Skip to content

วุ่นรักแดนสวรรค์ 57

  • by

Chapter 57

ตกอยู่กลางวงล้อมของอสูรหนู

“หงิงๆ” อสูรสุนัขครางแล้วนั่งลงตรงนั้น มันมองเทพแมวขาวอย่างเชื่อฟังยิ่ง

ธิดาสามมองมันอย่างไม่ไว้ใจ ต่อให้มันมีท่าทีเป็นมิตรอย่างไรก็ไม่อาจเชื่อใจได้ นี่อาจจะเป็นเล่ห์กลของมันที่หลอกเหยื่อให้ตายใจก็ได้ นางไม่ได้รู้จักมักจี่กับมันมาก่อน อีกทั้งตอนแรกมันก็พุ่งจู่โจมหมายจับกิน แล้วจู่ๆ มันก็เปลี่ยนท่าทีเป็นมิตรเช่นนี้ หากไม่ใช่เล่ห์กลแล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก อย่างไรก็ไม่อาจเชื่อใจมันง่ายๆ

จอมมารกลับมา เขาถือห่อผ้ามาห่อหนึ่ง เขาเดินไปนั่งตรงหน้าไป๋เมาแก้ห่อผ้าออก มีผลไม้รูปลักษณ์แปลกตาแปดเก้าผล “นี่คือลูกวารีกลืนปฐพี ท่านแม่ข้าชอบมาก ข้าเคยกินแล้วมันมีรสหวานและเปรี้ยว ข้าไม่ค่อยชอบจึงไม่กิน แต่เจ้าอาจจะชอบก็ได้”

ธิดาสามหยิบลูกวารีกลืนปฐพีมาพิศดู นางมองๆ แล้วยกขึ้นดมกลิ่น นางได้กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายส้มและลูกท้อสุกจากผลไม้ชนิดนี้ นางกางกรงเล็บคิดจะใช้เล็กกรีดดูเนื้อข้างใน จอมมารเห็นเช่นนั้นจึงรีบจับมือนางไว้ “ไม่อาจทำให้เปลือกฉีกขาดได้ หากฉีกขาดแล้วน้ำข้างในจะไหลออกมาจนหมด เจ้าต้องใช้ปากกัดแล้วดูดน้ำข้างในกินจนหมด หลังจากนั้นก็ทิ้งเปลือกไป”

จอมมารหยิบลูกวารีกลืนปฐพีขึ้นมาแล้วสาธิตวิธีกินให้นางดู เขากัดเปลือกเป็นรูเล็กๆ แล้วดูดน้ำข้างในกิน สีหน้าก็เบ้เหยเกนิดๆ

ธิดาสามมองดูเขากิน จนกระทั่งเขาโยนเปลือกที่แห้งเหี่ยวทิ้งไป

“กินเช่นนี้” จอมมารบอกแล้วยกแขนเสื้อเช็ดน้ำที่ติดมุมปาก สีหน้าเหยเกดั่งกินของเปรี้ยว

ธิดาสามเห็นว่าเขากินได้ เช่นนั้นผลไม้นี้นางก็ย่อมกินได้เช่นกัน นางจึงกัดลูกวารีกลืนปฐพี ทันทีที่กัดลงไปน้ำรสหวานอมเปรี้ยวก็ไหลออกมา นางรู้สึกว่ารสชาติอร่อยดี หวานๆ เปรี้ยวๆ คล้ายกับกินเนื้อส้มกับเนื้อลูกท้อพร้อมกัน

นางกินจนหมดลูก เปลือกที่เต่งตึงในตอนแรกก็กลายเป็นเหี่ยวแห้ง นางโยนเปลือกเหี่ยวแห้งทิ้งไป “อืม อร่อยดี ขอบคุณเจ้ามาก”

“เจ้าชอบเหมือนท่านแม่ข้าเลย ท่านแม่ข้า พวกนางกำนัลล้วนชอบลูกวารีกลืนปฐพีมาก สำหรับข้าแล้วข้าคิดว่ามันเปรี้ยวมากเกินไป” จอมมารยิ้มให้ไป๋เมา

ธิดาสามยิ้มตอบ แล้วหยิบลูกวารีกลืนปฐพีขึ้นมากินอีก

จอมมารมองนางอย่างมีความสุข ได้เห็นนางยิ้มก็ทำให้เขามีความสุขมาก มากเสียจนเขารู้สึกว่าทุกสิ่งล้วนงดงาม

ธิดาสามโยนเปลือกเหี่ยวแห้งทิ้งไปแล้วถามเขา “เจ้าไม่กินอีกรึ?”

