บทที่ 154
ลอบปองร้ายท่าน
เขาพยักหน้านิดเล็กน้อย “เราก็คิดว่านางไม่ใช่ฆาตกร”
พลางหันไป เอ่ยยํ้ากับหัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ที่อยู่ข้างกาย “คนที่เจ้าส่งไปไว้ใจได้ใช่ไหม? ห้ามทำให้คุณหนูกู้ผู้นี้บาดเจ็บจริงๆ เด็ดขาด!”
หัวหน้ากองทหารรักษาพระองค์ค้อมกายพลางเอ่ย “ทูลฝ่าบาท พวกเขาล้วนเป็นคนที่ไว้ใจได้อย่างยิ่งพะย่ะค่ะ ลงมืออย่างพอเหมาะ ดูอันตราย แต่ไม่ทำให้คนได้รับบาดเจ็บจริงๆ เมื่อครู่มีเพียงองครักษ์หลี่ที่แทงถูกผิวกายนางเล็กน้อย เพื่อให้นางได้รับพิษขจัดมารพะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิชวนหันศีรษะไปทางบุรุษที่สงบนิ่งดั่งภูเขาข้างๆ “ผู้ทรงศีลฮั่ว พิษชนิดนี้ของเจ้ามีผลแค่คนที่ต้องมารจริงๆ ใช่ไหม”
ผู้ทรงศีลฮั่วค้อมกายลงเล็กน้อย “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หากสตรีนางนี้เป็นสตรีธรรมดา พิษนี้จะไม่มีอันตรายต่อนางแม้แต่น้อยพะย่ะค่ะ” ผู้ทรงศีลฮั่วผู้นี้เป็นผู้ทรงศีลของสำนักเก้าดารา และเป็นอาจารย์อาของกู้เทียนเฉา คนผู้นี้มีพลังวิญญาณสูง เชี่ยวชาญการปราบปีศาจที่สุด มีชื่อเสียงอย่างยิ่งในทวีปซิงเยวี่ย
หลังจากอาจารย์ของกู้เทียนเฉาได้รับจดหมายจากลูกศิษย์ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ เลยแจ้งให้ผู้ทรงศีลฮั่วศิษย์น้องที่อยู่ที่นั่นทราบ มอบจดหมายฉบับนั้นให้ผู้ทรงศีลฮั่วอ่าน กล่าวว่าสงสัยว่ากู้ซีจิ่วจะโดนภูตผีปีศาจที่แข็งแกร่งสิงร่าง…
ผู้ทรงศีลฮั่วชิงชังสิ่งชิ้วร้ายเป็นที่สุด เขาไม่เคยปรานีปีศาจร้ายเลย ดังนั้นเขาจึงรีบมาด้วยตัวเอง
พิษขจัดมารนั้นเป็นของวิเศษปราบมารชิ้นหนึ่งของเขา หากคนที่โดนภูตผีสิงร่างถูกพิษนี้เข้าร่างกายจะแข็งทื่อ เหมือนผีดิบ ยามเดินเหินก็ต้องกระโดดเอา ทำให้คนมองออก
จักรพรรดิซวนมองกู้ซีจิ่วที่วิ่งอย่างว่องไว ถึงแม้สาวน้อยจะไม่มีพลังวิญญาณ แต่ร่างกายกลับปราดเปรียวนัก ไม่เห็นมีท่าทางแข็งทื่อเลยแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก “ยามนี้พิสูจน์ได้แล้วใช่ไหมว่านางเป็นผู้สูงส่ง และไม่ได้ถูกภูตผีใดๆ สิงร่าง?”
