บทที่ 350
ไร้รูปโฉมไร้ความดีแต่มีความสามารถ
องค์ชายทั้งสามฐานะสูงศักดิ์ ย่อมนั่งกันคนละโต๊ะ
ผ่านไปอีกสักพัก ติ้งเป่ยโหว ซื่อจื่อหลงโม่เหยียนก็มาถึง
สี่ยอดคุณชายแห่งเมืองหลวงมาถึงแล้วทั้งสี่คน ย่อมโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ บรรดาหญิงสาวทั้งหลายต่างรู้สึกว่าคุ้มแล้วที่ตนได้มาที่นี่
ไม่รู้ว่ามีสายตาของหญิงสาวมากน้อยเพียงใดจับอยู่บนร่างของพวกเขา
หญิงสาวที่ใจกล้าหน่อยก็เดินตรงเข้าไปหาหลงโม่หยียน ถามว่า ขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่?
หลงโม่เหยียนเป็นสุภาพบุรุษผู้สุภาพอ่อนโยน ย่อมปฏิเสธไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีโฉมตรูสองนางนั่งอยู่ข้างกายเขา
สตรีที่มีฐานะสูงส่งและมั่นใจในรูปโฉมของตนอย่างยิ่งไปสอบถามองค์ชายหรงเช่อว่าขอนั่งร่วมโต๊ะได้หรือไม่ ทว่ากลับถูกองค์ชายหรงเช่อที่โบกพัดอยู่ปฏิเสธแบบยิ้มๆ นางได้รับความอับอาย ล่าถอยไปอย่างเซื่องซึม
ส่วนองค์รัชทายาทหรงเจียหลัว เขามีรัศมีชวนให้คนไม่กล้าเข้าใกล้มาตั้งแต่กำเนิดแล้ว ต่อให้มีหญิงสาวแข็งแรงใจกล้าไปที่โต๊ะเขา เมื่อถูกเขามองอย่างเย็นชาแวบเดียวก็ไม่กล้าขยับแล้ว
ส่วนองค์ชายหรงฉู่ย่อมได้รับความนิยมจากเหล่าสตรี เดิมทีเขาอยากจะมีนํ้าใจต่อโฉมงามสักหน่อย จึงอนุญาตให้หญิงสาวสองนางนั่งข้างกายได้
แต่พอเห็นองค์รัชทายาทหรงเจียหลัวและองค์ชายหรงเช่อนั่งเพียงลำพัง เขาก็รู้สึกว่าการนั่งร่วมโต๊ะกับผู้อื่นเป็นการเสียหน้า ดังนั้นข้างกายเขาจึงไม่หลงเหลือผู้ใดเช่นกัน เพียงแต่โต๊ะของเขาอยู่ใกล้กับโต๊ะของหลานเจาเอ๋อร์ธิดาของอัครมหาเสนาบดียิ่ง
องค์จักรพรรดิกำหนดเวลาไว้ยามโหย่ว[1] แล้มจักรพรรดิซวนยังเสด็จมาถึงก่อนเวลาหนึ่งเค่อด้วย
เมื่อทุกคนทำความเคารพเสร็จ จักรพรรดิซวนกวาดสายตามองภายในตำหนักพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาตกลงบนร่างกู้เซี่ยเทียน “ขุนนางกู้เหตุใดบุตรสาวเจ้ายังไม่มา?”
ในใจของกู้เซี่ยเทียนร้อนรนยิ่งนัก บนหน้าผากหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบ ได้แต่เพียงกล่าวว่า “บุตรสาว…บุตรสาวมีเหตุให้ล่าช้า น่าจะมาถึงในไม่ช้าพะย่ะค่ะ…”
มีบางคนเยาะหยัน “ยามนี้คุณหนูหกไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เป็นศิษย์ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ ย่อมสำคัญตนไปบ้าง”
มีคนกล่าวต่อว่า “แต่จะสำคัญอย่างไรก็คงไม่สำคัญเท่าองค์ชายกับฝ่าบาทกระมัง? นางถึงกับให้ฝ่าบาทรอคอย!”