จอมมารรีบส่ายหน้า “ไม่แล้วๆ ข้าไม่ชอบ มันเปรี้ยวเกินไปสำหรับข้า”

แล้วเขาก็เอาเสบียงแห้งออกมากิน ซึ่งเสบียงนี้ทหารเตรียมไว้ให้เขาก่อนที่เขาจะออกจากค่ายกลางทะเลทราย

ธิดาสามมองเนื้อย่างในมือจอมมารแวบหนึ่งอย่างไม่คิดจะขอกินด้วย

แต่เมื่ออสูรสุนัขได้กลิ่นเนื้อย่างมันก็หันขวับไปมอง ดวงตาเป็นประกายราวกับเห็นเหยื่ออันโอชะ

จอมมารเห็นอสูรสุนัขจ้องมองไม่ละสายตา เขามองมัน มันมองเนื้อในมือเขา เขาทำเฉยกินเนื้อไปเรื่อยๆ

อสูรสุนัขก็มองจ้องเขม็ง

จอมมารถูกมองอย่างกดดันมาก กดดันจนเขาต้องหันข้างให้มัน

“โฮ่ง” อสูรสุนัขเห่าทีหนึ่ง

จอมมารมองมันทีหนึ่งแล้วหันกลับไป

“โฮ่งๆ” อสูรสุนัขเห่าสองที

จอมมารมองมันทีหนึ่งแล้วหันกลับไป ไม่คิดจะแบ่งเนื้อให้มัน

อสูรสุนัขจึงเดินไปหาเทพแมวขาว มันทำหางลู่ครางหงิงๆ ราวกับจะฟ้องว่า ท่านดูเขาซิ เขาใจร้ายไม่แบ่งเนื้อให้ข้าบ้างเลย

จอมมารมองมัน หน้ากระตุกทีหนึ่ง ที่มันช่างเลือกวิธีการได้ฉลาดยิ่ง ใช้นางมากดดันเขา! ฮึ่ม! เจ้าสุนัขเจ้าเล่ห์!

“เจ้าเป็นอสูรไม่ใช่รึ เหตุใดจึงไม่ไปล่ากินเองล่ะ?” ธิดาสามมองมัน

อสูรสุนัขปากอ้าค้าง “…”

จอมมารเกือบจะหัวเราะออกมา “อุกๆ” แต่ติดที่ว่าเนื้อเต็มปาก เขาจึงรีบเคี้ยวเนื้อในปากให้หมดก่อนที่จะเผลอสำลัก

อสูรสุนัขมองเทพแมวขาว เห็นนางไม่สนใจมัน มันจึงเดินออกไปอย่างเย่อหยิ่ง เฮอะ! ข้าไปล่ากินเองก็ได้!

ธิดาสามมองอสูรสุนัขที่สะบัดหางเดินไปแล้วนางก็หยิบลูกวารีกลืนปฐพีอีกลูกมากิน

จอมมารกลืนเนื้อหมดแล้วจึงถามนางว่า “เจ้าสนิทกับเจ้าสุนัขนั่นตอนไหนรึ?”

“มันมาตีสนิทกับข้าเอง” ธิดาสามบอกแล้วกัดเปลือกลูกวารีกลืนปฐพี

จอมมารยิ้มบางๆ แล้วกัดเนื้อกิน

ธิดาสามกำลังจะโยนเปลือกทิ้ง พลัน! นางก็ได้ยินเสียงดังคึกๆ “หือ?”

จอมมารก็ได้ยินเช่นกัน เขาผุดลุกขึ้นทันที “หือ?”

ทั้งสองมองทิศที่ได้ยินเสียงนั้น แล้วเห็นอสูรสุนัขวิ่งพุ่งมา มันพุ่งมาไวอย่างยิ่ง เรียกว่าสุดฝีเท้ามันเลยทีเดียว

เมื่อพุ่งมาแล้วมันก็พุ่งไปอยู่ข้างหลังเทพแมวขาวทันที

เสียงคึกๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างใหญ่โตร่างหนึ่งขนาดเท่าหมีควายพุ่งพรวดมา มันมีสีน้ำตาลราวกับสีขี้โคลน รูปลักษณ์ของมันดูอย่างไรก็เหมือนหนู

“อสูรหนู!” จอมมารพูดออกมา 1 ประโยค

ธิดาสามมองจอมมารแล้วหันไปมองอสูรหนู

อสูรหนูมองอสูรสุนัขอย่างเดือดดาล “เจ้ากินลูกข้า เจ้าต้องตาย!”