ผู้ทรงศีลฮั่วก็มองกู้ซีจิ่วอยู่ ผ่านไปสักครู่จึงเอ่ยขึ้น “นี่ เป็นเรื่องใหญ่ ฝ่าบาททรงรออีกหน่อยเถิดพะย่ะค่ะ รอดูปฏิกิริยาของนางตอนอยู่ในค่ายกลเก้าดาราแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ท้ายตรอกเป็นตำหนักหลังหนึ่ง ประตูตำหนักเปิดอ้าอยู่ ดูเหมือนกู้ซีจิ่วไม่มีทางเลือกแล้ว จึงพุ่งตรงเข้าไปในตำหนัก
โครงสร้างในตำหนักประหลาดเล็กน้อย มีผ้าม่านสีเหลืองซ้อนกันเป็นชั้นๆ อยู่รอบด้าน ลวดลายของผ้าม่านค่อนข้างพิลึกอยู่บ้าง คล้ายจะเป็นภาษาสันสกฤต อะไรทำนองนั้น
พื้นตรงกลางกลุ่มผ้าม่านปูด้วยหยกเขียว มีกระถางสำริดใบหนึ่งตั้งอยู่ตรงใจกลาง มีเกลียวควันสีเขียวลอยขึ้นมาจากในกระถาง
ด้านนอกมีเสียงเอะอะเล็กน้อย ดูเหมือนว่าในที่สุดกองทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นจะตามมาแล้ว มีเสียงตะโกนเอะอะอยู่เนืองๆ ทั้งยังมีเสียงอาวุธปะทะกัน ชัดเจนมากว่าประมือกับเหล่ามือสังหารอยู่
หลังจากกู้ซีจิ่วเข้ามาในตำหนักแล้ว ก็ไม่มีใครไล่ตามเข้ามา
เธอทะยานเข้าไปกลางกลุ่มผ้าม่าน ร่อนลงบนพื้นหยกเขียว
ยังไม่ทันได้เคลื่อนไหวอะไร จู่ๆ พื้นภายใต้ฝ่าเท้าก็สั่นสะเทือน พื้นที่แต่เดิมเคยราบเรียบกลับมีเสากลมเก้าต้นลอยขึ้นมาในทันใด เสากลมเหล่านี้ประดุจดวงดารา เรียงรายอยู่รอบกายกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วดูเหมือนตกตะลึงอย่างยิ่ง มองซ้ายมองขวาอย่างใคร่รู้หลังจากเห็นเสาเหล่านั้นลอยขึ้นมา ก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่น เธอสังเกตอยู่สักพัก ยื่นมือน้อยๆ ออกไปสัมผัส สีหน้าของเธอสงสัยใคร่รู้ทว่าในใจกลับเย้ยหยันอยู่
ดูเหมือนว่าท้ายที่สุดแล้วพวกจักรพรรดิซวนจะสงสัยว่าเธอไม่ใช่คนเดิม จึงใช้สิ่งนี้มาทดสอบหยั่งเชิงเธอ
ค่ายกลนี้มีผลต่อภูตผีปีศาจที่เข้าสิงอย่างยิ่ง ทว่าเธอไม่ใช่ภูตผีปีศาจใดๆ แต่เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ อีกอย่างไอแค้นที่เจ้าของร่างเดิมเหลือไว้ในร่างนี้ก็สลายไปหมดแล้ว ร่างกายนี้กลายเป็นของเธออย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อเธอเข้าสู่ค่ายกลนี้ย่อมไม่มีผลกระทบ
‘เจ้านายโชคดีที่ท่านล้างแค้นแทนเจ้าของร่างเดิมแล้วปลดปล่อยไอแค้นของเจ้าของร่างเดิม หากไอแค้นนั้นยังอยู่ เมื่อท่านเข้ามาในนี้จะต้องหลงไปกับภาพลวงตาในค่ายกลเก้าดารานี้นำชีวิตน้อยๆ มาทิ้งไว้ที่นี่! มนุษย์เหล่านี้หนอ ฉากหน้าทำเป็นโปรดปรานสนับสนุนท่าน ลับหลังกลับลอบปองร้ายท่าน’ หยกนภาทอดถอนใจด้วยความหดหู่