“เหอะๆ สตรีไร้ความสามารถนับว่ามีคุณธรรม ทว่าคุณหนูหกกลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไร้รูปโฉมไร้คุณธรรมแต่มีความสามารถ เพียงแต่อาศัยความสามารถมาจองหองก็ไม่ดีกระมัง?”
ขอเพียงสบโอกาส อริทางการเมืองเหล่านั้นของกู้เซี่ยเทียนก็จะเริ่มจับกลุ่มเย้ยหยัน
แน่นอน พวกเขาไม่กล้าพูดเลยเถิดจนเกินไป เพราะถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็ขึ้นชื่อว่าศิษย์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ หากพูดจาเลยเถิดแล้วล่วงรู้ไปถึงหูทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอาจจะนำมาซึ่งโทษทัณฑ์ แบบนั้นจะได้ไม่คุ้มเสีย
จักรพรรดิซวนเหมือนจะรับรู้ได้ จึงยื่นมือเข้ายับยั้งความขุ่นเคืองของเหล่าขุนนาง “จิ่วเอ๋อร์เป็นเด็กรักษาคำพูด บางทีนางอาจมีอะไรฉุดรั้งไว้ถึงมาไม่ได้ในยามนี้ ทุกคนอยู่ในความสงบก่อน ขุนนางกู้ก็ไม่จำเป็นต้องร้อนใจ”
จากนั้นเหลือบมององค์ชายหรงฉู่ “เจ้าสี่ เมื่อจิ่วเอ๋อร์มาถึงแล้วให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้านะ คนหนุ่มสาวนั่งด้วยกันจะได้คึกคักหน่อย”
องค์ชายหรงฉู่ตะลึงงัน นึกไม่ถึงว่าฝันร้ายจะกลายเป็นจริง จึงโพล่งออกมา “ให้นางนั่งกับลูกเกรงว่าจะไม่เหมาะสม…”
เขาไม่อยากนั่งกับนังอัปลักษณ์คนนั้น!
ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าเสด็จพ่อจะจัดการเช่นนี้ เมื่อครู่เขาคงอนุญาตให้โฉมงามสองนางนั่งอยู่ข้างกายแล้ว! น่าเสียใจนัก!
จักรพรรดิซวนมุ่นหัวคิ้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าลูกคนนี้จะไม่ไว้หน้าเขาถึงขนาดนี้! ยามกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง องค์รัชทายาทหรงเจียหลัวที่อยู่ด้านข้างพลันเปิดปากเอ่ย “เสด็จพ่อ ถ้าซีจิ่วมาถึงให้นางนั่ง ข้างกายลูกเถิด ลูกมีเรื่องจะขอคำชี้แนะจากนาง”
ฝูงชนตกตะลึง
ฝ่ายองค์ชายหรงเช่อโบกพัดพลางแย้มยิ้ม “ให้นางนั่งข้างกายลูกได้เช่นกันนะพะย่ะค่ะ”
องค์ชายหรงฉู่ปรารถนาให้พวกเขาเอ่ยเช่นนี้อยู่แล้ว รีบกล่าวทันที “เสด็จพ่อ พระองค์ทรงดูเถิด เสด็จพี่กับน้องแปดล้วนอยากให้คุณหนูหกนั่งข้างกายตน ลูกมิกล้าแย่งชิงเกียรติของผู้อื่นหรอกพะย่ะค่ะ” ฝูงชนยังคงตกตะลึงต่อไป
พรรคพวกฝ่ายองค์รัชทายาทอดจะยกย่องเจ้านายตนไม่ได้ ไม่ชมชอบรูปโฉมแต่ชื่นชมความสามารถ นี่สิลักษกณะของผู้สืบทอดบัลลังก์ในอนาคต!
……………………
[1] ยามโหย่ว คือช่วงเวลาตั้งแต่ 17:00 น. -18:59 น.