลินจื่อเซียนมองอย่างเหยียดหยาม คิดจะจับตัวประกัน แต่เปิดช่วงโหว่ให้เธอโจมตีได้ขนาดนี้ อ่อนจริงๆ

แซนวิสอีกแผ่นเห็นพวกพ้องตายหมดแล้ว จึงรีบผลักเด็กสาวบนตัวออก แล้วคุกเข่าโขกหัวร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนา “แม่นาง ไว้ชีวิตด้วยๆๆๆๆ”

เด็กสาวที่ถูกข่มขืน เอื้อมมือไปหยิบดาบมาแล้วแทงชายคนนั้น ฉึก!

“โอ๊ะ!”

“ตาย!ๆๆๆๆๆ” เด็กสาวที่ถูกข่มขืนชักดาบออกแล้วแทงใหม่นับไม่ถ้วนอย่างแค้นจัด หลินจื่อเซียนจึงยืนมองเฉย

จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นเละเป็นกองเนื้อกองหนึ่ง เด็กสาวก็หมดแรง มือกุมดาบแน่น ร้องไห้โฮๆ ดังลั่น หลินจื่อเซียนยืนดูเฉยๆ รอให้เด็กคนนั้นสงบสติอารมณ์ได้แล้วค่อยพูดคุยกัน

จนเสียงร้องไห้โฮๆ ค่อยๆ เงียบลง เด็กคนนั้นพูดน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านพ่อ ข้าอกตัญญูนัก ไม่อาจสู้หน้าท่านได้แล้ว”

หลินจื่อเซียนได้ยินคำพูดนี้ก็รีบพุ่งไปจับมือเด็กสาวที่กำลังจะใช้ดาบเชือดคอตัวเอง ดุว่า “อย่าคิดสั้น!”

“โอ๊ย!” เด็กคนนั้นร้องเจ็บ เพราะถูกหลินจื่อเซียนจิกนิ้วเข้าที่เอ็นข้อมือ จนต้องปล่อยดาบตกลง จังหวะที่ดาบตกลงหลินจื่อเซียนก็เตะดาบไปไกลๆ ดาบลอยละลิ่วไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น เด็กคนนั้นก็ร้องสะอึกสะอื้นว่า “ฆ่าข้า! ได้โปรด ให้ข้าตาย…ฮือๆๆๆ”

“ตายอะไร! เธอคิดถึงพ่อถึงแม่เธอบ้างไหมว่าพวกท่านจะเสียใจแค่ไหนถ้าเธอตายไปน่ะ!” หลินจื่อเซียนตะคอก เด็กสาวคนนั้นยิ่งสะอึกสะอื้น “ท่านแม่ข้าตายแล้ว ท่านพ่อก็ไม่รักข้า ข้ามันเป็นสวะ ข้าทำให้ท่านพ่อเสื่อมเสียชื่อเสียง ลูกเลวๆอย่างข้าจะยังมีหน้ามีชีวิตอยู่เพื่อใครอีก!”

“มีชีวิตเพื่อฉัน!” หลินจื่อเซียนตะคอก “ชีวิตเธอฉันช่วยไว้ ชีวิตเธอเป็นของฉัน เธออยากตายนักฉันจะช่วยสงเคราะห์เอง! แต่ฉันไม่ให้เธอตายง่ายๆ หรอกนะ ฉันจะค่อยๆ แล่เนื้อเธอทีละชิ้น…ทีละชิ้น จนกว่าเธอจะตาย”

เด็กสาวสะอึกในความโหดเหี้ยมของคนตรงหน้า หลินจื่อเซียนจึงคลี่ยิ้ม ถามทีละคำ “ยัง-อยาก-ตาย-อีก-ไหม?”

เด็กสาวส่ายหน้า ละล่ำละลักพูด “ไม่ ไม่อยากแล้ว”

“ดี” หลินจื่อเซียนยิ้ม หยิกแก้มนุ่มที่เปื้อนคราบน้ำตาคล้ายหยอกเย้า “ถ้าอยากตายเมื่อไหร่บอกนะ”

เด็กสาวรีบส่ายหน้ารัวๆ “ไม่ๆ”

“ลุกไหวไหม?” หลินจื่อเซียนถาม เด็กสาวพยักหน้า พยายามลุกขึ้นยืน แต่แล้วสองขาก็อ่อนแรงทรุดลงไป

หลินจื่อเซียนจึงปล่อยมือแล้วหันไปมองหาเสื้อผ้ามาให้เด็กคนนี้สวม เห็นเสื้อผ้ากองอยู่ ดูจากลักษณะสีสันแล้วน่าจะเป็นเสื้อผ้าของผู้ชายพวกนั้น เธอจึงเลือกๆ หยิบมาตัวหนึ่ง แล้วคลี่คลุมตัวเด็กสาวเอาไว้ เด็กสาวจับชายเสื้อดึงเข้าหากัน ตัวยังสั่นๆ เล็กน้อย หลินจื่อเซียนจึงปลอบว่า “พวกมันตายหมดแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว แต่พวกเราควรรีบไปจากที่นี่ก่อนที่ใครจะมาเห็นแล้วโทรแจ้งตำรวจ”

“ตำรวด?” เด็กสาวจับใจความได้แค่คำท้าย ทำหน้าฉงนสงสัย “คืออะไร?”

