บทที่ 381
เจรจายกเลิกสัญญาหมั้นหมาย 4
ตามปกติแล้วการประหารนักโทษของอาณาจักรเฟยซิงมีอยู่สองช่วงเวลา
หนึ่งคือยามเที่ยง ยามนั้นไอหยางเข้มข้นที่สุด ถึงจะเป็นคนที่ตายอย่างโหดร้าย ก็จะไม่กลายเป็นวิญญาณแค้นวิญญาณชั่วร้ายง่ายๆ
ดังนั้นปกติแล้วคนที่ถูกประหารชีวิตในช่วงเวลานี้จึงเป็นผู้ที่มีโทษมหันต์หรือมีนิสัยเหี้ยมโหด เมื่อสิ้นชีพไอชั่วร้ายจะถูกแสงตะวันสาดส่องจนสูญสลายหายไป แผลงฤทธิ์ไม่ได้อีก
สองคือยามเหม่า[1]หนึ่งเค่อ ยามนั้นฟ้าสว่างเพียงรำไร ไอหยางยังไม่พุ่งสูง ไอหยินยังไม่สลายไป นักโทษที่ถูกประหารในยามนี้ส่วนใหญ่จะเป็นขุนนางใหญ่หรือชนชั้นสูง หลังจากพวกเขาตาย วิญญาณจะได้เดินทางสู่ปรภพง่ายๆ ไม่ต้องถูกแสงอาทิตย์อันร้อนแรงแผดเผาจนวิญญาณแหลกสลาย
เวลาประหารองค์ชายหรงเหยียนและกู้เทียนฉิงก็คือยามเหม่าหนึ่งเค่อ ยามที่ดาบสังหารของเพชฌฆาตฟันลงมา โลหิตที่พุ่งกระเด็นไม่ได้ไหลลงพื้น โลหิตทั้งหมดหยดลงบนชุดนักโทษที่พวกเขาสวมใส่อยู่…
………………………
ครอบครัวของนักโทษที่ถูกประหารย่อมไม่สิ้นเปลืองกำลังทรัพย์มาจัดการงานศพให้ หลังจากนำศพกลับบ้าน ก็จะใส่โลงฝังอย่างลวกๆ
คนเช่นนี้ไม่อาจนำไปฝังในสุสานประจำตระกูลได้ กู้เซี่ยเทียนไม่ต้องการเห็นตอนที่บุตรสาวต้องตายอย่างน่าเวทนา หลังจากสั่งการให้คนนำศพกลับมาก็สั่งให้ฝังโดยไม่มองด้วยซ้ำ โดยฝังไว้ใกล้ๆ หลุมศพของเหลิ่งเซียงอวี้บนเนินเขาแห่งหนึ่ง
สองแม่ลูกคู่นี้โหดร้ายใจดำต่อผู้อื่นมาตลอด ดังนั้นถึงแม้กู้เซี่ยเทียนจะส่งคนไปเฝ้าสุสานแห่งนี้ แต่คนเฝ้าสุสานก็ไม่ได้ใส่ใจดูแล พอฟ้ามืดก็จากไปแล้ว
คนเฝ้าสุสานผู้นี้ดื่มสุราอยู่ที่โรงเตี้ยมตรงตีนเขาถึงสองชั่วยามเต็มๆ กลับมาเมื่อจวนจะดึกดื่น
เขาเดินวนหน้าหลุมฝังศพรอบหนึ่ง รู้ลึกรางๆ ว่าหลุมฝังศพของกู้เทียนฉิงเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง มีร่องรอยว่าดินถูกพลิกขึ้นมาใหม่
แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ หันหลังเดินกลับไปที่กระท่อมของตน
หลังจากองค์ชายหรงเหยียนสิ้นชีพก็ไม่ได้ฝังไว้ในสุสานราชวงศ์ แต่ฝังไว้ในจุดฮวงจุ้ยมงคล ซ้ำายังส่งคนมาเฝ้าโดยเฉพาะ