ธิดาสามมองอสูรสุนัข เห็นที่ปากมันมีหางหนึ่งหางห้อยออกมา หางนั้นดูอย่างไรก็คือหางหนู

อสูรสุนัขได้มีเวลาหยุดหายใจหายคอแล้วมันจึงอ้าปากกลืนหางๆ นั้นลงไป

อสูรหนูขบเขี้ยวเคี้ยวกรามกรอดๆ มองดูอสูรสุนัขกลืนหางลูกของมันลงไป มันพุ่งตรงเข้าใส่อสูรสุนัขทันที

ธิดาสามเห็นอสูรหนูพุ่งมา นางจึงเรียกดาบเขี้ยวสิงห์ออกมา แต่ยังไม่ทันจะได้ลงมือจอมมารก็ตวัดปราณมารเข้าใส่อสูรหนูแล้ว ฉั๊วะ!

“อ๊ากกกก—” อสูรหนูร้องลั่นแล้วตกตายไปในทันที ศีรษะใหญ่หลุดตกลงพื้น ตัวล้มตึงลงไป เลือดไหลรินแดงฉานย้อมพื้นดินเป็นสีแดงเลือด

ธิดาสามหันไปมองจอมมาร

จอมมารทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้

ธิดาสามก้าวพรวดเดียวก็ถึงตัวจอมมารแล้ว นางยื่นมือไปแตะชีพจรของเขา สักพัก็ดึงมือกลับ “พลังเจ้าใช้การได้แล้ว”

“อืม” จอมมารพยักหน้า “คงเป็นเพราะข้าได้นอนหลับดีๆ กระมัง”

ธิดาสามเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ นางกำลังจะพูดบางอย่างออกไป พลัน! ก็ได้ยินเสียงคึกๆ ดังมาอีก คราวนี้เสียงนั้นดังคึกๆ นับไม่ถ้วนราวกับว่ามีอสูรหนูหลายตัวกำลังวิ่งมา

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

นางเห็นอสูรหนูหลายสิบตัววิ่งมา พวกมันหยุดกึกตรงด้านหลังอสูรหนูตัวแรก อสูรหนูตัวหนึ่งพุ่งไปหาอสูรหนูตัวแรก มันเอาจมูกดุนๆ อสูรหนูตัวแรกแล้วกรีดร้องลั่น “สามีข้าตายแล้ว!”

“พวกเจ้าฆ่าเสี่ยวสู่!” อสูรหนูขนสีเทาตวาดอย่างโกรธแค้น

“ท่านพ่อ พวกมันฆ่าพี่ใหญ่ พวกเราล้างแค้นให้พี่ใหญ่เถอะ” อสูรหนูขนสีน้ำตาลพูดอย่างโกรธแค้น

ธิดาสามมองเหล่าอสูรหนูฝูงนั้นอย่างไร้ทางเลือก จะอธิบายว่านางไม่ได้เป็นคนฆ่า แต่พวกมันจะฟังนางรึ พวกมันย่อมไม่ฟังอะไรแล้ว มีแต่ต้องตกตายกันไปข้างหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งเจ้าอสูรสุนัขก็แอบอยู่ข้างหลังนาง อสูรหนูพวกนี้ย่อมเห็นนางเป็นพวกเดียวกับอสูรสุนัขไปแล้ว อีกทั้งจอมมารก็ฆ่าอสูรหนูตัวนั้น ศึกนี้จะอย่างไรก็ไม่อาจเลี่ยงได้แล้ว

อสูรหนูพากันโอบล้อมศัตรูทั้งสามเอาไว้ทันที

จอมมารมองอสูรหนูฝูงนั้นอย่างระวังตัว เขาเอ่ยปากเตือนไป๋เมาว่า “เจ้าระวังตัวนะ เจ้าพวกนี้ว่องไวมาก”

“อืม” ธิดาสามพยักหน้า

อสูรหนูมองหน้ามองตากันแล้วพุ่งเข้าโจมตีศัตรูทั้งสามพร้อมๆ กัน

“แฮ่—”อสูรสุนัขแยกเขี้ยวแล้วกระโจนเข้าใส่อสูรหนูตัวหนึ่ง

อสูรหนูตัวนั้นหลบหลีกไวอย่างยิ่ง

อสูรสุนัขก็ไวไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หนึ่งสุนัขหนึ่งหนูพุ่งเข้าโจมตีกันและกันไปมา ส่งเสียงแฮ่ๆ จี๊ดๆ คำรามเข้าใส่กัน เท้าหน้าทั้งสองตะกุยเข้าใส่กันจนเลือดสาดกระเซ็น ปากก็ไล่กัดอีกฝ่ายอย่างไม่ลดราวาศอก

