บทที่ 550
มีท่านอยู่ ข้าไม่กลัว
เสียงขลุ่ยอะไร?
กู้ซีจิ่วมองเจ้าหอยยักษ์ ทำไมเธอไม่ได้ยินเสียงขลุ่ยอะไรเลย?
หัวใจพลันสั่นไหวขึ้นมา!
เธอมีความรู้ของยุคปัจจุบัน ทราบว่าบนโลกนี้มีเสียงบางอย่างที่มนุษย์ไม่ได้ยิน เสียงที่หูมนุษย์ได้ยินจำกัดคลื่นความถี่เอาไว้ แต่มีคลื่นเสียงบางอย่างที่มนุษย์ไม่ได้ยิน ทว่าสัตว์กลับได้ยิน อาทิเช่น คลื่นเสียงก่อนเกิดแผ่นดินไหว สัตว์ปีกได้ยินดังนั้นพวกมันจึงตื่นตระหนกกระสับกระส่าย แต่มนุษย์กลับไม่ได้ยิน…
เสียงขลุ่ยที่เจ้าหอยยักษ์พูดถึงจะเป็นประเภทเดียวกันหรือไม่?
หรือว่าผู้ที่บงการอย่เบื้องหลังคนนั้นจะเป่าขลุ่ยชนิดพิเศษ ใช้เสียงขลุ่ยที่มนุษย์ไม่ได้ยินมาควบคุมกู่ในร่างมนุษย์?
และเนื่องจากมนุษย์ที่โดนวางกู่มีกู่อยู่ในร่าง ด้วยเหตุนี้กู่นั่นจึงชักนำให้ผู้ที่โดนวางกู่กระทำเรื่องราวบางอย่าง…
กู่ซีจิ่วอดจะมองไปที่พวกองค์ชายหรงเช่อไม่ได้ เป็นเพราะเสียงขลุ่ยหยุดลงแล้ว สองคนนั้นจึงหยุดดิ้นรน…
“มีคนควบคุมอยู่จริงๆ ด้วย!” กู้ซีจิ่วกล่าวเสียงต่ำ หันไปถามเจ้าหอยยักษ์ “เสียงขลุ่ยที่เจ้าได้ยินเมื่อกี้อยู่ทางทิศไหน?”
เจ้าหอยยักษ์ชี้ไปทางทิศตะวันออก “ทางนั้น…”
พูดยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆ ด้านหลังหุบเขาทางทิศตะวันออกก็มีดอกไม้ไฟสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา ดอกไม้ไฟพร่างพราว สว่างไสวกินพื้นที่กว่าครึ่งบนท้องนภา
“หาตัวไอ้สารเลวที่บงการอยู่เบื้องหลังพบแล้ว!” ดวงตาทูตเฉิงเอ้อส่องประกายแวบหนึ่ง
ดวงตากู้ซีจิ่วก็เปล่งประกายเช่นกัน!
ดีเหลือเกิน เธอจะไปดูว่าคนที่บงการเรื่องนี้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกัน?!
เธอหยิบเจ้าหอยยักษ์ขึ้นมา เตรียมใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปดู
แขนพลันกระชับแน่น ถูกคนจับไว้ เสียงของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้น “หลงซือเย่ เจ้าเฝ้าสองคนนี้ไว้ ทูตเฉิงเอ้อ มากับเปิ่นจุน!”
วินาทีต่อมา กู้ซีจิ่วถูกคนพาเหาะทะยานขึ้น พอรู้ตัวอีกที ตัวคนก็ถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ฉุดให้พุ่งทะยานในท้องฟ้ายามค่ำคืนประหนึ่งดาวหาง
“ในโลกนี้ ต้องจำไว้ว่าอย่าอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป โดยเฉพาะตอนที่วรยุทธ์ยังมิกล้าแกร่ง” เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าเสียงลมดังอื้ออึง แต่เสียงของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดังอยู่ข้างหูดุจสายธารรินไหล
นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังสั่งสอนหลักการให้คนต่างภพเช่นเธอหรือ?
คนผู้นี้ถึงแม้จะแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่ก็หวังดีต่อเธอจริงๆ หัวใจของกู้ซีจิ่วอุ่นวาบ อดใจไว้ไม่อยู่จึงเย้าเขาเล่นประโยคหนึ่ง “มีท่านอยู่ ข้าไม่กลัว!”
เป็นประโยคที่ธรรมดายิ่งนัก ทว่าฝีเท้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์กลับชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยวาจาที่ทำให้สมองกู้ซีจิ่วมึนงง “เช่นนั้นถ้าต่อไปเปิ่นจุนไม่อยู่แล้วเล่า?”
กู้ซีจิ่วกล่าวอยู่ในใจว่าท่านไม่อยู่ข้าก็ใช้ชีวิตได้ปกติสุขไง อีกอย่างข้าก็เพิ่งพบท่านได้ไม่กี่วัน
แถมผู้อาวุโสเช่นท่านยังผีเข้าผีออกด้วย ช่วงเวลาที่ไม่อยู่ข้างกายเธอย่อมมีมากกว่า ไม่แน่ชั่วชีวิตนี้เธออาจได้พบหน้าเขาแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว…
หรือว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาหาเธอที่นี่เพื่อแสวงหาความมีตัวตน? แสวงหาความรู้สึกที่ได้เป็นที่ต้องการของผู้อื่น?
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงกล่าวถ้อยคำที่คิดว่าเขาฟังแล้วจะยินดี “ถ้าท่านไม่อยู่ข้าค่อยประเมินสถานการณ์ดูอีกที แต่ตอนนี้ท่านก็อยู่นี่เจ้าคะ”
ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถามต่ออีก “…เชื่อใจเปิ่นจุนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ยามนี้คนทั้งสองเหินละลิ่วอยู่กลางอากาศ มิได้พึ่งพาสัตว์ปีกใดๆ ใต้ฝ่าเท้าคือไอเมฆที่ไม่มีทางรองรับนํ้าหนักได้ นํ้าหนักทั้งหมดของกู้ซีจิ่วล้วนถ่วงอยู่บนแขนข้างที่ถูกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ดึงไว้…
มีระดับความสูงจากด้านล่างประมาณสามถึงสี่ร้อยเมตร กู้ซีจิ่วเกรงว่าเขาจะโยนตนลงไป อดจะขยุ้มแขนเสื้อของเขาเอาไว้ไม่ได้ ซ้ำยังไม่ลืมที่จะกล่าวยกยอเขา “ท่านคือท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นะเจ้าคะ อีก ทั้งเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของท่าน ย่อมเชื่อใจท่านที่สุด”
กู้ซีจิ่วค้นพบ ‘ความรักของบิดา’ ที่ห่างหายไปนานบนร่างท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ทำให้เธออดใจไว้ไม่ได้ทำตัวออดอ้อนเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง
คงจะเป็นครั้งแรกที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เห็นนางมีท่าทีออดอ้อนออเซาะเช่นนี้ ดวงตาหยักโค้งเล็กน้อย ที่แท้นางก็ติดคนเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งได้…
โฉมหน้านี้ของนางมีเพียงเขาที่ได้เห็นใช่หรือไม่?