Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 491

บทที่ 491

โอหังและอคติ 3

“หุบเขาลึกแห่งนี้มีสัตว์ร้ายอยู่ไม่น้อย ทำไมพากเจ้าไม่ไปล่าสัตว์ล่ะ?”

สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อยู่ในป่าลึก เธอไม่สามารถออกไปได้ แต่เจ้าสองตัวนี้ยังสามารถออกไปได้

เธอสอบถามมาอย่างชัดเจนแล้ว ตกกลางคืนศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์สามารถปล่อยสัตว์เลี้ยงข้างกายเข้าไปในหุบเขาได้ กล่าวคือให้พวกมันได้ฝึกฝนนิสัยอันดุร้ายและความสามารถในการเอาชีวิตรอด

“เจ้านาย ถ้าพวกเราไปล่าสัตว์กลับมาแล้วท่านจะย่างมันอย่างไร?” เจ้าหอยยักษ์ติดใจฝีมือการย่างของกู้ซีจิ่ว ไม่คิดจะกินเนื้อดิบแล้ว

“เอาเถอะน่า” กู้ซีจิ่วตบเปลือกมันเบาๆ “พวกเจ้าไปเถิด ระวังหน่อย อย่าถูกใครเขาจับไปตุ๋นนํ้าแกงดื่มเสียล่ะ”

“วางใจได้เลย” เจ้าหอยยักษ์มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ผู้ที่สามารถตุ๋นข้าได้ยังไม่เกิดหรอก”

มันเคลื่อนไหวอืดอาด จึงย่อกายให้เล็กลง ใช้สองฝาหนีบหางลู่อู๋ไว้นิดๆ ให้มันวิ่งขนตนไป

ถึงแม้เจ้าลู่อู๋จะตัวเล็ก ทว่าว่องไวยิ่งนัก อีกทั้งยังเข้าใจภาษามนุษย์ด้วย มันร้องแง้วออกมา พาเจ้าหอยยักษ์วิ่งไปทันที

กู้ซีจิ่วยิ้ม เริ่มเตรียมอุปกรณ์สำหรับย่าง

เธอเตรียมได้ไม่เท่าไหร่ เจ้าลู่อู๋ก็วิ่งกลับมาแล้ว เจ้าหอยยักษ์กลิ้งลงมาจากหลังมัน ขยายร่างใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อ้าฝาออก ควักละมั่งบึกบึนอ้วนพีตัวหนึ่งออกมา…

ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจัดการละมั่งตัวนั้น จู่ๆ ก็คล้ายจะสัมผัสอะไรบางอย่างได้ จึงเงยหน้าขึ้นมา

อีกฝั่งของลำธารมีเด็กสาวคู่หนึ่ง สองนางยืนอยู่ สวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนทั้งคู่ นางหนึ่งสูงโปร่ง รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เอวเพรียวบาง รูปโฉมสะคราญล่มเมือง กู้ซีจิ่วรู้จักคนผู้นี้ นางก็คืออวิ่นซิงหลัวสานุศิษย์สวรรค์ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ คนนั้น

อีกนางหนึ่งทั้งผอมทั้งแห้ง ใบหน้าซีดเผือดเล็กเท่าฝ่ามือ ดวงตาเรียวเฉี่ยว จมูกงองุ้มเล็กน้อย ริมฝีปากบางเฉียบดั่งคมมีด สีปากก็ซีดจางยิ่งเช่นกัน เครื่องหน้าคมชัดดุดัน ไม่น่าคบหาอย่างยิ่ง

คนทั้งสองสวมชุดสีเดียวกัน เป็นเครื่องแบบของชั้นเรียนเมฆาม่วง

กระโปรงที่สวมใส่เป็นแบบเดียวกัน เมื่อสวมอยู่บนร่างอวิ๋นซิงหลัวแล้วพลิ้วไหวปานนางเซียน สวมอยู่บนร่างเด็กสาวนางนั้นแล้วช่างธรรมดาสามัญ…

อันที่จริงรูปโฉมของเด็กสาวนางนี้ก็นับได้ว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่พอยืนอยู่กับอวิ๋นซิงหลัวก็ถูกนางกลบรัศมี กลายเป็นอัปลักษณ์นอกคอก

อวิ๋นซิงหลัวเดิมทีก็งดงามมากอยู่แล้ว พอมายืนกับนาง ความงามนั้นก็ทำหัวใจสั่นไหวยิ่งกว่าเดิม

“ใครอนุญาตให้เจ้ามาก่อไฟย่างตรงนี้?” เด็กสาวผอมแห้งนางนั้นเปิดปากขึ้นมาก็ติเตียนเสียแล้ว

“ข้าเอง” กู้ซีจิ่วก้มหน้าจัดการละมั่งต่อ

“สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เป็นสถานที่บริสุทธิ์หลุดพันจากโลกภายนอก มาก่อไฟย่างตรงนี้มิใช่ทำให้มันแปดเปื้อนหรอกหรือ? พลังวิญญาณเจ้าต่ำต้อยก็แล้วไปเถิด แต่เหตุใดถึงไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้?”

ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เงยหน้าขึ้นมา นํ้าเสียงเย็นชา “กฎข้อใดของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่ไม่อนุญาตให้ศิษย์ก่อไฟปิ้งย่างที่นี่?”

เด็กสาวผู้นั้นตะลึงงัน สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่มีกฎข้อนี้อยู่จริงๆ…

นางเพียงอยากกลั่นแกล้งกู้ซีจิ่วที่เพิ่งมาใหม่ หัวใจพลันสั่นสะท้าน ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ย กู้ซีจิ่วก็กล่าวเนิบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่ากฎของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ท่านปรมาจารย์กู่เป็นผู้ตั้งด้วยตัวเอง ไม่มีมากไปและไม่มีน้อยไปกว่านั้น แม่นางจะพูดจะจาก็ระวังหน่อย อย่าพูดเหลวไหล”

เด็กสาวนางนั้นกระอักกระอ่วน ชะงักไปครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าว “ย่อม …ย่อมไม่มีกฎข้อนี้อยู่ แต่ที่นี่คือสำนักศึกษาอันทรงเกียรติ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาช้านาน ทำให้แปดเปื้อนเพียงนิดก็นับว่าเป็นการดูหมิ่น แต่เจ้ากลับชำแหละละมั่งที่นี่ อีกทั้งยังจะย่างอีก ต้องก่อให้เกิดไออัปมงคลเป็นแน่! เจ้านึกว่าที่นี่คือจวนแม่ทัพในอาณาจักรเฟยซิงของเจ้าหรือไง? ยอมให้เจ้าทำตามอำเภอใจได้งั้นหรือ?”

กู้ซีจิ่วค่อยๆ วางละมั่งลงบนกองไฟ พลางกล่าวไปด้วย เธอพูดจาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ “ในเมื่อไม่มีกฎข้อนี้ เช่นนั้นเจ้ายังพล่ามอยู่ที่นี่อีกทำไม?”

เด็กสาวนางนั้นคงนึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะกล่าววาจาแหลมคมถึงเพียงนี้ ใบหน้าเขียวคลํ้าทันที แล้วก้าวเข้ามา “เจ้ากล้าพูดจาเช่นนี้กับข้าเชียวหรือ?!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!