บทที่ 510
ข้าเชื่อนาง 1
ขอเพียงกู้ซีจิ่วลงนามรับรองในหนังสือตกลงด้วยตัวเองว่าจะจากไป ไม่หวนกลับมาอีกตลอดกาล เช่นนั้นต่อให้ศิษย์ผู้เข้ามาด้วยเส้นสายคนนี้ถูกเขาเตะกระเด็นออกไปจริงๆ ก็จะกลับมาไม่ได้อีก ต่อ ให้คนของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกหน้าด้วยตัวเอง เขาก็สามารถนำหนังสือตกลงฉบับนี้ออกมารับมือได้
นึกไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เสนอให้กู้ซีจิ่วลงนามในหนังสือตกลง ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็หล่นลงมาจากฟ้าเสียแล้ว…
กู่ฉานโม่ไม่ทราบว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะอุ้มกู้ซีจิ่วไปที่ใด มีใจอยากถามทว่าไม่มีความกล้า
รังสีรอบกายของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คาดเดายากเกินไป ทำให้หัวใจของผู้ที่ไม่เกรงกลัวฟ้าดินอย่างเขาสั่นสะท้านดั่งใบไม้ที่พลิกม้วนอยู่ในพายุหมุน…
พอออกมาจากคุกสะกดมาร สติสัมปชัญญะของกู้ซีจิ่วก็ตื่นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว
เมื่อฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่กู้ซีจิ่วกระทำก็คือจ้องมองกู่ฉานโม่ “เจ้าหอยยักษ์ล่ะ?! เจ้าทำอะไรกับมัน?”
เธอพูดจาอย่างไม่เกรงใจยิ่งมัก หากเป็นในอดีต กู่ฉานโม่ถูกผู้อื่นซักไซ้เช่นนี้คงโกรธเกรี้ยวไปนานแล้ว แต่บัดนี้พอมองเห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ เขาก็ไม่กล้าแล้ว!
“มัน…สบายดี”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังคงไม่วางใจ “มันอยู่ที่ไหน? ข้าอยากเจอมัน!”
กู่ฉานโม่นิ่งไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ย ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็พูดขึ้นมา “พาหอยตัวนั้นไปที่โถงลมรำเพย”
เห็นได้ชัดเจนยิ่งนัก ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไต่สวนคดีนี้ด้วยตัวเอง
ในใจของกู่ฉานโม่ไม่รู้ว่าจะเป็นสุขหรือเป็นกังวลดี ส่งเสียงตอบรับ ส่งสัญญาณให้ลูกศิษย์ที่ติดตามอยู่ข้างกาย ศิษย์ผู้นั้นจึงรับคำสั่งไป
โถงลมรำเพยเป็นสถานที่จัดการเรื่องราวสำคัญในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ และเป็นสถานที่สอบสวนศิษย์ที่กระทำความผิดใหญ่หลวง
ครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วมายังโถงลมรำเพย ได้ถูกคนผนึกพลังวิญญาณและกำลังภายในเอาไว้ ซ้ำยังถูกสกัดจุด จากนั้นก็บังคับให้คุกเข่าลงที่นี่ ยามนั้นแม้แต่เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นเธอก็ไม่มี ทำได้เพียงปล่อยให้ผู้อื่นลากไปลากมาเหมือนซากหมาตาย ต่ำต้อยด้อยค่าดั่งฝุ่นธุลี
ยามนี้เธอได้มาเยือนโถงลมรำเพยอีกครั้ง ทว่าเข้ามาโดยถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อุ้มไว้
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ย่อมนั่งลงบนตำแหน่งที่ทรงเกียรติที่สุด ส่วนเธอก็นั่งอยู่ในอ้อมแขนของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อีกที
มีคนกลุ่มใหญ่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง เมื่อกู้ซีจิ่วมองไป ก็เห็นเพียงร่างที่หมอบอยู่เป็นแถวๆ เท่านั้น…
เธอหลับตาลงเล็กน้อย นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างผู้แข็งแกร่งกับผู้อ่อนแอ สามวันก่อนเธอคุกเข่าอย่างจนตรอกอยู่ตรงนี้พยายามดิ้นรนแก้ต่างให้ตัวเอง ทว่าไม่มีใครฟังเธอเลยสักคน ทุกคนล้วนมอง เธอจากมมุมสูงด้วยท่าทีสูงส่ง ราวกับกับมองดูมดตัวหนึ่ง ร่ายความผิดอันเป็นเท็จออกมาแล้ว ตอกตรึงเธอไว้อย่างน่าอัปยศอดสู
บัดนี้เธอถูกโอบอุ้มไว้ในอ้อมแขนของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสูด และไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ คุกเข่าตัวสั่นงันงก อยู่บนพื้นราวกับเผชิญหายนะครั้งใหญ่
สายตาที่แฝงความเย็นชาไว้ของกู้ซีจิ่วกวาดผ่านผู้คนที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างทีละแถวๆ จดจำฉากนี้ไว้ในใจ
ล้าหลังก็จะถูกทุบตี อ่อนแอก็จะไม่มีสิทธิ์มีเสียง
ผู้ใดจะรับฟังคำแก้ต่างของมดตัวหนึ่งกันเล่า?
ไม่ว่าจะเป็นโลกใบไหน ก็ล้วนให้ความเคารพต่อผู้ที่แข็งแกร่ง
ต้องแข็งแกร่ง!
เธอจะต้องแข็งแกร่งขึ้น!
สักวันหนึ่งในไม่ช้าก็เร็ว เธอจะต้องกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เงยหน้าไม่อายฟ้าก้มหน้าไม่อายดิน
เมื่อก่อนยามที่กู้ซีจิ่วเพิ่งมาถึงโลกนี้ เป้าหมายของเธอคือใช้ชีวิตต่อไปให้ดี อยู่อย่างสง่าผ่าเผยในโลกใบนี้ ท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ทำตัวหลักลอยอิสระเสรีไม่ถูกผู้อื่นบงการ
แต่ยามนี้เธอปรารถนาจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกใบนี้ สามารถนั่งเคียงกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้
ยามที่ความคิดนี้ปรากฎขึ้นมา ตัวเธอก็ตกใจมากเช่นกัน
นั่งเคียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์? จะเป็นไปได้หรือ?
เธอเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือปลายคางที่เผยออกมาจากหน้ากากของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นิดๆ จากนั้นก็เป็นดวงตาที่เปล่งประกายวาววามคู่นั้นของเขา
…………………………
[1] ตอแยยากยิ่งกว่าผีเล็กผีน้อยที่อยู่ใต้การปกครองของพญายม อุปมาว่า ไม่ควรไปผิดใจหาเรื่องกับบริวารของผู้มีอำนาจ เพราะถึงแม้จะเป็นเพียงบริวารตัวเล็กๆ แต่ก็ยังขึ้นชื่อว่ามีผู้ยิ่งใหญ่คอยคุ้มหัวอยู่