บทที่ 347
งานเลี้ยงอันวุ่นวาย
หยกนภาพูดอะไรไม่ออกเลย…
เหมือนกู้ซีจิ่วจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีกครั้ง “คดีของเล่อฮวาโหวปิดได้แล้วหรือ?”
องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวพยักหน้า “นับว่าปิดได้แล้วกระมัง ถึงแม้พยานหลักฐานจะไม่เอื้อต่อพวกเขาเป็นอันมาก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าพวกเขาสังหารเล่อฮวาโหวจริงๆ อีกทั้งน้องสิบ สองกับกู้เทียนฉิงที่อยู่ในคุกกัดฟันแน่นไม่ยอมสารภาพ ทั้ง 3 กรมสอบปากคำครั้งแล้วครั้งเล่า ก็แน่ใจได้เพียงว่าพวกเขาคิดร้ายต่อเจ้าจริงๆ ประกอบกับแม่ทัพกู้ร้องไห้อ้อนวอนต่อเสด็จพ่ออยู่บ่อยครั้ง ขอให้เสด็จพ่อเห็นแก่ความชอบในการทหารแต่เก่าก่อนของเขา และเห็นแก่หน้าลูกศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้า ให้ปล่อยพี่สาวเจ้าออกมา… เสด็จพ่อใคร่ครวญอยู่หลายตลบ จึงตัดสินใจปล่อยตัวพวกเขา มิใช่การปล่อยตัวโดยไร้ซึ่งโทษทัณฑ์ แต่ต้องถูกเนรเทศ ทั้งสองคนล้วนถูกลดขั้นเป็นสามัญชน เนรเทศไปยังด่านชายแดนทุรกันดาร 3 ปี 3 ปีให้หลังหากไม่มีอะไรผิดพลาด จะ อนุญาตให้กลับสู่เมืองหลวง แต่ชั่วชีวิตน้องสิบสองไม่อาจสืบทอดราชบัลลังก์ได้อีกต่อไป กู้เทียนฉิงต้องเป็นสามัญชนไปตลอดชีวิต ไม่อนุญาตให้ออกเรือนเป็นภรรยาเอกของบุตรหลานตระกูลใด เสด็จพ่อมีพระราชดำริเช่นนี้ คาดว่าจะประกาศอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วัน”
กู้ซีจิ่วไม่ได้เอ่ยอะไรอีก เพียงหลุบตาลงแล้วดื่มน้ำอึกหนึ่ง
อันที่จริงเธอเองก็ทราบดี จักรพรรดิซวนไม่ได้เห็นแก่หน้ากู้เซี่ยเทียนจึงลงโทษสถานเบาแก่สองคนนั้นจริงๆ หรอก แต่เป็นเพราะแต่เดิมจักรพรรดิซวนก็อยากปล่อยตัวพวกเขามากอยู่แล้ว ถึงอย่างไรองค์ชายหรงเหยียนก็คือพระราชโอรส เป็นบุตรชายแท้ๆ ของเขา…กล่าวคือจักรพรรดิซวนเพียงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์หาทางออกให้ตนเองเท่านั้น
ความจริงผลลัพธ์เช่นนี้ก็อยู่ในความคาดหมายกู้ซีจิ่ว แต่ยามนี้พอได้ยินคำยืนยันกับหูตน ในใจกลับรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
‘เสี่ยวชาง เช่นนี้นับว่าข้าช่วยล้างแค้นให้เจ้าของร่างเดิมได้หรือไม่? ล้างแค้นไม่สมบูรณ์ใช่หรือเปล่า?’ กู้ซีจิ่วลอบถามหยกนภา
หยกนภาก็ค่อนข้างว้าวุ่นใจ ‘น่าจะใช่! แต่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร วิญญาณร่างเดิมของท่านเป็นแม่นางน้อยที่จิตใจดีงามยิ่ง ต่อให้ในใจของนางรู้สึกไม่เป็นธรรมก็จะไม่กล่าวโทษท่าน ไม่เป็นปฏิปักษ์กับท่านแล้ว’
กู้ซีจิ่วดื่มนํ้าอีกอึกหนึ่ง กล่าวเรียบๆ ว่า ‘ยิ่งนางจิตใจดีข้าก็ยิ่งอยากล้างแค้นแทนนาง กล่าวกันตามจริงแล้ว ยิ่งข้ารับช่วงต่อร่างนี้นานขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งผูกพันอาทรเจ้าของร่างเดิมมากขึ้นเท่านั้น…’
ราวกับเจ้าของเดิมของร่างนี้ก็เคยเป็นตัวเธอมาก่อน
หรือว่าเจ้าของร่างเดิมคือตัวเธอกู้ซีจิ่วในชาติที่แล้ว?