ผู้ดูแลคนนี้วรยุทธ์ไม่เลว เป็นเจ้าหน้าที่เล็กๆ ที่ไม่มีความทะเยอทะยาน เมื่อคนผู้นี้ถูกส่งมาฝ้ผาสุสานก็รู้สึกขุ่นเคืองใจ
เมื่อล่วงสู่ยามราตรีไร้ซึ่งผู้คน เขาถีบป้ายจารึกหลุมศพของหรงเหยียนอยู่หลายที เกลียดองค์ชายผู้นี้ที่เขาตายแล้วยังถ่วงรั้งอนาคตของผู้อื่น
ขณะที่เตะถีบระบายอารมณ์อยู่ ด้านหลังก็มีสายลมพัดผ่าน สมองเขาวิงเวียนขึ้ยีนมาทันที ก่อนจะร่วงลงไปกองบนพื้น
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าหลับใหลไปนานเพียงใด เมื่อเขาฟื้นขึ้นมา ก็เป็นยามที่จันทร์เสี้ยวแขวนอยู่กลางฟ้าแล้ว เขาดีดตัวขึ้นมา กวาดมองรอบด้าน ไม่พบส่งผิดปกติอันใด เขาถึงขั้นไม่ทราบว่าตัวเองหลับไหลไปได้อย่างไร
เขามองหลุมศพขององค์ชายหรงเหยียนตามสัญชาตญาณ หลุมศพนั้นคล้ายจะไม่เหมือนเดิมอยู่บ้าง ราวกับถูกขุดขึ้นมาแล้วกลบฝังลงไปใหม่
เขาตะลึงงัน อดไม่ได้ที่จะขุดหลุมศพเปิดโลงดู แล้วก็ส่งเสียงไม่ออกไปชั่วขณะ ศพขององค์ชายหรงเหยียนไม่อยู่แล้ว! ในโลงมีเพียงเสื้อผ้าชุดหนึ่งเท่านั้น!
ศพหายไปจากหลุมนับเป็นโทษหนัก ดีไม่ดีอาจถูกตัดศีรษะได้
คนผู้นี้ย่อมไม่กล้ากระโตกกระตาก คิดว่าจะไม่ให้ใครรู้จึงกลบหลุมฝังศพให้ดีอีกครั้ง ทำตัวเป็นปกติเหมือนก่อนหน้านี้ เขายุ่งวุ่นวายอยู่ค่อนคืน เมื่อรู้สึกว่าไม่มีพิรุธใดอีกแล้วถึงไปพักผ่อน
เหตุการณ์นี้นอกจากคนเฝ้าสุสานทั้งสองแล้วก็ไม่มีผู้ใดทราบ
…………………….
ในหุบเขามีกระท่อมหินเรียบง่ายอยู่หลังหนึ่ง ทว่าเครื่องเรือนในกระท่อมกลับไม่เรียง่าย ถึงขั้นค่อนข้างพิสดารด้วยซ้ำ
มีลาดลายประหลาดวาดไว้บนผนังรอบด้าน ดูคล้ายยันต์คาถา
ในกระท่อมยามนี้มีตั่งอยู่สองตัว บนตั่งแต่ละตัวมีคนสองคนนอนอยู่ หนึ่งหญิงหนึ่งชาย ล้วนสวมใส่ชุดนักโทษเปื้อนโลหิต เป็นหรงเหยียนและกู้เทียนฉิง!
ข้างร่างพวกเขามีชายคลุมหน้าผู้หนึ่งกำลังยุ่งง่วนอยู่ คนผู้นี้สวมหมวกโม่งสีดำ สวมผ้าคลุมผืนใหญ่ การแต่งกายเช่นนี้ไม่เพียงแต่มองไม่เห็นหน้าตาของเขาเท่านั้น กระทั่งเป็นบุรุษหรือสตรีก็ยังดูไม่ออก
ยันต์คาถาโบกสะบัดอยู่ที่ปลายนิ้วคนผู้นี้ ซัดลงบนร่างองค์ชายหรงเหยียนและกู้เทียนฉิงเป็นครั้งคราว