ธิดาสามก็รับศึกอสูรหนู 5 ตัว

จอมมารก็รับศึกอสูรหนู 7 ตัว

การรับศึกอสูรหนูตัวเดียวนับว่าไม่ยากเย็นอะไรเลย แต่เมื่อต้องมารับศึกอสูรหนูหลายตัวพร้อมกันเช่นนี้ก็นับว่าตึงมือยิ่ง ตัวหนึ่งพุ่งมา ด้านหน้า อีกหลายตัวก็พุ่งเข้ามาทางด้านข้างและด้านหลัง ทำให้จอมมารเกือบจะเพลี้ยงพล้ำหลายหน

ธิดาสามถูกล้อมเอาไว้ นางจึงใช้เวทบุปผาออกมา กลีบปุบผาโปรยปรายไปรอบตัวนาง

อสูรหนูถูกกลีบบุปผาบาดจนเลือดสาดถ้วนหน้า พวกมันถอยกรูดไม่กล้าพุ่งเข้าไป

ธิดาสามบังคับให้กลีบปุบผาขยายวงออกไป นางต้องรีบจบศึกคราวนี้ให้ไวที่สุดก่อนที่พลังเทพจะหมดลง

จอมมารพลาดท่าถูกอสูรหนูกัดแขนทีหนึ่ง เขาเผลอร้องออกมา “โอย”

ธิดาสามได้ยินเสียงร้อง นางมองฝ่าม่านกลีบบุปผาออกไป มองฝ่าวงล้อมของอสูรหนูออกไป เห็นจอมมารกำลังถูกอสูรหนูที่อยู่ด้านหลังพุ่งเข้าจู่โจม นางคิดเพียงแค่ต้องช่วยเขาให้ได้!

พลัน! เพลิงมรณะก็พุ่งออกไปสายหนึ่ง เผาอสูรหนูที่อยู่ด้านหลังจอมมาร

“อ๊ากกกกก—” อสูรหนูสีน้ำตาลร้องโหยหวน มันถูกเพลิงคลอกทั้งตัว มันร้องอย่างเจ็บปวดดิ้นไปดิ้นมา กลิ้งลงกับพื้นหวังจะดับเปลวเพลิง แต่เพลิงนี้ไม่ว่ามันจะกลิ้งกับพื้นอย่างไรก็ไม่อาจดับได้

เหล่าอสูรหนูตกตะลึง พวกมันถอยกรูดทันที

“อ้า! นั่นเพลิงอะไร? ไยจึงไม่อาจดับได้? อีกทั้งยังร้อนยิ่งนัก”

“นี่ไม่ใช่เพลิงสามัญ” อสูรหนูสีเทาพูดขึ้นมา

“ท่านพ่อ หนีก่อนเถอะ” อสูรหนูสีน้ำตาลอ่อนพูดอย่างหวาดกลัว มันกลัวจนขนทั้งตัวชี้ชันแล้ว

จอมมารตะลึงมองเปลวเพลิงที่กำลังเผาอสูรหนู เพลิงนี้เขาจำได้ดี เป็นเพลิงที่เผาไป๋เมาในตอนนั้น และเป็นเพลิงที่เผากิ่งไม้ในตอนที่เขาพบสตรีที่หน้าตาเหมือนไป๋เมาที่ริมทะเลสาบ เขาหันไปมองไป๋เมา

ธิดาสิงห์ที่เขาตามหาก็มีเพลิงนี้ บัดนี้ไป๋เมาคนนี้ก็มีเพลิงนี้ เช่นนั้นหมายความว่านางกับธิดาสิงห์คือคนๆ เดียวกันใช่หรือไม่!

“ธิดาสิงห์ เจ้าคือธิดาสิงห์” จอมมารเดาออกไปอย่างมั่นใจเก้าส่วน

“อืม” ธิดาสามพยักหน้า

จอมมารรู้สึกเหมือนถูกตีแสกหน้าเข้าจังๆ คนที่เขาตามหากลับกลายเป็นคนๆ เดียวกับที่เขาคิดถึงมาตลอดหลายปี!

