บทที่ 425
สยบ 4
ความจริงแล้วตี้ฝูอีให้นกตัวนั้นแก่เธอเพื่อหลอกลวงเธอสินะ?!
“น่าชังนัก! เขาหลอกข้าจริงๆ ด้วย!” กู้ซีจิ่วกำหมัด
“ผู้ใดหลอกเจ้า?” ซือเฉินเลิกคิ้ว
ด้วยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ กู้ซีจิ่วจึงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบัดซบผู้นั้น!”
ซือเฉินนิ่งงัน
เขามองเธอครู่หนึ่ง “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย…หลอกลวงเจ้าอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วหยิบนกชี้ทางตัวนั้นออกมา ชี้ตามันแล้วถามซือเฉิน “นี่คือนกชี้ทางใช่ไหม? ทิศทางที่ตามันมองน่าจะเป็นทิศใต้กระมัง?”
ซือเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าทิศที่ตามันมองคือทิศใต้?”
กู้ซีจิ่วจิ้มปากนก นกตัวนั้นพลันเอื้อนเอ่ยวจีนั้นออกมา “วิหคเพลิงแผดเผาตนเพื่อพ้นทุกข์คือดินแดนที่หทัยข้าใฝ่หา”
“วิหคเพลิงแผดเผาตนน่าจะสื่อถึงไฟกระมัง? ใจมันถวิลหาแดนแห่งไฟ มิใช่สื่อถึงทิศใต้หรอกหรือ? ตามมันย่อมไปทิศใต้แน่นอน”
ซือเฉินยกมือนวดคลึงหว่างคิ้ว “บูรพาก่อเกิดอู่ถ่ง[1] วิหคไฟเกาะกิ่งไม้นิพพาน กลอนบทนี้เคยได้ยินหรือไม่?”
มีกลอนเช่นนี้ด้วยหรือ?
กู้ซีจิ่วส่ายหัว ทว่าคล้ายจะเข้าใจบ้างแล้ว “กล่าวเช่นนี้ แปลว่าทิศทางที่มันมองสื่อถึงทิศตะวันออกหรือ?”
“มิผิด!”
กู้ซีจิ่วลงไปนั่งกองกับพื้น ซือเฉินจึงนั่งลงเป็นเพื่อนนาง เพียงแต่เขารักสะอาดมาก ฝุ่นธุลีบนพื้นถูกลมจากแขนเสื้อเขาพัดกระจายไปหมด
กู้ซีจิ่วเหม่อลอยไปพักใหญ่ ซือเฉินรู้ว่าเธอได้รับความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวง ดังนั้นจึงไม่รบกวนเธอ
‘เสี่ยวชาง เจ้าตัวทุเรศ เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหม? ถึงไม่เตือนข้า!’ กู้ซีจิ่วโทษหยกนภา
หยกนภาที่ได้รับความไม่เป็นธรรมเอ่ย “เจ้านาย ข้าก็ไม่เคยได้ยินกลอนนั้นมาก่อนนะ”
‘จะเป็นไปได้อย่างไร? มิใช่ว่าเจ้ารู้ทุกสิ่งหรอกหรือ?’
‘ข้า…ข้าไม่สนใจเรื่องกาพย์กลอน’ มันสนใจตัวละครและเรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้ ส่วนสิ่งของประเภทกาพย์กลอนบทกวีอะไรพวกนั้น ไม่มีความสนใจเลยสักนิด ย่อมจดจำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้
‘ที่แท้เจ้าก็ไร้อารยะ’ กู้ซีจิ่วดูหมิ่นมัน
หยกนภากล่าวอย่างทะนงตัว “กาพย์กลอนกวีมีประโยชน์ตรงไหน? พวกนักกวีเหล่านั้นเพียงแต่สำรอกนํ้าย่อยอวดอ้างว่ามีอารยะเท่านั้น ที่แท้ก็สร้างภาพกันหมด…”
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ‘ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสร้างภาพเกินไปจริงๆ แค่นกตัวหนึ่งก็ทำให้วุ่นวายถึงเพียงนี้ เพียงสลักคำว่านกชี้บูรพาไว้บนร่างมันก็จบไปแล้วมิใช่หรือ? จะให้มันท่องบทกวีไปทำไม ซ้ำยังเป็นกลอนที่พิลึกถึงเพียงนี้อีก!’
หยกนภามีศัตรูคู่แค้นคนเดียวกับเธอ ‘มิผิด พิลึกยิ่งนัก กลอนวรรคนี้เกรงว่าคงมีเพียงพวกคงแก่เรียนถึงจะกระจ่าง’
ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังใช้กระแสจิตสื่อสารกับหยกนกาอยู่ ซือเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ พลันเอ่ยเนิบๆ “กลอนบทนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ประพันธ์ ผู้คนในทวีปซิงเยวี่ยที่พอรู้หนังสือล้วนรู้จักกันทั้งนั้น เสี่ยวซีจิ่วเจ้าไม่รู้จักจริงๆ หรือ?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก
ซือเฉินส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “การไร้การศึกษาช่างน่ากลัวจริงๆ! เจ้าดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าแม้แต่บทกลอนง่ายๆ ก็ไม่รู้จัก”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “ข้าไม่ชอบท่องภาษิตเยี่ยงผู้อื่น!”
นี่คงไม่ใช่ยุคพิเศษอันใดแล้ว ผู้คนล้วนท่องจำภาษิตคร่ำครึเหล่านั้น…
เนื่องจากผิดทางอย่างร้ายแรง หลังจากกู้ซีจิ่วเซื่องซึมอยู่พักหนึ่งในที่สุดก็เรียกสติกลับมาได้แล้ว
ยามนี้ผ่านไปสองวันสองคืนแล้ว เธอวิ่งจากยอดเขาที่สามมาถึงยอดเขาที่ห้า เช่นนั้นถ้าเธอเดินทางจากยอดเขาที่ห้ากลับไปสู่ยอดเขาที่สามน่าจะใช้เวลาไม่ต่างกันนัก อย่างมากก็แค่สองวันเท่านั้นจากยอดเขาที่สามจนกระทั่งออกจากป่าใช้เวลาอย่างมากสามวัน เธอยังมีเวลาพอ น่าจะออกจากป่าบัดซบผืนนี้ได้ภายในแปดวัน
เธอหยิบผลไม้สองลูกออกมาจากถุงเก็บของ โยนให้ซือเฉินลูกหนึ่ง
ส่วนตนเริ่มกัดกินผลไม้ที่อยู่ในมือ เธอต้องฟื้นฟูกำลังสักหน่อย แล้วค่อยวางแผนต่อ