Skip to content

ราชินีพลิกสวรรค์ 278

ตอนที่ 278

จักรพรรดินีได้โปรดปล่อยเด็กเหล่านี้ไป

ลังเลหรือ

ความรู้สึกแบบนี้ ไม่เคยเกิดกับตัวเขามาก่อน

มันคืออะไร…ถึงทำให้เปลี่ยนแปลงไป

ดวงตาของเขาค่อยๆ แหลมคมขึ้น แต่พลังที่อยู่ในลูกแก้วสีฟ้าที่ส่องประกายกลับอ่อนตัวลงอย่างมาก ถึงขั้นไม่อยากให้ลูกแก้วนั้นเสียพลังที่มีอยู่จนแตกสลายไป

“องค์จักรพรรดิ”

เสียงของอวี้ฉีลอยเข้ามา

ขณะที่ฝ่ามือของเขาพลิกขึ้นลงไปมา ลูกแก้วแห่งความทรงจำได้หายไปอีกครั้ง

“มีเรื่องอะไร” นํ้าเสียงของเขาดูน่าเกรงขาม ไร้นํ้าใจ ทำให้คนที่ได้ฟังทำได้เพียงสวามิภักดิ์

สายตาของอวี้ฉีมองต่ำ “ทางทะสาบเป่ยหงส่งข่าวมาว่าจักรพรรดิเฝ่ยประกาศเก็บตัว แต่แท้จริงแล้ว เหมือนหายสาบสูญไป”

“เกี่ยวอะไรกับข้า” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา

มุมปากอวี้ฉีกระตุกอย่างรุนแรง ได้แต่ตำหนิในใจ ความสัมพันธ์ของท่านกับจักรพรรดิเฝ่ยก็ปรากฏชัด แก่ตา จากนั้น เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา และเมื่อแจ้งข่าวนี้เสร็จแล้ว เขาได้ถอยออกไป

หลังจากอวี้ฉีเดินออกไปแล้ว เขาพลิกมือขึ้นอีกครั้ง ลูกแก้วแห่งความทรงจำสีฟ้าก็ได้ปรากฏขึ้น

ครั้งนี้ภายในลูกแก้วสีฟ้านั้น ปรากฏเงาของคนๆ หนึ่งขึ้นมาเล็กๆ ลักษณะเหมือนเขาไม่มีผิด แต่หาก มองด้านความสง่างามกลับมีบางอยางที่แตกต่าง

ดวงตาคู่นั้นกำลังปิดลง ดูสงบและเยือกเย็นราวกับหลับไป

“ข้าอยากจะเห็นว่ามีอะไรที่หลงเหลืออยู่ในใจเขาอย่างลึกซึ้งกันแน่” เขานำลูกแก้วสีฟ้าที่ส่องประกาย กดลงไปตรงกลางระหว่างคิ้ว

เมื่อลูกแก้วหลอมเข้าไปที่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ภาพเหตุการณ์ต่างๆ หลั่งไหลเข้ามา การระมัดระวังตัวเป็นส่วนหนึ่งของเขา แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำนั้น

……………..

ณ อาณาจักรจยาเซียน

พระราชโองการฉบับนั้น ถูกประกาศออกไปเพียงไม่กี่วัน

ภายใต้พระราชโองการนี้ เหล่าราษฎรที่อยู่ใกล้เมืองหลวงทำได้เพียงกระวนกระวายใจและพาทารก แรกเกิดเข้ามาในวัง

ลู่หวานำคนมาเฝ้าหน้าประตูวัง ให้ราษฎรที่นำทารกชายมาแบ่งกลุ่มทยอยกันเข้าไปตามกฎระเบียบ ของทางพระราชวัง โดยให้เจียงหลีเป็นผู้เลือกด้วยตนเอง

เลือกอะไร เขาก็ไม่รู้เช่นกัน

แต่ภายหลังพระราชโองการถูกประกาศออกไป ราษฎรต่างได้ยินข่าวลือว่าจักรพรรดินีมีนิสัยที่มิอาจ บอกให้ใครรู้ได้’

ต่อให้จักรพรรดินีจะมักมากในผู้ชาย แต่ก็คงจะไม่ถูกใจเด็กทารกชายแรกเกิดหรอก จะกินดื่มเข้า ห้องนํ้าเรื่องเล็กขนาดนี้ยังต้องพึ่งคนอื่น จะสามารถทำอันใดได้

ภายในตำหนักหวาชุ่ย มีเสียงร้องของทารกดังไม่หยุด แล้วก็มีเสียงแม่ของเด็กปลอบอย่างเบาๆ

หญิงแต่งงานเหล่านี้มาตามที่พระราชโองการ พวกเขาไม่รู้ว่ามาถึงแล้วจะพบเรื่องอะไรบ้าง แต่ว่า หลังจากเข้ามาที่ตำหนักหวาชุ่ย เหล่านางกำนัลเตรียมของกินไว้ไม่น้อย และก็ไม่ใครมาข่มเหง ทำให้ พวกนางวางใจไปได้อย่างมาก

“ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้ว…!”

จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้พวกนางรู้สึกกังวลทันที อุ้มลูกของตนแล้วพากันคุกเข่ากับพื้น พวกนางไม่กล้ามองไปทางไหนเลย ทำได้เพียงมองลงพื้น

เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงหน้าประตูเหล่าหญิงแต่งงานแล้วต่างอยากรู้อยากเห็นและ แอบมองไปทางระยะไกล แล้วคนแต่งกายในชุดสีดำก็ปรากฏขึ้นในสายตาของพวกนาง

“ทุกคนลุกขึ้นได้” เสียงที่น่าเกรงขามของหญิงสาว ทำให้พวกนางรีบละสายตา

“ขอบพระทัยเพคะ!”

“ขอบพระทัยเพคะ!”

พวกนางต่างเปล่งเสียงออกมา เหล่าหญิงสาวแต่งงานแล้วต่างอุ้มเด็กแล้วถูกขึ้นยืน ต่างฝ่ายต่างรู้สึก อึกอัด ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างกัน

“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ฝ่าบาทเพียงอยากจะทอดพระเนตรลูกของพวกเจ้าเท่านั้น” อวี้ซูเอ่ยปากปลอบใจ

หลังจากฟังที่นางพูด พวกนางเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ และมองไปที่บัลลังก์บนที่สูงส่งของอา จักรจยาเซียน หญิงสาวผู้นี้มีอำนาจสูงสุด

ที่แท้ ประโยคเมื่อชั่วครู่ ทุกคนลุกขึ้นได้ เป็นนางกำนัลข้างกายจักรพรรดินีพูดขึ้น ฝ่าบาทของพวกเขายัง ไม่ได้เปิดปากตรัสอะไรเลย

ตึก ตึก…

เสียงฝีเท้าดังขึ้น ทำให้หัวใจของพวกนางรู้สึกตื่นเต้น

พวกนางมองเห็นพระพักตร์ที่งดงามของจักรพรรดินี ที่เดินผ่านพวกเขาไปอย่างช้าๆ และเดินไปทาง บัลลังก์ของตำหนักหวาชุ่ย

เจียงหลีนั่งลง ดวงตาส่องเป็นประกายและมองไปยังกลางท้องพระโรง

แต่ในความเป็นจริง ทุกคนต่างรู้สึกได้ว่าสายตาของนางมองไปยังเด็กทารกชายที่อยู่ในอ้อมกอด

อวี้ซูคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนาง และเอ่ยกับเหล่าหญิงสาวที่มาตามราชโองการว่า “หนึ่งแถวสิบคน จัดแถวกันเสร็จให้เดินมาด้านหน้า เปิดผ้าอ้อมลูกของพวกเจ้าออก ให้เห็นบริเวณไหล่ขวาถึงหน้าอก”

อะไรนะ

หญิงเหล่านี้ต่างสงสัย แต่ก็ทำตามคำสั่ง

ไม่นาน ภายในท้องพระโรงก็จัดแถวเสร็จ และค่อยๆ เดินไปตรงหน้าเจียงหลี

เจียงหลีนั่งอยู่ด้านบน สายตาจ้องมองไปยังทารกชายที่ถูกเปิดผ้าอ้อมเหล่านั้น

ไม่ใช่! ไม่ใช่เลย! ไม่มี…ไม่มีเลย…

บนร่างกายของทารก ผิวสะอาดหมดจน อย่าพูดถึงรอยประทับเลย แม้แต่ไฝยังไม่มีเลย

บรรดาผู้หญิงเหล่านั้นอุ้มทารกชายเข้ามาในพระตำหนักหวาชุ่ยเป็นกลุ่มๆ แล้วออกไปเป็นกลุ่มๆ คนที่ ออกไป ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่กลับยิ่งประหลาดใจมากขึ้น จักรพรรดินีของพวกเขา ต้องการค้นหาอะไรกันแน่

ถึงขั้นมีผู้หญิงบางกลุ่มเดินออกไปและมีความคิดเหลวไหลเหล่านั้น ยิ่งได้ยินว่าจักรพรรดินีตามหา ทารกชายที่มีรอยหรือสัญลักษณ์อะไรบางอย่างบนร่างกาย ตนเองก็คิดว่าไปทำขึ้นดีหรือไม่ ดีไม่ดีอาจ เปลี่ยนโชคชะตาของเด็กชายไปเลย หรืออาจทำให้เขามีอนาคตที่รุ่งโรจน์ก็เป็นได้