ไป๋เมาคือธิดาสิงห์! ธิดาสิงห์คือไป๋เมา!

เขาคิดกลับไปกลับมาหลายตลบ

อสูรหนูมองหน้ามองตากันแล้วพวกมันก็รีบวิ่งหนีไปทั้งฝูง

ส่วนอสูรหนูที่ถูกเพลิงเผาก็ตกตายกลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่ง แล้วเปลวเพลิงก็พุ่งกลับไปหาธิดาสาม เปลวเพลิงหายวับไป

อสูรสุนัขมองขี้เถ้ากองนั้นอย่างตกตะลึงพรึงเพริด มันรู้สึกว่ามันโชคดีไม่น้อยที่ไม่คิดจะฆ่าเทพแมวขาวอีก เพราะไม่เช่นนั้นมันคงมีสภาพเหมือนอสูรหนูตัวนั้น กลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่ง!

ธิดาสามเห็นว่าพวกอสูรหนูหนีไปหมดแล้ว นางก็ไม่คิดจะตามฆ่าล้างพวกมัน นางเพียงแค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น หนีไปแล้วก็หนีไปแล้ว นางจึงเก็บดาบเขี้ยวสิงห์แล้วเก็บลูกวารีกลืนปฐพีใส่ถุงผ้า จากนั้นนางก็เดินทางต่อ

อสูรสุนัขเห็นเทพแมวขาวเดินไปแล้วมันก็รีบตามหลังนางไปทันที

จอมมารสะดุ้งดึงสติกลับมา เขารีบเดินตามนางไป ที่แท้แล้วไป๋เมาก็คือธิดาสิงห์

เขาสงสัยยิ่งนักว่าเหตุใดเขาจึงเห็นร่างแท้ของนางเป็นแมวเล่า!? นี่!? เขาจะต้องรู้ให้ได้!

เมื่อสงสัยแล้วเขาก็รีบเดินไปหานาง ถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นแมวได้ล่ะ?”

“ด้วยของวิเศษอย่างหนึ่งข้าจึงอำพรางร่างแท้กลายเป็นแมวได้” ธิดาสามตอบครึ่งหนึ่ง

จอมมารก็ไม่ถามต่อว่าของวิเศษนั้นคือสิ่งใด เขารู้ดีว่าถึงถามนางก็ไม่ตอบ นางตอบเท่านี้เขาก็พอใจมากแล้ว

“เจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก อำพรางได้ทั้งร่างแท้และเพศจนข้าหลงเข้าใจผิดไปมากมาย” จอมมารชมอย่างจริงใจ

ธิดาสามไม่พูดอะไรนางเดินต่อไปเรื่อยๆ

จอมมารเหล่มองอสูรสุนัขแล้วถามนางว่า “เจ้าจะเอามันกลับไปด้วยรึ?”

ธิดาสามมองจอมมาร จอมมารก็เหล่ตาไปที่อสูรสุนัข ธิดาสามมองตามแล้วเบนสายตากลับมามองจอมมาร พูดว่า “มันตามข้ามาเองนะ ข้าไม่คิดจะเอามันกลับไปด้วยหรอก เดี๋ยวมันจะไปทะเลาะกับเผ่าแมวเข้า คงได้ถูกเผ่าแมวรุมกัดตาย”

“อ่อ” จอมมารพยักหน้ารับรู้

อสูรสุนัขได้ยินคำพูดของเทพแมวขาว มันรู้สึกเสียใจมาก มันอุตส่าห์ยอมเป็นมิตรด้วยแล้วแท้ๆ เหตุใดนางจึงเสือกไสไล่ส่งมันเช่นนี้เล่า พูดเสียจนมันไร้ศักดิ์ศรีเป็นฝ่ายวิ่งตามนางไปเอง นี่ๆ เจ้าแมวน้อย ข้าก็มีศักดิ์ศรีนะ

มันหยุดเท้ากึก! ไม่เดินตามต่อ

ธิดาสามรู้สึกว่าอสูรสุนัขไม่เดินตามมา นางจึงหันไปมองมันแวบหนึ่งแล้วเดินต่อไป ไม่สนใจมันอีก

จอมมารก็หันไปมองแวบหนึ่งแล้วเดินตามนางไปติดๆ มันไม่ตามมาก็ดีแล้วเขาจะได้อยู่กับนางสองต่อสอง ไม่มีมันเป็นก้างขวางคอ ฮี่ๆๆๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!