“ตำรวจก็คือตำรวจน่ะซิ หรือเธออยากเข้าคุกข้อหาฆ่าคนตาย?” หลินจื่อเซียนถาม เด็กสาวทำหน้าฉงน มองเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่ “อาภรณ์เจ้าแปลกนัก”

หลินจื่อเซียนชะงักกึก ก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเอง แล้วมองเสื้อผ้าที่อยู่บนศพพวกนั้น รวมถึงเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเด็กคนนั้น อืม คนพวกนี้ใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนเธอจริงๆนั้นแหละ คล้ายๆ ชุดโบราณยุคฮ่องเต้อะไรพวกนั้น แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว ต่างกันตรงที่แขนเสื้อไม่ใช่แขนกว้างๆ แต่เป็นแขนเสื้อที่คล้ายกับเสื้อแขนยาว เท่าที่เธอเห็นคนพวกนี้จะสวมเกราะแขนรัดแขนเอาไว้ ช่วยให้กระฉับกระเฉงทะมัดทะแมง

“ที่นี่ประเทศอะไร?” เธอถามออกมา เด็กสาวทวนคำ “ประเทศ?”

ทำหน้าตาว่าไม่รู้จักคำๆนี้ แล้วถามต่อว่า “คืออะไรรึ?”

หลินจื่อเซียนเกาหัวแกรกๆ เปลี่ยนคำถามใหม่ “งั้นที่นี่คือที่ไหน?”

“ยี่ชุน” เด็กสาวตอบ หลินจื่อเซียนทวนคำ “ยี่ชุน?”

“เจ้าคงมาจากที่อื่นกระมัง เจ้ามาจากแคว้นใดหรือ?” เด็กสาวถาม หลินจื่อเซียนจึงตอบว่า “ฉันมาจากมาเก้า”

“มาเก้า?” เด็กสาวทวนคำ ทำหน้าว่าไม่รู้จัก หลินจื่อเซียนจึงถามต่อ “งั้นยี่ชุนอยู่ตรงส่วนไหนของโลกนี้ล่ะ?”

“ยี่ชุนเป็นหมู่บ้าน อยู่ในเขตแคว้นเฟิง” เด็กสาวตอบ หลินจื่อเซียนก็ส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”

ถามกันไปถามกันมา คงจะไม่ได้เรื่อง ถ้างั้นมีทางเดียวคือเธอต้องออกไปเห็นเมือง เห็นผู้คน แล้วจึงจะสามารถเดาได้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนของโลก เมื่อตัดสินใจแล้วเธอก็พูดว่า “งั้นบ้านเธออยู่ไหน? เดี๋ยวฉันพาเธอไปส่งบ้านก่อน”

“ข้ากำลังจะไปแคว้นเฟิง ท่านแม่ข้าตายแล้ว บ้านข้าในยี่ชุนไม่มีแล้ว ข้าต้องไปหาท่านพ่อในแคว้นเฟิง” เด็กสาวตอบ

“อ่อ” หลินจื่อเซียนพยักหน้ารับรู้ “แล้วเธอชื่ออะไร?”

“เซี่ยจินเย่” เซี่ยจินเย่ตอบ พลางย้อนถาม “แล้วเจ้า?”

“จื่อเซียน” หลินจื่อเซียนไม่บอกชื่อแซ่เต็มๆ แล้วถามว่า “แล้วแคว้นเฟิงอยู่ห่างจากที่นี่เท่าไหร่?”