แท้จริงแล้ว นี่ก็เป็นเพียงความคิดเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าเจียงหลีหารอยสัญลักษณ์อะไร แม้กระทั่งนาง กำนัลที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายอย่างอวี้ซูก็ไม่รู้เช่นกัน

วันแล้ววันเหล่าจนผ่านมาสามวันแล้ว เจียงหลีเองยังจำไม่ได้ว่าตนดูทารกชายมาแล้วกี่คน แต่กลับไม่ มีสักคนที่ทำให้นางรู้สึกว่าเป็นลู่เจี้ยกลับชาติมาเกิด

หรือว่า หรือว่าเขาจะไปเกิดที่อาณาจักรอื่น หรือว่า…อาจจะยังไม่กลับมาเกิด เจียงหลีก้มหน้า ใช้นิ้ว คลึงเบาๆ ที่หัวคิ้ว

“ฝ่าบาท ท่านอย่าพึ่งใจร้อนไป เพราะดินแดนที่อยู่ไกลยังมาไม่ถึง บางทีคนที่ท่านต้องการหา อาจจะ อยู่ในกลุ่มพวกเขาก็เป็นได้” อวี้ซูมองไปที่เจียงหลีซึ่งกำลังกลัดกลุ้มใจอยู่และพูดโน้มน้าว

เจียงหลีถอนหายใจ เปลี่ยนท่านั่ง “อืม ข้าคงใจร้อนไปเอง”

“ฝ่าบาท ท่านมหาเสนบดีขอเข้าเฝ้าเพคะ” ทางนอกตำหนักส่งเสียงเข้ามา

เจียงหลีขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าตอนนี้ยังไม่อยากจะพบใคร แต่ก็ลังเลใจ ให้เขาเข้ามาน่าจะดีกว่า

ท่านมหาเสนาบดีของอาณาจักรจยาเซียน นับว่าเป็นผู้ร่วมสถาปนาอาณาจักร ถึงจะเป็นขุนนางฝ่ายทหาร แต่ด้านการบำเพ็ญตนก็ไม่ได้อ่อนแอ เพียงแต่ วันนี้ที่เขามา เหมือนจะมาพูดตักเตือนบางอย่าง!

“ท่านมหาเสนาบดีพูดเถิด” เจียงหลีเอ่ย

ท่านมหาเสนบดีหันไปมองที่เจียงหลีและกัดฟันเอ่ย “ฝ่าบาท กระหม่อมอยากจะทูลขอให้ท่านปล่อย เด็กเหล่านั้นไปและยกเลิกพระราชโองการที่ท่านรับสั่งตามหาเด็กทารก เพราะราษฎรต่างรู้สึก หวาดกลัวและไม่ปลอดภัย”

เห็นเจียงหลีไม่ได้โต้แย้งอะไร เขาก็พูดถึงจุดประสงค์หลักที่มา “ฝ่าบาท ท่านเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ไม่นาน นี่เป็นเวลาที่ควรจะปลอบขวัญราษฎร หากทำการตามพระทัยเช่นนี้ กลัวว่าจะมีคนที่เจตนาไม่ดีจะ หาประโยชน์จากเรื่องนี้พะย่ะค่ะ”

“ท่านมหาเสนาบดีไม่คิดว่าให้พวกที่มีเจตนาไม่ดีแสดงตัวออกมาโดยเร็วจะไม่ดีกว่าหรือ” เจียงหลีเอ่ย แบบคิดใคร่ครวญ

ท่านมหาเสนบดีชะงักไปชั่วครู่ หันไปมองหน้าเจียงหลีอย่างแปลกใจ

ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจากใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนางและหลบสายตาเอ่ยอย่างไร้ เสียงพูด “หรือว่าฝ่าบาทจะ…” ประโยคหลัง เขาปิดปากได้ทันท่วงที ราวกับกลัวว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง

“ได้ยินมาว่าตอนนี้ราษฎรเรียกข้าว่าจักรพรรดินีทรราชผู้มักมาก” เจียงหลีเอนไปยังบัลลังก์เหมือนรู้สึก เหมื่อยล้า ดวงตาปิดลงด้วยรอยยิ้มที่ไม่เข้าใจ

ท่านมหาเสนาบดีลำบากใจ อธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท พวกคนเลวมันพูดจาเหลวไหล ทำลาย เกียรติของฝ่าบาท เมื่อหม่อมฉันกลับถึงค่ายจะรีบทำการสอบสวน นำตัวพวกมันมาลงโทษพะย่ะค่ะ”

“ไม่ ให้พวกเขาพูดไปเถิด ทรราชผู้มักมาก ชื่อเรียกนี้ไม่เลว” เจียงหลีหัวเราะขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!