ไม่เหมือน! นิสัยต่างกันเกินไป! น่าจะไม่ใช่
กู้ซีจิ่วส่ายหัว โยนความคิดที่ไม่เข้าท่านี้ทิ้งไป
…………………
ช่วงเดือนสามฤดูใบไม้ผลิ
สายลมฤดูใบไม้ผลิอาบย้อมยอดไม้ให้เขียวขจี นํ้าพุในอุทยานหลวงหลอมละลายแล้ว ไหลเชี่ยวผ่านศิลาเขียวส่งเสียงดังซู่ซ่า ไหลสู่เบื้องล่างศิลาเขียวที่มีความสูงราวสองจั้ง ทำให้สายนํ้าที่หลั่งไหลกลายเป็นนํ้าตกสายหนึ่ง สายนํ้าขนาดไม่ใหญ่ กระเซ็นเป็นเส้นสายนับไม่ถ้วน ไหลลงสู่ศิลาขาวก้อนหนึ่ง เกิดเสียงแผ่วเบาราวกับบรรเลงพิณก็มิปาน จากเสียงก็ส่งเสียงซู่ซ่าแล้วไหลออกห่างไป…
ไม่ไกลจากนํ้าตกแห่งนี้มีตำหนักที่คล้ายกับศาลาริมนํ้าหลังหนึ่งตั้งอยู่
เป็นสถานที่อันเลื่องชื่อที่สุดในอุทยานหลวงแห่งนี้…ตำหนักสดับธารมรกต
จักรพรรดิซวนจัดงานเลี้ยงส่งกู้ซีจิ่วที่นี่
งานเลี้ยงครานี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ข้าราชบริพารฝ่ายทหารและพลเรือนกับครอบครัวมากันแทบทั้งหมด
ชายหญิงแต่งองค์ทรงเครื่องงดงาม แต่ละคนแต่งกายอย่างหรูหรา ฝูงชนคับคั่ง ผนวกกับมีนางกำนัลเดินขวักไขว่อยู่ตลอดเวลา ภาพฉากนี้จึงครื้นเครงยิ่งนัก
งานเลี้ยงครั้งนี้ ไม่ได้จัดแบบหนึ่งโต๊ะต่อทุกครอบครัวเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นหนึ่งโต๊ะต่อสามคน
เหล่าขุนนางแถวหนึ่ง เหล่าฮูหยินแถวหนึ่ง ส่วนบรรดาคุณหนูคุณชายที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยเหล่านั้นต่างจัดกลุ่มกันเอง เป็นแบบสามคนต่อหนึ่งโต๊ะเช่นกัน พวกเขานั่งด้วยกันตาม
ความคุ้นเคย
ตามคำแถลงของพระสนมกุ้ยเฟยผู้จัดงานเลี้ยงนี้คืออยากให้คนหนุ่มสาวได้นั่งด้วยกัน จะได้คึกคักเสียหน่อย
เนื่องจากคนส่วนใหญ่ล้วนทราบล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม ทุกคนจึงเริ่มทำความรู้จักกันอย่างช้าๆ เหล่าเด็กสาวพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันครึกครื้นอย่างยิ่ง