“ข้าก็ไม่รู้” เซี่ยจินเย่ส่ายหน้า เพราะตั้งแต่เล็กจนโตนางไม่เคยย่างก้าวออกจากหมู่บ้านเลย แต่เมื่อท่านแม่ตายแล้ว บ้านก็ถูกยึดไป นางจึงคิดจะไปอาศัยอยู่กับท่านพ่อที่แคว้นเฟิง ท่านพ่อของนางคืออ๋องเซี่ยจื่อเย่ เดินทางออกมายังไม่ทันไรก็ถูกชายชั่วรุมข่มเหงแล้ว ทำให้นางอยากจะตายไปเสียให้พ้นทุกข์ แต่ไม่คิดเลยว่าสตรีอำมหิตนางนี้จะไม่ยอมให้นางตาย

หลินจื่อเซียนจึงซักถามเซี่ยจินเย่หลายคำถาม เซี่ยจินเย่ก็เล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง จนหลินจื่อเซียงชักจะเชื่อแล้วว่าตัวเองต้องทะลุมิติ ข้ามภพอะไรพวกนั้นมาแน่แล้ว สถานที่ที่เซี่ยจินเย่พูดถึง เธอจึงไม่รู้จักสักที่ อีกทั้งคนโลกนี้ยังมีการฝึกฝนพลังตามธาตุทั้งห้าอีกด้วย ฟังจากที่เซี่ยจินเย่พูด ตัวนางเองเป็นพวกพลังธาตุไม้ แต่พลังของนางอ่อนแอยิ่งนัก พลังสีดำ ที่แม้แต่ขั้นหนึ่งก็ยังไม่ถึงเลย ไม่อาจใช้งานได้เหมือนพลังธาตุไม้ที่ชายคนนั้นใช้กับหลินจื่อเซียน สรุปว่า มีธาตุ ดิน ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ลม ส่วนระดับพลังแบ่งเป็นสามสีดำ เทา ขาว แต่ละสีแบ่งขั้นพลังเป็น 5 ระดับ พวกธาตุดิน ไม้ น้ำ พบเจอได้ง่าย พวกธาตุ ทอง ไฟ ลม พบเจอได้ยาก ส่วนพวกที่มีธาตุคู่ ก็พบเจอได้น้อยมาก ส่วนใหญ่ 1 คน 1 ธาตุ

ส่วนชิงเฉิน เป็นคนที่พบเจอได้น้อยยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก แต่ตอนนี้ก็อยู่ตรงหน้าเซี่ยจินเย่แล้ว 1 คน นางดีใจมากที่ได้เห็นชิงเฉินตัวจริงๆ นางเคยได้ยินท่านแม่เล่าว่า มีชิงเฉินคนหนึ่งอยู่ในแคว้นเฟิง ฐานะสูงส่งยิ่งนัก อายุหลายร้อยปี ผมเป็นสีขาวไปทั้งศีรษะ นางเคยคิดว่าหากได้ไปแคว้นเฟิง นางต้องหาโอกาสเห็นชิงเฉินคนนั้นสักครั้งให้ได้

เมื่อหลินจื่อเซียนรับรู้ว่าชิงเฉินเป็นพวกหาได้ยาก ก็รู้สึกได้ถึงเค้ารางอะไรบางอย่างที่น่าจะก่อความวุ่นวายมาให้เธอไม่น้อยถ้าคนอื่นรู้ว่าเธอเป็นชิงเฉิน ดังนั้นเธอจึงขู่เซี่ยจินเย่ว่า “ถ้าเจ้าบอกใครเรื่องที่ข้าเป็นชิงเฉิน ข้าจะให้เจ้าตายทรมานที่สุด!”

“ไม่พูดๆ ข้าสาบานต่อฟ้าดินจะไม่พูดเด็ดขาด” เซี่ยจินเย่ส่ายหน้าแล้วพูดน้ำเสียงหนักแน่น หลินจื่อเซียนจึงพยักหน้า “ดี”

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ออกเดินทางไปยังแคว้นเฟิง ก่อนออกเดินทาง เซี่ยจินเย่ก็เลือกๆ เสื้อผ้าของคนตายมาสวมใส่ปิดบังเรือนร่างเปลือย เพราะเสื้อผ้าของนางถูกคนชั่วช้าพวกนั้นฉีกทึ้งจนขาดหมดแล้ว หลินจื่อเซียนก็เลือกเสื้อผ้าคนตายมาเปลี่ยนเช่นกัน เพราะถ้าเธอใส่เสื้อผ้าของเธอ ผู้คนย่อมดูออกในทันทีว่าเธอไม่ใช่คนถิ่นนี้

หลังจากสอบถามอายุกันแล้วก็รู้ว่าเซี่ยจินเย่อายุน้อยกว่า 3 ปี เซี่ยจินเย่จึงเรียกจื่อเซียนว่าพี่จื่อเซียน ส่วนหลินจื่อเซียนก็เรียกเซี่ยจินเย่ว่า น้องจินเย่

เพราะต้องการรีบไปให้ห่างจากจุดเกิดเหตุ หลินจื่อเซียนจึงเร่งเดินทาง คอยประคับประคองเซี่ยจินเย่ไปตลอดทาง

โชคดีตอนที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่นั้น หลินจื่อเย่ก็ค้นตัวคนตายทุกคน เก็บทรัพย์สมบัติที่ติดตัวพวกนั้นมาจนหมด ทำให้เธอมีเงินทองพอประมาณ และก็เป็นโชคดีที่หนึ่งในคนตายสวมแหวนเก็บของเอาไว้ แหวนเก็บของก็คือแหวนที่มีช่องมิติเก็บของ เพียงใช้พลังธาตุเล็กน้อยก็เปิดใช้งานได้แล้ว แหวนแต่ละวงก็ยังมีระดับในการเก็บของอีก บางประเภทเก็บไฟได้ บางประเภทเก็บสัตว์เลี้ยงได้ เซี่ยจินเย่เห็นแหวนเก็บของจึงอธิบายวิธีใช้งานให้พี่จื่อเซียนฟังอย่างละเอียด หลินจื่อเซียนก็เก็บของไว้ในแหวนแล้วสวมเอาไว้บนนิ้ว ทีแรกแหวนหลวม แต่พอเธอสวมบนนิ้วแล้ว มันก็หดเล็กลงจนพอดีกับนิ้วเธอ

อือ ไอ้แหวนเก็บของนี่น่าจะคล้ายๆ กับบ้านย่อส่วนได้ในเรื่องแอ้นท์แมนล่ะมั้ง?

ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะไม่ค่อยไว้ใจเซี่ยจินเย่ หลินจื่อเซียนคงไม่มาเดินย่ำเท้าอย่างนี้หรอก คงพาเซี่ยจินเย่จั๊มไปแล้ว แต่เพราะยังไม่ไว้ใจ ก็อย่าเพิ่งให้อีกฝ่ายรู้ความลับอะไรมากมายนักจะดีกว่า สองสาวจึงเดินเท้าไปด้วยกัน ผ่านเส้นทางระหว่างหมู่บ้านไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็หยุดพัก หายเหนื่อยก็เดินทางต่อ แต่เดินไปได้ 1 วันเซี่ยจินเย่ก็เป็นไข้ขึ้นมา ตัวร้อนผ่าวจนน่าตกใจ

“น้องเย่ ไม่สบายแล้ว” หลินจื่อเซียนประคองเซี่ยจินเย่ไปนั่งพักใต้ร่มไม้ แค่จับมือจับแขนก็รู้แล้วว่าเป็นไข้สูง นี่ถ้าเป็นโลกของเธอ เอายาพาราให้กิน คอยเช็ดตัวให้ก็ไม่น่าห่วงแล้ว แต่นี่เป็นโลกที่ไม่คุ้นเคย แล้วเธอจะไปหายาพาราได้จากที่ไหน?

“พี่จื่อเซียน ข้าหนาว” เซี่ยจินเย่เริ่มเพ้อ หลินจื่อเซียนหน้าเครียดทันที ตบหลังมือเซี่ยจินเย่เบาๆ “รอข้าอยู่นี่นะ ข้าจะไปหาสมุนไพรมาลดไข้ให้เจ้า”

เธอบอกเซี่ยจินเย่ พยายามฝึกพูดให้เหมือนกับคนท้องถิ่น เซี่ยจินเย่พยักหน้า หลินจื่อเซียนจึงรีบเดินไปดูตามข้างทางทันทีว่าพอจะมีสมุนไพรอะไรลดไข้ได้บ้าง ขณะที่เธอมองหาอย่างร้อนใจอยู่นั้น พลัน! ตรงหน้าเธอก็ปรากฏรอยแยกเล็กๆ แล้วมีต้นสมุนไพรพุ่งออกมา ทำเธอตกใจไม่น้อย “เฮ้ย!”

แต่พอสายตาเห็นต้นสมุนไพรนั้น ความรู้ก็ผุดขึ้นมาในสมอง เธอคว้าต้นสมุนไพรต้นนั้นหมับ มือขยับๆ ขยำกำๆต้นสมุนไพรอยู่ครู่หนึ่ง ต้นสมุนไพรต้นนั้นก็กลายเป็นผงละเอียดราวกับผ่านการอบแล้วตากแห้งบดละเอียดเรียบร้อย จากนั้นผงสมุนไพรในมือก็รวมตัวอัดเป็นเม็ดกลมๆ หลายเม็ดอยู่ในกำมือเธอ เธอมองยาสมุนไพรนั้นอย่างตกใจ ตาเบิกโตจ้องเม็ดยากลมๆ พวกนั้น

“นี่คือการหลอมยา!” เธอหลุดคำพูดออกมา มือเธอขยับไปเองโดยอัตโนมัติ หลังจากหายตกใจแล้วเธอก็รีบเดินกลับไปหาเซี่ยจินเย่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!